เริ่มเรื่อง
“แน่ใจนะว่าใช้มือทำ”
“ต้มจืด ทำไมถึงใส่ในจาน ทำไมไม่เอาใส่ชาม”
“นี่อาหารหรือขนม ทำไมถึงหวานขนาดนี้ ไปทำมาใหม่”
ร่างเล็ก ๆ ที่เล็กกว่าเจ้าของเสียงสั่งเกินครึ่งตัว เดินเข้าออกระหว่างห้องครัวกับโต๊ะรับประทานอาหาร เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นบ้างแล้ว
หญิงสาวเอื้อมมือหยิบอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ออกจากตรงหน้าชายหนุ่มเจ้าของเสียงสั่งดุดันที่ตะเบ็งใส่เธอไม่หยุด เอากลับเข้าไปในครัว เพื่อทำอาหารออกมาบริการเขาใหม่อีกครั้ง
วางจานลงแล้ว เจ้าของไร่เทียมพสุธามองนิ่งครู่เดียว หยิบช้อนตัก ทันทีที่เอาเข้าปาก ยังไม่ทันได้เคี้ยวเลย เขาก็คายมันออกมาแล้ว ก่อนจะวางช้อนลงบนจานเสียงดังลั่น แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ บอกเสียงห้วน
“จืดกว่าน้ำล้างเท้าหน้าบ้านอีก”
หญิงสาวตาโตอ้าปากน้อย ๆ ด้วยความตกใจ มองจ้องเขากลับ จะถามว่าเคยชิมน้ำล้างเท้าหน้าบ้านมาแล้วหรือ ถึงได้รู้ว่าจืด แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะอ่านความคิดของเธอออก จึงตวาดสั่งใหม่ว่า
“ไปทำยำรวมมิตรมา”
อภิยาเม้มปากแน่น มองเขาด้วยสายตาเคือง ๆ หันหลังไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงสั่งดังตามมาอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะไปได้ไกลมากกว่านั้น
“จานพวกนี้ เอาไปเก็บด้วย เต็มโต๊ะหมดแล้ว เห็นแล้วขวางหูขวางตาชะมัดเลย ฮึ้ย!”
เลยหยุดเท้า หันกลับไปคว้าจานที่เธอทำมาให้เขาจนเกือบเต็มโต๊ะแล้วจริง ๆ เอาไปเก็บที่ในครัว จนเวลาผ่านไปร่วมสามสิบนาทีได้ เธอยกยำมาวางที่ตรงหน้าเขา
ตาคมดุมองนิ่งที่จาน พร้อมส่งเสียงถาม
“เมื่อกี้สั่งยำรวมมิตร แล้วนี่ทำยำอะไร”
“คนละยำ!” เธอกระแทกเสียงถามเขา “ใช่ไหมคะ”
“ประชด? ขึ้นเสียง?” เขาถามด้วยท่าทีคุกคาม
อภิยายืนนิ่งจ้องคนพูดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นี่จานที่ห้าแล้วนะคะ”
“จานที่ห้าแล้วยังไง ในเมื่อมันกินไม่ได้ เธอก็ต้องไปทำมาใหม่”
หญิงสาวชักทนไม่ไหว แววตาใส ๆ แปรเปลี่ยนเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือไปเอาจานอาหาร จะนำไปเปลี่ยนมาให้ใหม่ แต่เพราะเหนื่อยอ่อนจากงานที่ทำมาทั้งวัน ไหนจะเดินเข้าออกครัวเพื่อทำอาหารให้เขากินอีกตั้งเป็นหลายรอบ หยิบขึ้นได้ก็เปลี้ย ทำจานหล่นลงพื้น
พอเห็นอาหารหกกระจาย ก็ให้หน้าเหวอ หันมองทางเจ้าของไร่เทียมพสุธา บอกเสียงสั่นเครือกับเขา
“พอก่อนเถอะค่ะพี่พุธ”
แววตาดุดันเมื่อนาทีก่อนหน้านี้พลันอ่อนแสงลงทันที แต่ยังไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของเขา
อภิยาก็เบ้ปาก บอกออกมาอีกประโยค “หยินว่ามันดูยุ่งยากอย่างที่พี่พุธบอกจริง ๆ นั่นแหละค่ะ” ว่าจบเธอลากเก้าอี้ข้างเขามานั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรงแล้วจริง ๆ
พสุธาดันเก้าอี้ของเขาออก แล้วตรงเข้ามาบีบนวดไหล่เล็ก ๆ ของเธออาการเอาใจ พร้อมส่งเสียงขรึมที่ไร้แววดุดัน ถามกลับว่า “เป็นยังไงล่ะทีนี้ พอพี่ทำดุใส่หยิน หยินก็รับพี่ไม่ไหวอีก ก็แล้วทำไมหยินจะต้องมานั่งเล่นละครตบตาแบบนี้ด้วยเล่า”
จากใบหน้าที่เรียบขรึมดุดันในทีแรก ค่อยเปลี่ยนเป็นอ่อนลง มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนไม่น้อย “บอกพ่อพี่ไปตามตรงเลยไม่ดีกว่าหรือไงว่าเรารักกัน”
ได้ยินอย่างนั้น เธอรีบส่ายหน้าไว ๆ บอกเขากลับไปว่า
“ไม่ดีค่ะ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ”
“ทำไมครับ ทำไมถึงจะไม่ดี ทำไมถึงไม่ได้”
ชายเจ้าของไร่เทียมพสุธาผู้เงียบขรึมถามจี้เธอราวกับเจ้าหนูจำไม อภิยาวางมือทาบบนหลังมือของเขา พร้อมเอียงคอลงด้วยกิริยาออดอ้อน บอกเหตุผลของตนเองตอบกลับไปว่า
“ก็เพราะว่าคุณลุงจงใจส่งหยินมาใช้หนี้ขัดดอกทั้งหมดที่พ่อกับแม่ของหยินเอาไปนี่คะ ท่านทำเพราะคิดจะทำลายหยิน ถ้าเกิดท่านรู้ว่าเรารักกัน ไม่แน่ว่าท่านอาจจะจับเราแยกจากกัน แล้วเอาหยินไปขัดดอกเสียเอง หรืออาจเอาให้พี่ ไม่ก็น้องชายของพี่พุธไปขัดดอกแทน หยินจะทำยังไงล่ะคะ”
ใบหน้าของพสุธาพลันบิดเบ้ แววตาดูเกรี้ยวกราดขึ้นในทันทีต่อจากนั้นเองที่ได้ยินว่าพ่อของเขา ไม่ก็พี่ชายหรืออาจจะเป็นน้องชายของเขา จะเอาหญิงสาวไปขัดดอกเสียเอง เขาดึงมือตัวเองออก แล้วประคองร่างเล็ก ๆ ของเธอลุกออกจากเก้าอี้กอดแนบอกแน่นอย่างหวงแหน
“พี่ไม่มีทางให้พ่อทำแบบนั้น พี่จะคุยกับพ่อเอง”
“หยินว่าเราอย่าเพิ่งให้ท่านรู้เรื่องของเราจะดีกว่านะคะ”
พสุธากอดรัดร่างเล็กพร้อมพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย เธออยากให้เรื่องของเราเป็นไปอย่างไหน เขาก็มีแต่ยอมตามนั้น
ก่อนจะตาลุกวาวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร อภิยาดันตัวออกจากอกของเขา พสุธาเบี่ยงตัวของเขาบังเธอไว้ พร้อมส่งเสียงตวาดถามดังลั่นห้องว่า
“ใครให้เข้ามา!”
เป็นเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่แทนคนงานชุดเก่าที่เขาไล่ออกไปทั้งชุด เด็กสาวได้ยินเสียงราวกับฟ้าผ่าก็หน้าซีด คอหด ไหล่งองุ้มจะร้องไห้ ละล่ำละลักบอกเสียงสั่นว่า “ขะ...ขอโทษค่ะคุณพุธ หนะ หนูไม่รู้ว่าคุณพุธอยู่ในนี้”
“รู้แล้วก็ออกไป!” เสียงเข้มบอกกลับอย่างไร้ความปรานี
เธอเห็นอย่างนั้นแล้วอดสงสารเด็กสาวไม่ได้ ตอนเธอมาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ ก็แบบนี้เลย โดนขู่ โดนดุ โดนตวาดใส่ แล้วยกมือลูบต้นแขนเขาเบา ๆ ส่งเสียงบอกเด็กสาวคนนั้นไปว่า
“ออกไปเถอะสุดา”
“ค่ะ ค่ะ สุดาไปแล้วค่ะ” เด็กสาวบอกลนลาน รีบออกจากห้องนั้นไปแทบทันที
พสุธาบอกตัวเองว่าที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนอารมณ์หงุดหงิดจนติดเป็นนิสัยเสียหน่อย แต่ที่เขาตวาดไปแบบนั้นเพราะเขากำลังเครียด และกังวลกับเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ในอนาคตมากกว่า
ว่าแล้วก็ดึงร่างเล็กของเธอเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง พร้อมทอดถอนใจออกมาอีกเฮือกใหญ่
ชีวิตของเขามีแค่งานกับงาน ทั้งชีวิตเขาอยู่ใต้คำบัญชาของพ่อมาโดยตลอด ชนิดที่ว่าไม่เคยแตกแถวมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยคิดเลยว่าต่อจากนี้ เขาอาจจะต้องมีปัญหากับพ่อเพราะเรื่องของผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตของเขา เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เคยแข็งกร้าวให้อ่อนยวบลง รวมถึงหัวใจของเขานี่ด้วย