เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้
ที่งานฌาปนกิจศพของนายอภิรัฎฐ์ มีคนมาร่วมพิธีไม่ถึงยี่สิบคนดีด้วยซ้ำ พิธีการจบสิ้นลงในตอนบ่ายสามของวันนั้นเอง
ญาติผู้วายชนม์มีเพียงหญิงสาวในชุดนักศึกษา ที่ยืนหน้าซีดเซียวตรงศาลาวัดเพียงคนเดียว เดือนก่อนหญิงสาวเพิ่งสูญเสียมารดาไป ไม่นานจากนั้น บิดาก็มาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จากไปอีกคน
อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันสอบวันสุดท้ายของภาคเรียนที่สองอีกด้วย จึงจำใจต้องขออนุญาตลาอาจารย์ประจำคณะวิชา เพื่อมาจัดแจงส่งบิดาไปสู่สุคติให้เสร็จสิ้นไป
“แล้วจะกลับไปเรียนอีกไหม”
เสียงถามดังมาจากคุณลุงอรรถพล เพื่อนของบิดาที่เมตตาให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด อีกทั้งยังให้กู้ยืมเงินหลายต่อหลายก้อน จนตอนนี้หนี้พอกพูนเป็นดินพอกหางหมูไปแล้วด้วย
อภิยาสะอื้นเบา ๆ หันไปบอกยังคุณลุงอรรถพลว่า “หยินว่า...หยินคิดว่า...” เธอตอบด้วยเสียงที่ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ “หยินคิด...คิดว่า”
คนฟังอ้า ๆ หุบ ๆ ขยับปากตาม มองด้วยสายตาลุ้น ๆ ว่าหญิงสาวจะพูดจนจบประโยคได้หรือไม่ ก่อนจะปิดปากฉับลง เมื่อเจ้าหล่อนพูดออกมาจนจบประโยคได้ในที่สุด “หยินคิดว่า...หยินจะดรอปเรียนก่อนค่ะคุณลุง”
“ลุงส่งได้นะ เราจะเรียนก็เรียนไปเถอะ จบมาก็ค่อยหางานทำ ส่วนหนี้ที่พ่อแม่เรายืมไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดอกเบี้ยลุงไม่ทบต้นทบดอกเหมือนพวกเจ้าหนี้จอมเขี้ยวทั่ว ๆ ไปที่พ่อแม่เราไปยืมมาหรอก” เงียบไปพักเดียว ท่านว่าต่อ “แต่ถ้าเป็นลุงนะ ลุงจะไม่เรียนต่อแล้วล่ะ ออกไปหางานทำดีกว่า สมัยลุง ลุงก็ไม่ได้เรียน ยังได้ดิบได้ดีจนถึงวันนี้ไง ลุงยังเคยคิดเลยนะว่าถ้ายังเรียนจนจบเหมือนพ่อเรา ลุงก็คงต้องไปเป็นลูกจ้างพนักงานบริษัทจน ๆ เป็นขี้ข้าเขาไปจนตาย ลุงไม่ได้ว่าพ่อเรานะ อย่าคิดมาก”
คุณลุงอรรถพลเงียบไปอึดใจ ถามขึ้นอีก “แล้วนี่คิดไว้หรือยัง ว่าอนาคตเรียนจบจะทำงานอะไร หรือทำงานตรงสายที่เราเรียนมา”
“จริง ๆ แล้วหยินอยากทำเกษตรอินทรีย์ ปลูกผักพื้นบ้าน ผลไม้ตามฤดูกาลแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน่ะค่ะ”
อภิยาบอกความมุ่งหวังของตัวเองออกไปแล้ว ก็ถอนใจเบา ๆ ก้มลงมองที่พื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “แต่คงต้องเปลี่ยนแผนก่อน หยินคิดว่า หยินคงต้องย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดค่ะ เพราะค่าเทอมที่นี่ก็แพงอยู่ ไหนจะค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าวัสดุทำงานส่งอาจารย์อีก หยินเลยว่าจะไปหาสมัครงาน ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ส่วนเงินที่พ่อยืมคุณลุงมา เดี๋ยวหยินจะทยอยใช้คืนให้นะคะ”
แว่วเสียงถอนหายใจดังมาจากทางคุณลุงอรรถพล ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหบแฝงแววบางอย่างในน้ำเสียง “ลุงชอบความคิดของเรานะ เอาอย่างนี้ดีกว่า ลูกชายลุงมีสวนอยู่ที่ต่างจังหวัด ถ้าเรามุ่งมั่นอยากไปทางนั้นจริง ๆ ลุงจะสนับสนุนเอง ลุงจะฝากเรากับพี่เขา ที่นั่นเขาทำทั้งสวนอินทรีย์ เคมี อะไรของมันก็ไม่รู้ มันทำหมด เราไป ก็ไปเรียนรู้กับเขาเสียเลย เรียนมันนอกมหา’ลัยนี่แหละดีที่สุด เรียนไปด้วย ทำงาน ฝึกงานไปด้วย ความรู้จากประสบการณ์จริงแน่นกว่าเยอะ เชื่อลุง”
ได้ยินว่าท่านสนับสนุนความฝันแล้วยังจะเป็นธุระให้ด้วย อภิยาดีใจไม่น้อย “จริงหรือคะคุณลุง”
“จริงสิ ลุงจะหลอกเราทำไม” คุณลุงอรรถพลว่าจบ ขยับตัวเปลี่ยนท่าใหม่ แล้วว่า “ลูกชายลุงกำลังต้องการคนทำงานพอดี เราจัดการเรื่องย้ายที่เรียนทางนี้เรียบร้อยแล้วก็ไปได้เลย”
“เงินเดือนของหยิน...” อ้อมแอ้มจะบอกว่าไม่ต้องให้เงินเดือนตนหรอก แต่คุณลุงอรรถพลว่าสวนขึ้นมาเสียก่อน
“เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ลุงจะบอกพี่เขาว่าให้เราเท่าวุฒิปริญญาตรีเลย แล้วเรื่องเรียน จะย้ายไปไหนก็ทำเรื่องเสียให้เรียบร้อยนะ”
“ไม่ได้ค่ะคุณลุง หยินไปฝึกงาน ไม่สมควรได้รับเงินนะคะ”
“เอาเถอะ ๆ เอาตามที่ลุงบอกนั่นแหละ”
คุณลุงอรรถพลขัด โบกมือให้หยุดพูด
อภิยาลดสายตาลงมองที่พื้นปูนตรงหน้า ตั้งใจว่าถ้าได้ไปที่นั่นจริง ๆ เธอจะบอกเรื่องเงินกับทางนั้นอีกที
เสียงถามดังขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วนี่เราจะกลับเลยไหม ลุงจะไปส่ง”
“ยังค่ะ หยินว่าจะอยู่ช่วยทางวัดเก็บของก่อนค่ะ แล้วค่อยกลับ”
“ตามใจ มีอะไรโทรหาลุงได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณคุณลุงมาก ๆ ค่ะที่เมตตาหยิน”
“ที่อยู่กับเบอร์ติดต่อของที่นั่น ลุงส่งข้อความเข้าไปให้แล้ว ไปเองนะ โตแล้วอย่าต้องให้ใครมาคอยประคบประหงมมากนักจะได้แกร่ง ๆ”
“หยินไปได้ค่ะ หยินไปไหนเองออกบ่อย ขอบพระคุณคุณลุงอีกครั้งนะคะ”
คุณลุงอรรถพลรับไหว้เธอแล้ว เดินออกจากลานวัด ตรงไปยังรถเก๋งคันใหญ่ ชายวัยหกสิบหยิบโทรศัพท์ขึ้นปลดล็อกหน้าจอเพื่อต่อสาย รออยู่เป็นนานทางนั้นก็ไม่รับ จึงได้โทรกลับไปใหม่อีกสี่หน กว่าที่สัญญาณจะเชื่อมต่อกันได้
“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รับสายพ่อ”
ได้ยินทางนั้นตอบมาว่าสัญญาณไม่ดี และกำลังง่วนอยู่กับงาน จึงเลิกสนใจ จัดแจงสั่งการไปว่า “พ่อส่งเด็กนั่นไปที่ไร่ของแกแล้ว อย่าลืมจัดการตามที่พ่อบอกด้วย เข้าใจไหม!”
ปลายสายเงียบไปเป็นนาน ไม่ตอบรับ อรรถพลกระแทกเสียงถามอย่างมีโมโหอีกที “ว่ายังไง! ได้ยินที่พ่อสั่งหรือเปล่า”
นั่นเองปลายสายจึงตอบรับกลับมาว่า “ครับ”
อรรถพลจึงได้กดตัดสายทิ้งไป แววตาที่ดูเหมือนใจดีเปลี่ยนเป็นอาฆาตขึ้นในตอนนั้น ศัตรูหัวใจของเขามาชิงจากไปเสียก่อน เขาจะเอาความแค้นที่มีต่อมันไปลงที่ไหนได้ ก็ต้องเอาไปลงที่ลูกสาวคนเดียวของมันน่ะสิ
วิญญาณของมันน่าจะได้ดูอนาคตของลูกสาวที่แสนบอบบางของมัน นังลูกสาวนั่นจะต้องพบกับความชอกช้ำ ชีวิตจะต้องมัวหมอง ฉิบหายวายวอดอย่างที่ไม่เคยได้รับความเลวร้ายเหล่านี้จากที่ไหนได้อีกเลย นอกจากที่ไร่ของบุตรชายของเขา
อรรถพลคิดอย่างสะใจ ก่อนส่งสายตาสั่งคนของตนเอง ให้ขับรถออกไปจากบริเวณของลานวัดเสียที