ณ คฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่ง
จะว่าเป็นตำหนักก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นจวนก็ไม่เชิง เพราะว่ามันมิได้อยู่ในเขตของพระราชวัง และมิได้ตั้งอยู่ในอาณาเขตของเมืองหลวง ทั้งยังมิใช่ขุนนางแห่งราชสำนักเป็นเจ้าของอยู่อาศัย
จิวซิน จิ้นเหอ และลู่ชิง ยืนชื่นชมความงามของคฤหาสน์แห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลินอยู่ตรงด้านหน้าของประตูอันใหญ่โตของคฤหาสน์
“นี่เป็นคฤหาสน์ของคุณชายหนิง” จิ้นเหอผู้เป็นบุตรชายหนึ่งเดียวของพ่อบ้านที่นับว่ามีตำแหน่งใหญ่สุดในบรรดาบ่าวไพร่ของคฤหาสน์แห่งนี้เอ่ยแนะนำอย่างภาคภูมิใจ
“คุณชายหนิงของเราเป็นผู้รักสงบ ทั้งยังเป็นบุรุษเรียบง่าย ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวน ปกครองบ่าวไพร่ด้วยเมตตาธรรม ประหนึ่งเทพเซียนจำแลง ทุกคนในคฤหาสน์จึงอยู่กันอย่างสุขสงบ นี่ๆ ข้าจะพาเจ้าให้มาแอบเป็นบ่าวชายของที่นี่ รับรองปลอดภัย หายห่วง” จิ้นเหอยกยิ้มภูมิใจยามกล่าวประโยคที่ทำให้จิวซินอมยิ้มออกมา
“ดีปานนั้นเชียว อา...นั่นล่ะที่ข้าต้องการ อาเหอสหายรัก” จิวซิน ตอบกลับพลางตบไหล่อาเหอ ลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าจนสิ้น
“เจ้าไม่อึดอัดหรือจิวซินที่ต้องปลอมตัวเป็นบุรุษ แป้งก็ไม่ได้ผัด อาภรณ์งดงามก็ไม่ได้สวมใส่ เป็นข้าคงกลั้นใจตาย”
ลู่ชิงเอ่ยขึ้นมาทางจิวซินที่อยู่ในอาภรณ์บุรุษตัวใหญ่ไม่สมส่วน
“ไม่เลย ลู่ชิง อย่างนี้ล่ะ ปลอดภัยกับสาวงามอย่างข้ายิ่งนัก”
จิวซินกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดีจนเรียกอาการส่ายหัวน้อยๆ ของสหายทั้งสอง
“มาเถิด ข้าจะพาไปพบท่านพ่อ ขอร้องให้เจ้าได้เข้าทำงานที่นี่”
จิ้นเหอรีบพาจิวซินเข้าทางประตูข้างถัดจากประตูใหญ่เพื่อทะลุไปยังด้านในของคฤหาสน์หนิง อันเป็นที่พักอาศัยและสถานที่ทำงานของเขากับบิดามาเนิ่นนานนับแต่จำความได้
“โชคดีนะ จิวซิน”
ลู่ชิงโบกมืออำลาสหายทั้งสองที่เดินเข้าไปยังคฤหาสน์ตรงหน้า ก่อนหมุนตัวเดินจากไป โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นใครบางคนที่ยืนแอบอยู่ตรงมุมกำแพงของคฤหาสน์แห่งนี้
ใครบางคนที่ว่าก็คือ จ้าวหนิงหลง
เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง
เขาแอบตามว่าที่คู่หมั้นมา ทั้งแอบมองและแอบฟังกลุ่มบุคคลทั้งสามยืนคุยกันอยู่ตรงด้านหน้าคฤหาสน์ของเขาเป็นนาน
และ...เขาก็ได้รู้ว่า
นางกำลังต้องการจะปลอมตัวเพื่อหนีเขา โดยการแต่งกายเป็นบุรุษแล้วเข้ามาทำงานเป็นบ่าวชายของเขา ที่นี่!
ที่คฤหาสน์ของเขาแห่งนี้
ฮึ! นางช่างกล้า!
ภายใต้บุคลิกงดงามเรียบเฉยสุขุมนุ่มลึกนั้น จ้าวหนิงหลงได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยนิสัยไม่เคยยินยอมกับใครหรืออะไรง่ายๆ
บริเวณลานกว้างของเรือนภายในคฤหาสน์
เสียงของชายอาวุโสเอ่ยถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เขาอยากจะเข้ามาทำงานที่นี่รึ?”
จิ้นเหอรีบตอบคำอย่างกระตือรือร้น “ใช่ขอรับท่านพ่อ นาง เอ้ย! เขาเป็นสหายรักของข้าเอง”
จิ้นสิงบิดาของจิ้นเหอปรายสายตาละจากบุตรชายกลับมามองบุคคลในอาภรณ์บุรุษแต่ใบหน้ากลับงดงามเกินชายชาญอย่างสงสัย เขารู้สึกไม่ไว้วางใจเอาเสียเลย
“คงไม่สะดวกกระมัง ข้าไม่อาจตัดสินใจ” เขากล่าวออกมาอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะรับเด็กหนุ่มหน้าหยกคล้ายอิสตรีผู้นี้เข้ามาดีหรือไม่ ด้วยเกรงจะมีภัยไม่รู้ตัว เหตุจากบุตรชายของเขาที่ออกจะซื่อบื้อมากกว่าซื่อสัตย์ดังนามเรียกขาน
“เจ้าพาเขากลับไปเถอะ”
“ได้อย่างไรท่านพ่อ ข้ารับปากอาซินแล้วว่าได้แน่นอน ท่านพ่ออย่าหักหน้าข้าอย่างนี้” จิ้นเหอกล่าวอย่างไม่ยินยอมคล้ายงอแงเอาแต่ใจ
“อาเหอ...” จิ้นสิงเอ่ยเสียงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“หา!” จิ้นเหอถึงกับงุนงงก่อนตอบ “สิบหกขอรับ”
“สหายของเจ้าเล่า”
“สิบหกเท่ากับข้าขอรับ”
“แล้วไฉนเขาถึงดูดีสง่างามและรู้ความมากกว่าเจ้าเล่า คุกเข่า!”
จิ้นสิงคำราม จิ้นเหอสุดงุนงงและตกใจจนถึงกับรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากระแทกพื้นดังพลั่ก
“ท่านพ่อ!”
จิ้นสิงยังคงเสียงดัง “ทำตัวเยี่ยงนี้ แล้วจะแต่งงานได้อย่างไรกัน สตรีที่ใดจะพึงใจเจ้า น่าอายยิ่ง!”
“ท่านพ่อ ท่านผิดประเด็นแล้วขอรับ...”
จิวซินที่ยืนนิ่งเก็บปากเงียบอยู่นานทำได้แค่เพียงกลั้นหัวเราะเอาไว้สุดกำลัง ถึงแม้ว่าจะสงสารจิ้นเหออยู่บ้างก็ตาม
เพราะว่าอาเหอมีบุคลิกนิสัยอย่างนี้ล่ะ นางถึงคบหาเป็นสหายอย่างไว้เนื้อเชื่อใจมาแต่ไหนแต่ไร
“คุกเข่าต่อไป ห้ามลุกขึ้นมาเด็ดขาด!” จิ้นสิงยังคงคำรามดุดันก่อนเดินจากไปเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนส่งสายตาที่แสนจะคุ้นเคยมาทางตนจากมุมด้านในของห้องในเรือนใหญ่
“โธ่! ท่านพ่อ มันใช่หรือไม่?” จิ้นเหอได้แต่บ่นอย่างน่าสงสาร แต่ยังต้องคุกเข่าอยู่อย่างนั้น โดยมีจิวซินยืนกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ
“ข้าจะยืนเฝ้าอาเหอให้นะขอรับ...” จิวซินแกล้งล้อเลียนสหาย นางตะโกนออกไปเบาๆ ไล่หลังจิ้นสิงเพื่อกลั่นแกล้งจิ้นเหอ
“อาซิน!” จิ้นเหอมองตาขวาง ส่งเสียงกดต่ำไปทางคนชอบแกล้ง
จิวซินคลี่ยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดีเหลือเกิน
นางไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีสายตาคมกล้าของใครบางคนเพ่งมองออกมาจากด้านในห้องของเรือน
ภายในเรือนของคฤหาสน์ถัดจากลานกว้างไม่ไกล
“รับเข้ามา”
เสียงทุ้มทรงอำนาจของจ้าวหนิงหลงที่ยืนอยู่ด้านในเรือนเอ่ยคำกับจิ้นสิงแค่นั้น ขณะมองออกไปทางนอกหน้าต่างแล้วเห็นร่างบอบบางที่อยู่ในอาภรณ์บุรุษไม่ไกล
จิ้นสิงผู้ที่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งดูแลทั้งนายน้อยของเขาอย่างดีและดูแลกวดขันบ่าวไพร่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงมักจะคอยระแวดระวังภัยอย่างแข็งขันเป็นนิสัย เขารีบเอ่ยขัดขึ้น “แต่เด็กหนุ่มนั่นไม่น่าไว้ใจขอรับ บ่าวคิดว่าเขาดูดีเกินไปสักหน่อย ทั้งผิวพรรณและผิวหน้า เขาอาจมีฐานะอื่นแอบแฝงเข้ามาด้วยเป้าหมายที่ไม่ดี ให้บ่าวขับไล่ไปดีกว่า”
“ไม่เป็นไร” จิ้นสิงเอ่ยยังไม่จบแต่จ้าวหนิงหลงตัดบทแค่นั้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปอีกทางแล้วเอ่ยปิดท้าย “ให้มาเป็นบ่าวคนสนิทของข้า”
“หือ” จิ้นสิงถึงกับตกใจเมื่อได้ยินจนต้องร้องเรียก “คุณชาย!” พ่อบ้านสูงวัยได้แต่ยืนมองอย่างฉงนคล้ายกับเมื่อครู่ตนฟังผิดไป
แต่คุณชายกลับไม่เอ่ยอันใดอีก
นอกจากแอบมองบ่าวรับใช้คนใหม่จากฉากกั้นลายพยัคฆ์เมฆา
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม...
ตรงลานกว้างที่ใช้ทำโทษจิ้นเหอเมื่อครู่
“เจ้าได้งาน แต่ข้าต้องคุกเข่าเป็นชั่วยาม มันใช่หรือไม่!”
จิ้นเหอยังคงพร่ำบ่นใส่จิวซินที่ยืนยิ้มแก้มปริเมื่อได้รับข่าวจากบิดาของเขาว่านางได้งานแล้ว
“เจ้าหยุดบ่นได้แล้ว ข้าขอตัวไปหาเจ้านายของข้าก่อนนะ”
จิวซินกล่าวพลางตบไหล่ของจิ้นเหอเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทิศทางของหัวหน้าพ่อบ้านที่ยืนรอนำทาง เมื่อเดินตามจิ้นสิงมาจนถึงศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมสระบัว ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ จิวซินถึงกับตื่นตะลึงกับความงดงามของสวนสวยบริเวณศาลาแห่งนี้
“อะแฮ่ม” จิ้นสิงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวเตือนเสียงเข้มขรึม “การที่เจ้าได้พบคุณชายหนิงนับว่าเป็นวาสนาสูงสุดในชีวิต เจ้าต้องรับรู้และระลึกให้ดีในข้อนี้ หากคิดจะอยู่ที่นี่โปรดระมัดระวังกิริยาวาจาให้ดี ปรนนิบัติรับใช้คุณชายด้วยความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดสิบสองชั่วยาม ห้ามออกห่างจากข้างกายคุณชาย ห้ามเพลี้ยงพล้ำทำผิดพลาดเด็ดขาด อย่าลืมว่าคุณชายหนิงสูงส่งยิ่งนัก ยากเหลือเกินกับการที่ได้พบเจอ...”
จิวซินได้ฟังความเลิศเลอนั้นรีบพยักหน้าหงึกหงักรับคำขึงขัง
“ขอรับท่านพ่อบ้านจิ้น ข้าอาซินจะจดจำใส่ใจทุกสิ่งแน่นอน” กล่าวพลางยกมือตบอกหนักๆ ท่วงท่าองอาจห้าวหาญอย่างที่สุด
จิ้นสิงจึงวางใจได้ลงก่อนปล่อยให้จิวซินได้เดินเข้าไปยังศาลาเพียงลำพังโดยที่เขายืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านนอกศาลาตามปกติ
หญิงสาวในอาภรณ์บุรุษเพียงทอดมองสายตาไปอย่างถ้วนทั่วของสวนพฤกษาโดยมิได้สนใจอันใดกับบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่อย่างงามสง่าภายในศาลาแห่งนี้แต่อย่างใด
ซึ่งนั่นก็ทำให้บุรุษผู้นั้นถึงกับขัดเคืองใจยิ่ง!
จ้าวหนิงหลงที่ยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่วงท่าของผู้ทรงภูมิเพียงปรายสายตามองว่าที่คู่หมั้นของเขาที่กำลังอยู่ในอาภรณ์บุรุษตรงหน้าอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เดินจะชนเขาอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัว
ในขณะที่จิวซินยังคงไม่รู้ตัวจริงดังว่า
“คุณชายเจ้าคะ ชาเจ้าค่ะ”
เสียงใสๆ ของสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้นทำเอาจิวซินถึงกับออกจากภวังค์แห่งความงดงามรอบทิศทาง ก่อนที่จะเกิดการเดินชนเข้ากับแผงอกของบุรุษในศาลา ในจังหวะนั้นเองที่นางได้สติ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองใครบางคนที่ยืนขวางทางอยู่ และนางก็ได้เห็นคุณชายรูปงามผู้หนึ่ง เขาสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตาไร้ลวดลายปราศจากสีสันใดๆ
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลมิใช่เพียงรูปโฉมที่หล่อเหลาหมดจด หรือท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลเฉกเช่นบัณฑิตสูงส่งเท่านั้น
หากแต่ภายใต้ใบหน้าได้รูปคมคาย ผิวพรรณกระจ่างใส ดวงตายาวเรียวคมกริบและริมฝีปากได้รูปสีแดงสดนั้น เขาผู้นี้กำลังยืนก้มหน้ามองนางอยู่ด้วยสายตาดำขลับทอประกายลึกล้ำยากแก่การเข้าใจ
จิวซินทำได้เพียงกะพริบตาขึ้นลงสองทีอย่างขบคิดและวิเคราะห์กับบุรุษตรงหน้า หากว่าเขาโกนหัวอีกอย่าง ใช่เลย! นักบวชแน่แล้ว...