“คืนนี้จะนอนที่นี่เหรอ...”
เสียงห้าวทุ้มคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังทำให้ปลายรุ้งสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปมองก็พบเจ้าของเสียงยืนกอดอกพิงขอบประตู ด้วยมาดสุดเท่ห์
“วินท์ นี่นายไม่คิดว่าฉันจะหัวใจวายมั่งหรือไง เล่นย่องมาเงียบๆ” ปลายรุ้งถอนหายแรง พร้อมกับเอ็ด
นภวินท์ยิ้มกว้าง ดวงตาสีสนิมเหล็กพราวกระจ่าง ทำให้ใบหน้าขาวๆนั้นชวนมอง ร่างสูงขยับเข้ามายืนใกล้ๆ
“ขวัญอ่อนจริงนะแม่คู้ณ... ” เขาลากเสียงสูง มองหน้าเพื่อนสาวอย่างเอ็นดู “ แม่เขาจัดที่นอนให้แล้ว คืนนี้นอนที่บ้านฉันนะ แม่อยากคุยกับเธอ เห็นบอกว่ามีเพื่อนที่เปิดแกลลอลี่ สนใจภาพของเธอ”
“เมื่อกี้ไม่เห็นป้ารจว่าอะไร แล้วใครเหรอที่สนใจงานของฉัน” น้ำเสียงของปลายรุ้ง ดูกระตือรือร้น เมื่อได้ยินว่ามีคนสนใจงานของตัวเอง
ท่าทีนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนส่งข่าว เธอไม่รู้ว่า ข่าวดีนี้นภวินท์กับมารดาต้องลงทุนเกลี้ยกล่อมเจ้าของแกลลอลี่ เพื่อนสนิทของคุณรจนาอยู่นาน กว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเหลือ ชายหนุ่มทนเห็นเพื่อนสาว เอารูปวาดของตัวเองวางขายเหมือนแม่ค้าหาบเร่ไม่ไหว อย่างน้อยวางในแกลลอลี่งานยังดูมีเกรดกว่ามากมายนัก
“ลุงอินน่ะ” นภวินท์บอกชื่อเจ้าของแกลลอลี่
“อ๋อ... ลุงอินสรวง เจ้าของบ้านอินสรวงลายไทยน่ะหรือ ฉันรู้จัก”
ปลายรุ้งรู้จักกับอินสรวง เพื่อนของคุณรจนาเมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นเจ้าของแกลลอลี่ที่คุณรจนานำภาพเขียนไปฝากขาย อินสรวงเปิดบ้านเป็นแกลลอลี่กึ่งโฮมสเตร์ ให้บริการลูกค้า ที่ชอบงานศิลปะ และการพักผ่อน มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ในชื่อ “บ้านอินสรวงลายไทย”
“มีคนสนใจงานของเธอ ที่แม่เอาไปฝากลุงเขาขาย” นภวินท์ อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
“ในที่สุดก็มีคนตาดีจนได้ แบบนี้ค่อยมีแรงทำงานหน่อย”
ปลายรุ้งยิ้มร่า กำหมัดกระแทกลม เหมือนนักมวย ท่าทางนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เห็น
“ทำยังกับจะไปออกศึกที่ไหน ถ้าสนใจก็ ไปคุยกับแม่ฉันไวไว มัวโอ้เอ้อะไรอยู่”
นภวินท์โอบไหล่บาง พาเดินออกมาข้างนอก ก่อนจะแย่งกุญแจมาช่วยปิดล็อคให้ แล้วพาเพื่อนสาวเดินกลับไปยังบ้านของเขา ชายหนุ่มมองใบหน้าเรียวละมุนนั้นอย่างอาทร ปลายรุ้งเลือกเผชิญโลกด้วยตัวเอง โดยไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร แม้แต่เขากับแม่ซึ่งเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน สองปีที่ระเหเร่ร่อนมีเพียงโปสการ์ดจากที่ต่างๆส่งมาทุกเดือน นั่นเป็นเพียงข่าวสารเดียวที่เขากับแม่รับรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่จะอยู่อย่างไรนั้น เจ้าของโปสการ์ดไม่เคยเอ่ยให้ฟัง
“พรุ่งนี้ เราไปวัดกันนะ”
ปลายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง รอยยิ้มอ่อนๆของนภวินท์ทอดมองมาอย่างอบอุ่นนั้น ทำให้ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายวาวระยับ พร้อมกับอุทานลั่นเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“พรุ่งนี้... จริงสิ! พรุ่งนี้วันเกิดนายนี่ ฉันเกือบลืม”
“วันเกิดเธอด้วย เราเกิดวันเดียวกัน” นภวินท์ยิ้มกว้าง มือที่โอบไหล่กระชับแน่นขึ้น “อยู่ฉลองวันเกิดกับฉันนะ ฉันอยากให้เธอเล่นเปียโนให้ฟัง”
“ได้สิ...”
เสียงตอบดังขึ้นแผ่วๆ เจ้าของเสียงพยักหน้ารับ รอยยิ้มระบายเต็มดวงหน้าอ่อนใส เรียวแขนเล็กๆสอดรอบเอวหนา ศีรษะเอนอิงไหล่กว้าง เหมือนเคยชอบทำ กิริยานั้นทำให้ริมฝีปากหยักโค้งของคนตัวสูงแย้มกว้างขึ้น ไม่ได้พบกันสองปี ไม่ทำให้ความผูกพันจางหายไปเลย
“แฮปปี้ เบิร์ดเดย์ ปลาย...” นภวินท์ก้มลงกระซิบ
ปลายรุ้งยิ้มรับ “สุขสันต์วันเกิดนะ นภวินท์!”
เธอตะโกนตอบใส่หูอีกฝ่ายสุดเสียง ก่อนจะรีบกระโดดถอยห่างออกมาจากร่างสูงนั้น เสียงแหลมๆทำให้คนที่โดนกรอกหูทำหน้ายู่ จนต้องเอามือขยี้หูตัวเองแรงๆให้หายแสบ คนโดนแกล้งหันไปมองคนแกล้ง ที่ยืนยิ้มร่าอ้าปากหัวเราะเยาะอยู่ ด้วยสายตาคาดโทษ นภวินท์พุ่งเข้ามาหาร่างเล็กบางที่ยืนอยู่ เจ้าหล่อนรีบขยับหนี แต่ไม่ไวพอเมื่อขายาวๆของชายหนุ่มก้าวมาถึงตัวก่อน ท่อนแขนแข็งแรงรวบเอวไว้มั่นรัดแน่นราวปลอกเหล็ก
“เล่นอย่างนี้นะ ได้เลย” เขาตอบโต้กลับคืนด้วยวิธีเดียวกัน “ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ยายปลาย!”
เสียงตะโกนดังลั่นไม่แพ้กัน ทำเอาขี้หูของคนได้ยินเต้นเป็นจังหวะเร็กเก้ แสบหูจี๊ดๆ หลับตาปี๋
“เป็นไงมั่ง ยายตัวแสบ”
นภวินท์ คลายมือออก เมื่อเห็นหน้ายับย่นของคนช่างแกล้ง ทันทีที่เป็นอิสระเจ้าหล่อนก็แก้แค้นคืนทันควัน
“สุขสันต์ วันเกิดนภวินท์!” เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นอีกหน ก่อนที่ร่างเล็กบางนั้นจะซอยเท้าวิ่งหนี
“เฮ้ย! ไม่เลิกใช่ไหม ได้เลย...”
สองหนุ่มสาววิ่งไล่กวดกัน ต่างผลัดกันตะโกนโหวกเหวกตอบโต้กันไปมา บรรยากาศย้อนกลับไปเหมือนดังวันวาน ไม่มีใครยอมแพ้ใคร กับเกมส่งเสียงให้ดังกว่าแบบนี้ เป็นการแข่งขัน ที่ไม่มีใครแพ้ชนะ หากมีเพียงการประลองที่หวังผลแค่ความสนุกมากกว่าสิ่งอื่น
ภาพของสองหนุ่มสาวที่กำลังหยอกล้อกัน อยู่ในสายตาของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้หนา ทุกอิริยาบถ ของทั้งสองถูกบันทึกไว้ในกล้องวีดีโอ เมื่อทั้งสองเดินลับหายไปจากเฟรม คนที่ลอบบันทึกก็กดปุ่มปิดเครื่อง ก่อนจะพาตัวเองกลับมายังสำนักงานนักสืบ
“เป็นไง ได้อะไรมาบ้าง” คนที่นั่งรออยู่ในห้องทำงานรีบถาม
กล้องวีดีโอถูกส่งให้ ภาพต่างๆที่บันทึกไว้ นับตั้งแต่สองหนุ่มลงจากเครื่องบิน แล้วพากันนั่งแท็กซี่และต่อด้วยเรือเมล์ มายังบ้านสวนริมน้ำ จนมาถึงภาพสุดท้าย ที่ทั้งสองเดินโอบไหล่กัน
“กอดกันสวีทหวานขนาดนี้ ไม่เรียกว่าแฟน จะเรียกอะไร เฮียชิต”
วิชิตกดปุ่มปิดเครื่อง ดวงตาฉายแววพอใจ “เจ้าเปี๊ยก แกทำดีมาก เอ้า ! นี่รางวัล แล้วจะเรียกใช้บริการของแกใหม่” เจ้าของสำนักงานนักสืบ เปิดลิ้นชักหยิบซองกระดาษ ส่งให้ลูกน้อง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อร่างผอมสูงของลูกน้องเดินลับประตูไป วิชิตก็หยิบเอกสารในลิ้นชักมาเปิดดู ข้อมูลของหญิงสาวคนเดียวกับที่อยู่ในวีดีโอ มีมากขึ้นเรื่อยๆ และคงมากพอที่จะส่งให้คนว่าจ้างสักที เจ้าสำนักงานนักสืบวางเอกสารทั้งหมดลง ก่อนจะยกหูโทรศัพท์โทรหาลูกค้าคนสำคัญ
“ท่านครับ ผมได้ข้อมูลของผู้หญิงคนนั้นมาครบแล้ว สรุปคร่าวๆ ว่าเธอเป็นคนพิเศษของนายนภวินท์ครับ รวมถึงเรื่องที่อยู่ กับเบอร์โทรของนายนภวินท์ ผมหาได้เรียบร้อยแล้วครับ ผมจะส่งข้อมูลให้ท่านทางอีเมลนะครับ” เขารายงาน
“ดีมาก รีบส่งมาเลยนะ พรุ่งนี้ผมจะโอนเงินค่าจ้างไปให้ ” น้ำเสียงของปลายสายฟังดูพอใจมาก
“ท่านต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ”
“ตามดูพฤติกรรมของนายนภวินท์ไปเรื่อยๆ อ้อ... ช่วยถ่ายรูปแม่ของเขามาให้ผมด้วย”
คำสั่งเพิ่มเติมของลูกค้า ทำให้วิชิตขมวดคิ้ว เขาได้รับว่าจ้างจากลูกค้าผู้นี้ ให้ติดตามช่างภาพหนุ่ม ที่ชื่อนภวินท์มาได้สามวัน ผู้ว่าจ้างไม่ได้ให้เหตุผลว่าต้องการข้อมูลของชายหนุ่มคนนี้ทำไม นี่ยังอยากได้ข้อมูลของมารดาชายหนุ่มอีก เจ้าของบริษัทนักสืบได้แต่คาดเดาเหตุผลของลูกค้าไปต่างๆนานา ทว่า... ความสงสัยนั้นก็ถูกเก็บไว้ในใจ เพราะค่าจ้างที่สูงลิ่วทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
“ผมขอเวลาอีกอาทิตย์ครับ แล้วจะส่งข้อมูลที่ท่านต้องการให้”
“สองวัน ผมให้เวลาคุณสองวัน ผมต้องได้ข้อมูลทุกอย่าง แค่นี้นะ” พูดจบก็วางสายไป
“สองวัน... อะไรกันวะ” วิชิตถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ... เอาแต่ใจชะมัด ถือว่ามีเงินจ้างเราแพงๆ”
แม้จะบ่นแต่สุดท้ายวิชิตก็ต้องทำตามความต้องการของลูกค้ากระเป๋าหนักคนนี้อยู่ดี ...