ตอนที่ 5.
รูปภาพหลายใบวางกระจายอยู่บนโต๊ะ บนเก้าอี้มีร่างของชายคนหนึ่งรูปร่างค่อนข้างสูงนั่งอยู่ มือเรียวยาวขาวจัดหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาพินิจใกล้ๆ
“รูปมีเท่านี้ใช่ไหม”
ชายร่างเล็กผิวคล้ำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พยักหน้ารับ
“ครับ ตอนนี้นายนภวินท์กับแฟน พักอยู่ที่โรงแรมด้วยกัน ผมให้ลูกน้องตามประกบอยู่ วันพรุ่งนี้คงจะได้ภาพกับข้อมูลเพิ่มขึ้นครับ”
ร่างสูงใหญ่ขยับลุกขึ้น หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมา หญิงสาวในรูปกำลังยิ้มกว้าง ขณะกระโดดกอดคอชายหนุ่ม กิริยาของคนในรูปถ่าย แสดงถึงความสนิทสนมเกินธรรมดาของทั้งคู่
“บอกคนของคุณ ให้เก็บภาพของนายนภวินท์ มาให้มากที่สุด” เขาเอ่ยจบก็หมุนกายเดินออกไปจากห้องนั้น
วิชิตละสายตาจากลูกค้าคนสำคัญ เมื่ออีกฝ่ายเดินลับประตูไปแล้ว
“ไม่รู้ไอ้จรัล มันตามเป้าหมายไปถึงไหนแล้ว” เขาบ่นงึมงำในคอ ขณะกดโทรศัพท์โทรหาลูกน้อง
“จรัล ลูกค้าอยากได้ข้อมูลของนายนภวินท์เพิ่ม แกรีบจัดการด่วนเลยนะ ทางนั้นให้ไอ้เปี๊ยกช่วยดูให้ก่อน เรื่องนี้งานด่วนโว้ย! ถ้าอยากได้เงินเร็วก็ รีบๆเข้า แค่นี้นะ”
บ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ทาสีขาวสะอาดตา ด้านหน้าดอกพวงชมพูเลื้อยพันซุ้มประตูทางเข้าจนเป็นพุ่มหนา บางส่วนเลื้อยลงมาพาดพันเสาด้านข้าง ออกดอกกระจิดริดสีชมพูอ่อนเจือขาว ด้านหนึ่งของบ้านเป็นระเบียงโล่งกว้างติดกับแม่น้ำ มองเห็นศาลาหกเหลี่ยมสวยแปลกตา เรือโดยสารลำเล็ก เล่นมาจอดตรงท่าน้ำหน้าศาลา ผู้โดยสารชายหญิงสองคนก้าวขึ้นมาบนท่า
“ขอบคุณมากครับลุง”
นภวินท์เอ่ยขอบคุณเจ้าของเรือ ก่อนจะคว้าเป้คู่ใจสะพายบ่า เดินนำปลายรุ้งขึ้นมาบนท่าน้ำ หญิงสาวมีสะพายเป้ใบใหญ่สีเขียวเข้มเดินตามร่างสูงสง่าของเพื่อนชาย ไปตามทางเดินลาดซีเมนต์แคบๆ สองข้างทางอุดมไปด้วยไม้ผลน้อยใหญ่เรียงราย ตลอดทาง กิ่งก้านใบหนามีร่มเงาบังแสงแดดแผดกล้าในยามบ่ายได้เป็นอย่างดี สองหนุ่มสาวเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ โดยเฉพาะปลายรุ้งที่ดูจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศร่มรื่นนี้เป็นพิเศษ
“ไม่ได้มาซะนาน ต้นไม้พวกนี้โตขึ้นเยอะเลย”
ปลายรุ้งหยุดมองดูต้นมะม่วงที่อยู่ติดรั้วบ้านไม้สองชั้นใกล้กับบ้านไม้สีขาว ประตูรั้วมีโซ่เส้นใหญ่คล้องกุญแจดอกโตไว้แน่นหนา มองลอดรั้วไม้ระแนงมองเห็นตัวบ้านค่อนข้างทรุดโทรมตามกาลเวลา บางส่วนสีลอกล่อนมองเห็นเนื้อไม้ผุพัง ทว่าต้นไม้นานาพันธุ์ที่เจ้าของปลูกไว้ กลับได้รับการตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ไม่รกเรื้อ
“แม่จ้างคนมาดูแลต้นไม้พวกนี้ ถ้าฉันว่างฉันก็มาตัดหญ้าให้” นภวินท์แตะศอกเพื่อนสาว พาเดินไปยังบ้านไม้สีขาว
“ฉันโทรมาบอกแม่ ว่าเธอจะแวะมา สงสัยเตรียมของกินไว้เพรียบ ได้กลิ่นไข่เจียวลอยมาแวบๆ”
กลิ่นกับข้าวโชยมาตามลมอย่างที่นภวินท์บอกจริงๆนั่นแหละ ปลายรุ้งสูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่ง นำหน้าเจ้าของบ้านไปก่อน
“เฮ้ย! ได้กลิ่นของกิน รีบแจ้นไปเลยนะ” เขาหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะซอยเท้าตามร่างเล็กบางนั้นไป
บริเวณระเบียงบ้าน ติดชายน้ำ มองเห็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบาง ในชุดกระโปรงยาวสีอ่อนกำลังส่งยิ้มให้สองหนุ่มสาวที่แข่งกันวิ่งเข้ามา ปลายรุ้งตรงรี่เข้าสวมกอดคนที่ยืนอยู่ไว้แน่น
“คิดถึงป้ารจจัง...” น้ำเสียงฟังดูออดอ้อน จนคนที่ตามมาด้วย หมั่นไส้
“คิดถึงแม่ หรือคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่กันแน่”
ปลายรุ้งคลายอ้อมกอดออกแต่ยังจับมือมารดาเพื่อนชายไว้มั่น “โตแล้วยังขี้อิจฉาไม่หาย เนอะป้ารจ” ประโยคหลังหันมา หาแนวร่วมข้างๆ
“ฉันมันขี้อิจฉา แต่เธอ มันขี้ประจบ ถอยออกมา ฉันจะกอดแม่ฉันมั่ง”
นภวินท์ดึงแขน เพื่อนให้ออกห่าง แล้วแทรกตัวมาแทนที่ อ้อมแขนแข็งแรงรัดร่างบอบบางของมารดาไว้แน่น แถมยังหอมฟอดๆ เหมือนแกล้งยั่วปลายรุ้ง ให้อิจฉาบ้าง
“พอ พอ แม่จะช้ำในตายแล้ว”
คุณรจนาเอ็ดลูกชาย น้ำเสียงเอ็นดู มากกว่าจะจริงจัง ก่อนจะเบี่ยงกายออกจากอ้อมแขนผู้เป็นลูก
“โตๆกันแล้ว ยังทำเป็นเด็กๆอีก”
“ปลายหิวข้าวจังเลย ป้ารจทำอะไรคะ กลิ่นห้อม ...หอม”
ปลายรุ้งเมียงมองไปยังโต๊ะกินข้าว ที่ตั้งอยู่ที่ระเบียง กลิ่นหอมของกับข้าว โชยมากระทบจมูก ชวนน้ำลายสอ
“เห็นไหมครับแม่ ผมพูดผิดเสียเมื่อไหร่” นภวินท์ได้โอกาสรีบไส่ไฟ
“หิวก็ไปกินข้าวกันลูก ป้าเตรียมของที่ปลายชอบไว้ทั้งนั้น”
คุณรจนาไม่สนใจฟังลูกชาย โอบไหล่ปลายรุ้งพาไปยังโต๊ะกินข้าว จัดการตักข้าวใส่จานให้คนบ่นหิวทันที ทำให้ลูกชายต้องรีบเข้ามาร่วมวง ก่อนที่จะได้กินแต่ข้าวเปล่า เห็นปลายรุ้งตัวผอมบางแบบนี้ แต่อีกฉายาที่เพื่อนๆร่วมกลุ่มตั้งให้ นั่นคือ
“น้องปลาย ปอบเรียกพี่”
ประตูรั้วถูกเปิดออก ช้าๆ มองเห็นบ้านไม้หลังน้อย อยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ดูร่มรื่นเย็นสบาย ปลายรุ้งเดินเข้าไปด้านในตามทางเดิน ที่ปูด้วยตัวหนอนทอดยาวไปจนถึงหน้าบ้าน สองข้างทางปลูกต้นพลับพลึงไว้ตลอดแนว ดอกสีขาวตัดกับก้านใบสีเขียวสดดูสบายตา สายลมพัดโชยเอื่อย นำพากลิ่นหอมอ่อนๆของดอกจำปีลอยมาเบาบาง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ หัวใจที่อ่อนล้า อ่อนแรง ละม้ายถูกเติมเต็ม ให้สดใสด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศอันคุ้นชิน
ดวงตากลมโต ระยับไหว ด้วยประกายของความตื้นตัน ขณะกวาดสายตามองไปรอบบ้านหลังน้อย สมบัติชิ้นเดียวในชีวิต ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ สภาพบ้านทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา หากไม่ได้น้ำใจเอื้ออารี จากเพื่อนบ้านอย่างคุณรจนากับนภวินท์ บ้านคงทรุดโทรมมากกว่านี้ หญิงสาวระบายลมหายใจออกเบาๆ เมื่อสายตาหันไปพบกับตุ๊กตาดินเผารูปเด็กหัวเราะ ที่วางไว้ข้างๆอ่างบัว หน้าประตูบ้าน
“หนูดี ยังอยู่หรือเรา” ร่างเพรียวบาง ยอบตัวนั่งลง ปลายนิ้วเอื้อมไปแตะตุ๊กตาปั้น “ขอโทษนะที่ปล่อยให้เฝ้าบ้านคนเดียว”
ปลายรุ้งลูบศีรษะของตุ๊กตาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วไขกุญแจบ้าน บานประตูไม้เปิดกว้าง หญิงสาวแทรกตัวเข้าไปภายใน ปลายนิ้วควานหาสวิทช์ไฟข้างประตู แสงสว่างจากโคมไฟกลางบ้านสว่างจ้า มองเห็นเฟอร์นิเจอร์ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวกันฝุ่น ทว่า...พื้นกลับสะอาดเอี่ยม ไม่มีรอยคราบสกปรกแม้เพียงน้อย ริมฝีปากบางแย้มออก เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนชาย
“ฉันจ้างคนมาทำความสะอาดบ้านปลายทุกอาทิตย์ กลัวว่าเวลาที่เธอกลับมา จะมาแย่งบ้านฉันนอน”
ปลายรุ้งรู้ ว่านภวินท์ตั้งใจดูแลบ้านหลังนี้ให้เธอ เขาเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่แสนดี ความผูกพันอันแน่นแฟ้น ที่เพาะบ่มตามกาลเวลา ทำให้เธอกับนภวินท์เข้าใจกันมากกว่าเพื่อนคนไหนๆ ในความผูกพันเจือด้วยความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน ฉันมิตรแท้ บ้านหลังนี้ยังคงสภาพเดิมไว้แทบทั้งสิ้น ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน วางเปียโนหลังงามไว้ตรงมุมห้อง เปียโนของแม่เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ปลายรุ้งหัดเล่น และเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่เธอเล่นเป็น ภาพความทรงจำเก่าๆหมุนวนหลั่งไหลมาในมโนนึก ละม้ายจะได้ยินเสียงเปียโนดังแว่วมา โซฟายาวตัวนั้น มักจะมีร่างสูงใหญ่ของพ่อนอนเหยียดยาว ฟังเสียงเพลงของแม่ ข้างๆกายพ่อ จะมีเธอนั่งอยู่ด้วยเสมอ
“พ่อขา แม่ขา ปลายกลับมาบ้านเราแล้วนะคะ”
หยาดน้ำตาคลอคลองหน่วยตาจนผ่าวร้อน หัวใจอาบอุ่นเต็มตื้น เหมือนได้กลับมาสู้อ้อมแขนของพ่อกับแม่อีกครั้ง
“ปลายของพ่อต้องเข้มแข้ง และไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด วันนี้เราล้มได้ แต่เราต้องลุกได้เสมอ เหมือนในยามที่พายุฝนได้พัดผ่านไป ท้องฟ้าหม่นๆ จะมีสายรุ้งทอดเงาให้เรามองเห็น เพียงเราไม่ท้อถอยเราจะมีวันที่สดใสงดงามรออยู่”
คำพูดของพ่อเมื่อหลายปีก่อน ยังคงดังก้องอยู่ในหู ปลายรุ้งจดจำทุกคำพูดของท่านได้ขึ้นใจ และนั่นคือสิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งเดียวในชีวิต ทำให้เธอไม่ยอมแพ้ต่ออะไรที่ผ่านมา