ตอนที่ 4
จวนตระกูลหาน
“องค์รัชทายาททรงฝากมาบอกว่า เพื่อไม่ให้เจ้าและตระกูลหานของเราต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง พระองค์จะรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับเจ้า”
ลู่เหมยที่นั่งสำนึกผิดอยู่ตรงหน้าบิดา หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า พลางเอ่ยแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ท่านพ่อ ข้ากับเขา…เราไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ นะเจ้าคะ” ลู่เหมย
มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ถูกกล่าวหา ก่อนที่นางจะเริ่มฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
‘หรือว่านี่จะเป็นแผนการของเขา’
“เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะแก้ตัวอยู่อีกรึ ในเมื่อพ่อเห็นทุกอย่างด้วยสองตาของตัวเอง ต่อให้เจ้าจะพยายามอธิบายอย่างไรมันก็มิอาจลบล้างสิ่งที่เจ้าทำไว้ได้” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว รู้สึกปวดหัวกับลูกคนนี้เสียเหลือเกิน
“แต่ท่านพ่อ ลูกยังไม่อยากออกเรือน แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นลูกก็
จำไม่ได้ด้วยว่าตัวเองได้เผลอทำอะไรลงไปบ้าง” นางพยายามอธิบายหากแต่อารมณ์ของบิดาในตอนนี้คงไม่ยอมรับฟังเป็นแน่
“ไม่อยากออกเรือนแล้วอย่างไร จำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้แล้วอย่างไร ในเมื่อสิ่งที่พ่อและคนอื่น ๆ เห็นเจ้าอยู่บนเตียงในสภาพที่ล่อแหลมเช่นนั้น คิดว่าจะมีใครเชื่ออย่างนั้นรึ?”
“ไม่มีใครเชื่อก็ช่างสิเจ้าคะ ในเมื่อข้าบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง ไยต้องสนใจคำพูดของคนอื่นกัน”
“ลู่เหมย!!!” ผู้เป็นพ่อตวาดเสียงดัง ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
“ท่านพี่ พอเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าคุยกับลูกเอง” เหอเพ่ยหนิงที่เห็นว่าสองพ่อลูกถกเถียงกันไม่ยอมหยุดเสียที จึงคิดที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“เจ้าก็เอาแต่ให้ท้ายลูก นางถึงได้มีนิสัยเยี่ยงบุรุษเช่นนี้อย่างไรเล่า” หานห้าวตงแม้จะรู้สึกโมโหภรรยาที่เอาแต่เข้าข้างลูก แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้
“ท่านพี่ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ลูกเรามีนิสัยเป็นเช่นไรท่านเองย่อมรู้ดี” ฮูหยินของจวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ผู้เป็นสามีถึงกับสลดลงเพราะรู้ดีว่าภรรยาเริ่มจะมีอารมณ์แล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจแล้วกัน” เมื่อทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะกลับไปพักผ่อน เพราะขืนอยู่ต่อมีหวังอารมณ์ของภรรยาคงระเบิดอย่างแน่นอน
เหอเพ่ยหนิงมองตามสามีก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา นิสัยดื้อรั้นเหมือนกันขนาดนี้ยังกล้าคิดว่านางให้ท้ายลูกอยู่อีกงั้นหรือ
“ท่านแม่ ข้ายังไม่อยากออกเรือน” คล้อยหลังบิดา ลู่เหมยก็สวมกอดผู้เป็นแม่พร้อมกับร้องขอความเห็นใจ “ท่านแม่ ช่วยพูดกับท่านพ่อให้หน่อยนะเจ้าคะ ลี่หยางคือสหายของข้าเขา ย่อมมิใช่คนอื่นไกล”
“เหมยเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าก็มีอายุยี่สิบสามหนาวแล้ว แม่คิดว่าเจ้าสมควรที่จะต้องออกเรือนเสียที อย่างน้อยลี่หยางเขาก็ไม่ใช่คนอื่นและยังรู้จักนิสัยของเจ้าดี แม่เชื่อว่าเขาจะต้องดูแลเจ้าได้เป็นอย่างดี” ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“แต่ท่านแม่ เขาคือสหายของลูก”
“หรือเจ้าอยากจะแต่งกับคนที่ตัวเองไม่รู้จักกัน”
“แต่เขาไม่ได้รักลูก อยู่กันก็มีแต่ทุกข์ใจเปล่า ๆ” ประโยคหลังเอ่ยเสียงค่อย ทำให้หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า พลางถอนใจหายใจออกมาเบา ๆ
“เด็กโง่!! ใช่ว่าแม่จะไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ้าหรอกนะ แต่แม่คิดว่าหากเจ้าได้แต่งงานกับเขา เจ้าจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน” หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มบางเบา “ที่พ่อของเจ้าพูดไปแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วง กลัวว่าเจ้าจะถูกผู้อื่นติฉินนินทาเอาได้ ลำพังพ่อกับแม่นั้นไม่เท่าไหร่หรอก หากแต่ลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ การได้ปกป้องลูกคือสิ่งที่พ่อกับแม่พึงกระทำ อย่าโกรธพ่อเขาเลยนะ”
ลู่เหมยเดินกลับเรือนด้วยสภาพเหม่อลอย เหตุใดถึงไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง ต้องเป็นเจ้าลูกเต่านั่น! ที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาคิดที่จะทำอันใดกันแน่
“ท่านพี่เจ้าคะ” เสียงเล็กหวานใสทำให้ลู่เหมยซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดสะดุ้งตกใจ
“ปิงเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” นางเอ่ยทักน้องสาวที่ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก
“ข้าได้ยินพวกบ่าวพูดกันว่าท่านพี่ทะเลาะกับท่านพ่อเสียงดัง” หานหลิงปิงเอ่ยตอบพี่สาว “แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ลู่เหมยมีท่าทีอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้น้องสาวของตนฟัง
“ก็ดีแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ในเมื่อท่านพี่เองก็แอบรักเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกอย่างพี่ลี่หยางแม้เขาจะไม่ได้รักท่าน แต่ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องดูแลท่านพี่ได้อย่างแน่นอน”
สิ้นคำพูดของน้องสาว หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ ทุบเข้าที่กลางศีรษะอย่างจังทำให้เกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง
“ท่านพี่ ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อนะเจ้าคะ บางทีนี่อาจจะเป็นวาสนาของท่านกับเขาก็ได้”
“อืม พี่เข้าใจแล้ว ไว้พี่จะกลับไปคิดดูอีกที” หญิงสาวส่งยิ้มละมุนให้กับน้องสาว หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
กลางดึกในคืนนั้น...
เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นภายในห้องนอนขององค์รัชทายาท ร่างเงานั้นเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงร่างที่ยังคงหลับสนิท เป็นลู่เหมยที่แอบย่องเข้ามาในห้องนอนของลี่หยาง ส่วนหนึ่งก็เพราะนางมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขา
“ลักลอบเข้ามาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ มิใช่ว่าเกิดติดใจในตัวข้าขึ้นมาหรอกหรือ”
“เจ้าลูกเต่า ใครจะลักหลับเจ้ากัน ตื่นมาก็ดีแล้ว ลุกขึ้นมาคุยกับข้าให้รู้เรื่อง” หญิงสาวฉุดกระชากเขาให้ลุกขึ้น แม้อีกฝ่ายจะทำท่าทางอิดออดก็ตาม
“เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ ว่าเรื่องเมื่อคืนก่อนแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไรกันแน่” ลู่เหมยยืนเท้าเอวจ้องมองเขาตาเขม็ง
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วอย่างไร ว่าคืนนั้นเป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้า” เขายังคงยืนยันคำเดิม
“ไม่จริง! เจ้ากับข้าเรารู้จักกันมานาน ไยข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนวางแผนทั้งหมด เจ้าอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่เจ้าหลอกข้าไม่ได้” นางขึ้นเสียงใส่เขา เพราะเริ่มรู้สึกไม่พอใจที่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแต่เขาก็ยังไม่ยอมรับอีก
“ข้าขอโทษ” สีหน้าของเขาสลดลง ด้วยรู้ดีว่าเวลาที่นางโกรธมันน่ากลัวเพียงใด
“เฮอะ เจ้ามันก็เป็นเสียแบบนี้ แค่คำว่าขอโทษคิดว่าข้าจะยกโทษให้เจ้าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก” ลู่เหมยทั้งรู้สึกโกรธและผิดหวังอยู่ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้
“ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้ายิ่งนัก เพียงแค่เจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปไหน ถึงกับต้องวางแผนสกปรกเพื่อทำให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริง ๆ” หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
“ใช่ ข้าอาจจะเห็นแก่ตัว แต่ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพราะไม่อยากให้เจ้าทิ้งข้าไปไหน ในเมื่อข้ามีเจ้าเป็นสหายเพียงคนเดียว ไยต้องคิดจะหนีข้าไปด้วย” เขาพูดขึ้นอย่างไม่ยอม
หานลู่เหมยแทบอยากจะเอามือกุมขมับ นี่นางกำลังพูดกับเด็กน้อยอายุห้าขวบอยู่หรือ ทำไมถึงไม่รู้จักโตเสียที “นี่ ลี่หยาง เราสองคนไม่ใช่เด็กแล้วนะ และข้าก็เคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าสักวันเราก็ต้องแยกย้ายไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง เจ้าก็ต้องมีชีวิตของเจ้า ข้าก็ต้องมีชีวิตของข้า เจ้าจะมายึดติดกับข้าตลอดไปไม่ได้หรอกนะ อีกอย่างตอนนี้เราสองคนก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ข้าว่ามันถึงเวลาที่เราสองคนควรจะแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของใครของมันเสียที”
“เหมยเหมย ข้าขอโทษ เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าสัญญาว่าจะรับผิดชอบกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ขอเพียงเจ้าให้อภัยข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็จะทำให้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ แม้ภายนอกเขาอาจจะดูเย็นชาและจริงจังกับทุกเรื่อง แต่ครั้นเมื่ออยู่ต่อหน้านางเขามักจะเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย บางครั้งเขาก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเพราะอะไร สุดท้ายเมื่อหาคำตอบไม่ได้เขาก็สรุปแค่เพียงว่า เขากับนาง เราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ และรู้จักนิสัยของกันและกันดี อีกอย่างเมื่ออยู่กับนาง เขากลับรู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยที่มีในแต่ละวันมันได้หายไป ดังนั้นคง
ไม่แปลกนักที่เขาจะมีนิสัยเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวเช่นนี้เมื่อเป็นเรื่อง
ของนาง
“เฮ้อ!! เจ้าเลิกทำนิสัยแบบนี้เสียทีเถอะ นี่เจ้าเป็นถึงองค์รัช-
ทายาทนะ จะมาทำสายตาออดอ้อนเช่นนี้ไม่ได้” หญิงสาวทั้งขำทั้งเหนื่อยใจกับท่าทางของชายหนุ่ม ใครจะรู้เล่าว่าภายใต้ความเงียบขรึมนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นเลยแม้แต่น้อย “เจ้าเลิกกอดขาข้าเสียทีได้ไหม ข้าจะกลับจวนแล้ว” นางพยายามสะบัดให้หลุดออกจากการกอดรัด
“ไม่ จนกว่าเจ้าจะยอมให้อภัยข้า” เขายังคงดื้อดึงอยู่แบบนั้น ไม่หลงเหลือภาพลักษณ์องค์รัชทายาทผู้เงียบขรึมอีกต่อไป
“ก็ได้ ข้าให้อภัยเจ้าแล้ว ปล่อยข้าเสียที” สุดท้ายนางก็ทำใจโกรธเขาไม่ลง สีหน้าของเขาแสดงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
ลู่เหมยได้แต่ถอนหายใจ ‘นี่ข้ากำลังเลี้ยงเด็กอายุห้าขวบอยู่ใช่หรือไม่’ นางคิด