ตอนที่ 5
หลายวันต่อมาหลิงปิงที่เห็นว่าพี่สาวไม่ค่อยร่าเริงเหมือนแต่ก่อน
จึงตัดสินใจเอ่ยปากชวนไปเดินเที่ยวเล่นตลาด เพื่อหวังจะช่วยให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
“ท่านพี่ ท่านไปช่วยข้าเลือกซื้อของหน่อยได้หรือไม่ ข้าไม่อยากไปเลือกซื้อของคนเดียว” หลิงปิงเข้ามาออดอ้อนพี่สาวในเช้าวันหนึ่ง หานลู่เหมยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าตกลง
ตลาดวันนี้มีคนค่อนข้างพลุกพล่าน อีกทั้งยังมีพ่อค้าและแม่ค้าเร่ที่แวะเวียนมาของในตลาดไม่ซ้ำหน้า ทำให้สองพี่น้องรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับของมากมาย หานหลิงปิงกึ่งเดินกึ่งลากพี่สาวตรงไปที่ร้านขายเครื่องประดับที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านพี่ มาเร็ว ๆ สิเจ้าคะ เครื่องประดับร้านนี้สวยถูกใจข้ายิ่งนัก”
หลิงปิงหยิบเครื่องประดับชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู สายตาของนางเป็นประกายเมื่อพบว่าเครื่องประดับชิ้นนี้สวยถูกใจยิ่งนัก
“ท่านพี่ ปิ่นปักผมนี้สวยหรือไม่”
“ถ้าเจ้าชอบก็เอาเถิด เดี๋ยวพี่ซื้อให้” ลู่เหมยรู้สึกรักและเอ็นดูน้องสาวของตนไม่น้อย ปิ่นนี้หากน้องสาวชอบ นางก็พร้อมที่จะซื้อให้ “ข้าเอาอันนี้” พร้อมกับยื่นเงินส่งให้กับพ่อค้าแร่
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินเลือกซื้อของอย่างสนุกสนาน หญิงสาวถูกน้องสาวพาเข้าร้านนู้นออกร้านนี้จนรู้สึกเวียนหัว ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็นเวลายามอู่ แล้ว หญิงสาวจึงชวนน้องสาวและสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยอีกสามคนเข้าไปร้านอาหาร และสั่งเสี่ยวเอ้อให้เลือกห้องที่เป็นส่วนตัวและกว้างพอสำหรับห้าคน พร้อมทั้งจัดอาหารมาอย่างละสองชุด ลู่เหมยและหลิงปิงเป็นลูกคุณหนูที่ใจกว้าง เวลาที่ออกมาเดินเที่ยวตลาดพวกนางก็มักจะสั่งอาหารมาเผื่อสาวใช้ซึ่งนั่งอยู่อีกโต๊ะ
“ท่านพี่ สรุปท่านจะยอมแต่งงานกับพี่ลี่หยางหรือไม่” นางเอ่ยถามพี่สาวในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร
“เรื่องนี้พี่เองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คงต้องแล้วแต่ท่านพ่อกับท่านแม่ ถ้าพวกท่านเห็นว่าดีพี่ก็ว่าดี พอมาลองคิด ๆ ดูแล้วแต่งกับองค์รัชทายาทก็คงไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างเราสองคนก็รู้จักกันมานาน
ไม่ต่ำกว่าสิบปี ถึงแม้มิได้รักแต่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง” นางพูดขึ้นอย่างคนที่คิดไตร่ตรองมาแล้ว ส่วนเรื่องไปเที่ยวนั้น
ไว้สักวันค่อยชวนเขาไปด้วยก็ได้
หลิงปิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สุดท้ายพี่สาวของนางก็ใจอ่อนอีกจนได้
หลังจากรับประทานอาหารกันจนเรียบร้อย สองพี่น้องที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเลือกซื้อของ จึงตกลงกันว่าจะเข้าร้านเสื้อผ้าอีกร้านหนึ่ง แล้วก็จะกลับเลย แต่ในระหว่างที่พวกนางกำลังเลือกซื้อผ้าอยู่นั้น
จู่ ๆ ก็มีสตรีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าสองพี่น้องตระกูลหาน
“หานลู่เหมย เจ้าใช้มารยาแบบไหนกันถึงทำให้องค์รัชทายาทหลงเจ้าจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้” สตรีที่คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้า เดินเข้ามาชี้หน้านางอย่างถือดี
ลู่เหมยยิ้มเย็น กล่าวเย็นชา “อ๋อ ข้าก็นึกว่ามีสุนัขที่ไหนมาเห่าหอนอยู่แถวนี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ทำไม! หาวิธีเอาชนะใจองค์รัชทายาทไม่ได้หรือ” หญิงสาวกอดอกมองอีกฝ่ายอย่างสมเพช “ฮึ!! ข้าได้ยินข่าวมาว่าเจ้าไปอ้อนวอนขอร้องบิดาให้ไปกราบทูลขอสมรสพระราชทานเพื่อ
ที่จะได้แต่งงานกับเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมามิใช่หรือ ถามจริงเถิดยางอายบนใบหน้าของเจ้ายังมีหลงเหลือบ้างหรือไม่”
“น…นี่เจ้า กล้าดีอย่างไรถึงมาด่าข้า” หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความโกรธจัด นางเป็นบุตรีของเสนาบดีกรมขุนนาง ทั้ง ๆ ที่นางก็มีความเพียบพร้อมและเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทมากกว่า แต่ไฉนเลยองค์ไท่จื่อถึงไม่ชายตาแลมองนาง
สักนิด วัน ๆ ก็ไปขลุกอยู่แต่กับนางแพศยานั้น
“ข…ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ เรื่องที่เจ้ากล้าด่าข้า” จินฮวากรีดร้องออกมาอย่างไม่ยอม
“เจ้านี่…เหมือนเด็กน้อยที่ไม่รู้จักโตจริง ๆ กรีดร้องไปกระทืบเท้าไป เจ้ามิอายผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้างหรือ” พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หญิงสาวรู้สึกอับอายผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงซุบซิบนินทาก็แทบจะทำให้นางระงับอารมณ์ไม่อยู่
“หานลู่เหมย เจ้าปากดีนักนะ” หญิงสาวพุ่งตัวหมายจะเข้าไปตบสั่งสอนให้หายแค้น แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร อีกฝ่ายก็จ้องเขม็งมองมาที่นาง
“หากเจ้ากล้าทำร้ายข้าแม้เพียงนิดเดียว องค์รัชทายาทจะไม่มีวันปล่อยเจ้าและครอบครัวของเจ้าไปอย่างแน่นอน” ลู่เหมยชี้หน้าต่อว่าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโกรธจัด พลางสาวเท้าเข้าไปใกล้จนหญิงสาวต้องถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว
“ฝ…ฝากไว้ก่อนเถิด” จากนั้นก็รีบหันหลังแล้วเดินจากไป เรียกเสียงหัวเราะของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่น้อย และต่างลงความเห็นว่านางสมควรโดนแล้ว
“กลับกันเถิด วันนี้ไม่มีอารมณ์แล้ว” นางหันไปเอ่ยบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก เพียงแค่ออกมาเดินในตลาด ก็ต้องมาเจอกับสตรีที่นิสัยค่อนข้างแย่ หากนางเป็นคนไม่สู้คน ป่านนี้คนที่เจ็บตัวคงเป็นนาง
ด้านจ้าวลี่หยาง หลังจากที่รู้ว่าลู่เหมยออกไปเดินเที่ยวตลาดกับน้องสาว เขาก็รีบเข้าไปขอพบกับหานห้าวตง บิดาของนาง เพื่อพูดคุยถึงเรื่องแต่งงาน ครั้งนี้เขาไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ข้าตั้งใจที่จะรับผิดชอบนางโดยการแต่งงาน จึงอยากขอท่านลุงอนุญาตให้ข้าได้แต่งงานกับนางด้วยเถิดขอรับ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมและเป็นกันเอง ไม่ได้ถือยศถือศักดิ์เลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเขาเข้าออกตระกูลหานอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดความสนิทสนมและเคยชิน ดังนั้นเขาจึงขอให้ทุกคนพูดคุยกับเขาเหมือนเช่นคนปกติ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี
“เจ้ามั่นใจแล้วใช่หรือไม่ หากเป็นเรื่องนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรหรอก ในเมื่อมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างพวกเจ้าสองคนก็เป็นสหายกันมานาน ข้าจะถือสาเรื่องแค่นี้ไปเพื่ออันใดกัน” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างเป็นกลาง เขาไม่ถือสาเรื่องคืนนั้น และนึกชมเชยเขาอยู่กลาย ๆ ที่กล้าออกมาพูดความจริง หาไม่แล้วเขาคงจะเข้าใจบุตรสาวผิดไปอีกนาน
“ไม่ได้หรอกขอรับท่านลุง เป็นข้าที่แกล้งนางแรงเกินไป ถึงทุกคนจะไม่คิดและเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าคิดขอรับ มันก็จริงอยู่ที่เราสองคนเป็นสหายกัน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ย่อมต้องเสียหายอยู่แล้วขอรับ” เขาพยายามพูดจาโน้มน้าวพร้อมกับยกเหตุผลขึ้นมาต่าง ๆ นานา เพื่อหวังว่าพ่อของนางจะเห็นใจ และยอมให้เขาส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ
“แล้วหากบุตรสาวของข้าไม่ยอมเล่า เจ้าก็รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร” เขาเอ่ยด้วยท่าทางหนักใจ เดิมทีบุตรสาวคนรองของเขาสมควรที่จะออกเรือนไปนานแล้ว แต่ด้วยความดื้อรั้นและเอาแต่ใจ ทำให้นางยืนกรานว่าจะแต่งกับบุรุษที่ตนรักเท่านั้น สุดท้ายเมื่อมิอาจเกลี้ยกล่อมได้ จึงต้องยอมปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตัวเอง แต่คาดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนเล็กจะเป็นไปกับพี่สาวด้วย เฮ้อ!!
“เรื่องนั้นท่านลุงสบายใจได้ ข้าได้ปรึกษากับเสด็จแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ” ลี่หยางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร แต่มีหรือที่เขาจะยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ
หึ! ไม่มีทางเสียหรอก
“ในเมื่อเจ้ายืนยันที่จะแต่งงานกับนาง ข้าก็ไม่มีอะไรคัดค้านหรอก เพียงแต่เรื่องนี้ข้าคงจะตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวจะให้คนไปตามฮูหยินมาพบก็แล้วกัน” หานห้าวตงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาก็อยากให้บุตรสาวได้ออกเรือนกับคนที่เหมาะสม
รออยู่ไม่นานนายหญิงของจวนก็เดินเข้ามาในห้องโถงรับรองซึ่งมีสองบุรุษนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านพี่ให้คนไปตามน้องมา มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” เหอเพ่ย-
หนิงเดินมานั่งข้าง ๆ สามี ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“ท่านป้า ลี่หยางขอไม่อ้อมค้อมนะขอรับ” ชายหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยถาม เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้า สองมือคารวะโดยที่ไม่สนว่าตนเองเป็นถึงเชื้อพระองค์เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นเหอเพ่ยหนิงและ
หานห้าวตงที่ตกใจจนแทบสิ้นสติ
“ว้าย!! ลี่หยาง นั่นเจ้ากำลังทำอันใด ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นถึงโอรสสวรรค์จะมาทำเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด” เหอเพ่ยหนิงรีบเข้าไปประคอง แม้นางจะเป็นสหายคนสนิทของหวังฮองเฮา แต่การที่เชื้อ
พระวงศ์ทำเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ถึงแม้จะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม
“เจ้าอยากแต่งงานกับเหมยเอ๋อร์ขนาดนั้นเลยงั้นหรือ” หานห้าว-
ตงที่ตกใจไม่แพ้กันได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน
“ขอรับ ข้าอยากแต่งงานกับนางจริง ๆ ขอท่านลุงกับท่านป้าเมตตาลี่หยางด้วยเถิดขอรับ”
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะท่านพี่ แต่งงานอันใดกัน ข้างงไปหมดแล้ว” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยถาม นางยังคงไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
หานห้าวตงไม่ได้ตอบคำถามของฮูหยิน สายตายังคงมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะ จากนั้นจึงหันไปพูดกับภรรยาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ลี่หยางเขาอยากจะแต่งงานกับเหมยเอ๋อร์ของเรา เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
เหอเพ่ยหนิงได้ฟังจึงหันกลับไปมองชายหนุ่ม หมายจะยืนยันว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่คือเรื่องจริงใช่หรือไม่ จากนั้นคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม
“นึกว่ามีเรื่องอะไรกัน ที่แท้ก็เรื่องแต่งงาน แต่ครั้งต่อไปเจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก แม้จะสนิทสนมกันมากแค่ไหน แต่เจ้าอย่าลืมว่าตนเองหาใช่สามัญชนไม่” ฮูหยินเหอเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
“ส่วนเรื่องแต่งงานนั้นหากเจ้ามีความจริงใจต่อเหมยเอ๋อร์ ป้าก็ไม่ติดขัดอะไรหรอก ตรงกันข้ามมันอาจจะดีเสียอีกนางจะได้เลิกคิดเรื่องออกไปเที่ยวเสียที”
“ข้าเห็นพวกท่านเป็นเหมือนคนในครอบครัว เสด็จแม่เคยตรัสเอาไว้ว่า เราไม่จำเป็นต้องอยู่เหนือผู้อื่นเสมอไป แล้วสิ่งที่ข้าทำไปเมื่อครู่เป็นเรื่องที่สมควรแล้วขอรับ ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ขอเพียงพวกท่านเข้าใจก็เพียงพอแล้ว” ลี่หยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง