ตอนที่ 2
วันต่อมาลี่หยางก็ยังคงไปที่จวนสกุลหานเหมือนเช่นเคย หากแต่
วันนี้เขามีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดคุยกับนางโดยตรง ครั้นเมื่อเจอหน้าเขาจึงไม่รีรอที่จะพูดในสิ่งที่ตนคิดมาตลอดทั้งคืน
“เหมยเหมย เจ้าช่วยแต่งงานกับข้าได้หรือไม่? ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสหายเพียงคนเดียวของข้า ย่อมต้องรู้จักนิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี หรือหากเจ้าอยากได้อะไร ขอเพียงเอ่ยปากข้าก็พร้อมจะหามาให้เจ้า”
หญิงสาวเบิกตากว้างมองสหายตรงหน้าด้วยความตกใจอยู่
ไม่น้อย นี่เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมา จู่ ๆ ถึงได้พูดเรื่องแต่งงาน
“นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”
“ข้ามิเคยล้อเล่นกับเจ้า!”
หญิงสาวนิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขัน
“ลี่หยาง นี่เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันมานาน ย่อมไม่ใช่คนอื่นไกล จะแต่งงานกันได้อย่างไร”
“ข้ามีสติครบถ้วนดีทุกอย่าง” เขากล่าวอย่างจริงจัง สายตาไม่ได้
มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกครั้ง มองสบกับดวงตาคมคู่นั้น รับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้หยอกล้อนางเล่นแม้แต่น้อย
พลันในใจก็หวนคิดไปถึงเรื่องราวในอดีต ตั้งแต่สมัยที่นางและเขาได้พบกันครั้งแรก มารดาของนางเป็นพระสหายคนสนิทของฮองเฮา ในครั้งที่ท่านแม่ได้รับเทียบเชิญ นางในวัยสิบขวบหนาวได้ขอติดตามมารดาเข้าวังไปด้วย และยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีว่าได้พบกับเขาที่ใต้ต้นท้อ
ภาพที่เด็กชายวัยไล่เลี่ยกันกำลังยกมือขึ้นรองรับกลีบดอกท้อที่ร่วงโรย ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ หัวใจพลันเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากแต่นางยังไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร
‘เจ้าเป็นผู้ใดกัน’
‘ข…ข้าชื่อหานลู่เหมย ติดตามท่านแม่มาเข้าเฝ้าฮองเฮา’
เด็กชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเอง
‘ข้าชื่อจ้าวลี่หยาง หรือเรียกลี่หยางก็ได้’
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางและเขาก็ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยครั้ง หลังจากที่เขาว่างก็จะแวะเวียนมาหานางที่จวน พูดคุยกันจนเย็นก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนเราสองคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่ว่านางจะอยากไปที่ใดเขาก็ไม่เคยขัดเลยสักครั้ง ทำให้บุตรสาวของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ล้วนไม่ชอบหน้า อีกทั้งยังกล่าวหาว่านางคิดจะเก็บเขาไว้เพียงคนเดียว
และก็เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่นางก็ชินชากับเรื่องนี้เสียแล้ว หากจะถามว่าเคยถูกสตรีเหล่านั้นรังแกบ้างหรือไม่ คำตอบเดียวก็คือไม่ ในเมื่อเขาเล่นตามประกบนางแทบจะทุกฝีก้าว แล้วใครเล่าจะกล้าเข้ามาหาเรื่อง
แต่แล้วความรู้สึกของนางก็เปลี่ยนไป เมื่อลี่หยางพาสตรีคนหนึ่ง
มาแนะนำให้รู้จักและขอร้องให้นางช่วยเป็นแม่สื่อ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นางรู้ใจตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้วนางไม่เคยมองเขาเป็นสหาย ยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้กัน ความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนหลงลืมไปชั่วขณะว่าแท้จริงแล้วตนเองก็เป็นได้แค่สหายเท่านั้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะปฏิเสธและตีตัวออกหาก เพื่อหวังว่าระยะทางจะช่วยทำให้นางตัดใจจากเขาได้ง่าย
แต่เรื่องมันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อนางแสดงท่าทีเหินห่าง เขากลับดูร้อนใจและเป็นกังวลจนอดที่จะขำออกมาไม่ได้
“เหมยเหมย นี่เจ้าเป็นอะไรไป ไยถึงได้ดูเฉยชากับข้านัก” เขาทำน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาคือองค์รัชทายาทที่สุขุมและเยือกเย็นจริง ๆ หรือ
สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าเพียงอยากปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับสตรีคนอื่นบ้างก็เท่านั้น”
“เหมยเหมย ถ้าเช่นนั้นข้าจะเลิกสนใจผู้อื่น แล้วหันมาสนใจเจ้าคนเดียวดีหรือไม่” ทุกครั้งที่เขาต้องการพูดเอาใจหรือหยอกล้อ มักจะชอบเรียกว่า ‘เหมยเหมย’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาเอาไว้ใช้เรียกนางโดยเฉพาะ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย
มีหลายครั้งที่นางพยายามพูดจาโน้มน้าวให้เขาได้ออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้อื่นดูบ้าง แต่เขาก็เอาแต่ปฏิเสธจนนางได้แต่เอือมระอา หลัง ๆ จึงปล่อยให้เขาทำตามใจตนเอง
ครั้นเมื่อนานวันเข้านางก็เพิ่งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า แม้เราสองคนจะเติบโตมาด้วยกัน แต่สักวันเขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขา นางก็ต้องใช้ชีวิตของนาง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปเพื่อหวังให้เขาได้แต่งงานกับใครสักคน ส่วนนางเมื่อถึงเวลาก็คงต้องออกเรือนไปกับคนที่บิดามารดาเลือกให้
นางค่อย ๆ เรียบเรียงความคิดอีกครั้ง ก่อนจะบอกความต้องการ
ของตัวเอง
“ข้ากับเจ้าเป็นสหายกันมาเนิ่นนาน เจ้าน่าจะรู้จักนิสัยของข้าดี หากลงว่าตัดสินใจไปแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนใจ” นางเอ่ยบอกเขาอย่างจริงจัง
“เจ้าไม่ไปได้หรือไม่” เขาเอ่ยปากขอร้อง ความรู้สึกตอนนี้คล้ายกับว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไป
หานลู่เหมยยิ้มน้อย ๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหมดหวัง
“เจ้าจงกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นเถอะ” หญิงสาวระบายยิ้มอ่อน ๆ ให้กับเขา แววตาเก็บซ่อนความรู้สึกบางประการไว้อย่างมิดชิด
“เจ้าจะทิ้งข้าไปจริง ๆ สินะ” เขาเอ่ยเสียงเศร้า ด้วยรู้ดีว่ามิอาจรั้งนางไว้ได้อีกแล้ว
“เจ้าจะคิดมากไปไย ข้าเพียงแค่ออกไปเที่ยวเล่นก็เท่านั้น ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบ้านเกิดของข้า สักวันก็ต้องกลับมาอยู่ดี”
จ้าวลี่หยางไม่ได้เอ่ยตอบ เขาเลือกที่จะเงียบและจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ เขาจึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะออกเดินทางเรามารื้อฟื้นความหลังกันก่อนดีหรือไม่ ข้ากับเจ้าไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานานแล้ว ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง”
“ได้สิ เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ว่ามาได้เลย” หานลู่เหมยยิ้มกว้าง
แม้ลึก ๆ จะนึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงยอมง่าย ๆ หากแต่ก็พยายามมองในแง่ดีว่าเขาเองก็คงจะเข้าใจ
ลี่หยางมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แม้แต่นางเองก็เช่นกัน
สองสัปดาห์ต่อมา...
ก่อนถึงกำหนดวันออกเดินทางเพียงหนึ่งสัปดาห์...
“เจ้ารอข้านานหรือไม่” หญิงสาวในคราบคุณชายเดินเข้ามาทักทายด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“เจ้ารีบมานั่งลงข้าง ๆ ข้าเถิด คืนนี้จะมีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น”
นางนั่งลงข้าง ๆ เขาอย่างว่าง่าย แม้จะนึกแปลกใจอยู่หลายส่วนว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไป สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเขาทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำตัวตามปกติ นางจึงคลายความกังวลลงไปได้บ้าง
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่เขาและนางก็ยังไม่มี
ทีท่าว่าจะเมาเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวกล้าพูดได้เต็มปากว่าตนเองค่อนข้างคอแข็งมากกว่าเขาเสียอีก
“จอกนี้ข้าขอดื่มให้กับเจ้า สหายรักของข้า” ลู่เหมยที่บัดนี้ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์ของสุรา แต่ก็ยังสามารถควบคุมสติไว้ได้อยู่ ก่อนจะรีบกระดกเข้าปากอย่างรวดเร็ว แต่จู่ ๆ ความง่วงก็พุ่งตัวเข้าจู่โจม เปลือกตารู้สึกหนักอึ้ง แม้จะพยายามฝืนลืมตาอย่างไร แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ฟุบหลับคาโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ เขย่าร่างของสหายเพื่อดูว่านางหลับจริงหรือไม่
“เหมยเหมย ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ต้องทำเช่นนี้”
เขาช้อนร่างแล้วอุ้มหญิงสาวขึ้นไว้แนบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องไป รอยยิ้มแสดงถึงความพอใจได้อย่างชัดเจน
“จงเร่งไปทำตามแผน” เขาเอ่ยสั่งองครักษ์ และเดินเข้าไปในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี