บทที่ 1 ผู้ชายกะหลั่ว 2

2684 Words
หลังจากวันนั้น หยาดฟ้าก็เทียวไปมาที่โรงสีแห่งนี้ทุกวัน จากแรกๆ ที่มามือเปล่า วันสองวันให้หลังก็มาพร้อมกับขนมนมเนยต่างๆ ที่เธอไปซื้อมาจากตลาด เพื่อเอามาฝากให้ไอ้ดินได้กิน แต่เขาไม่ได้กินหรอก พอรับมาจากหญิงสาว เขาก็ส่งต่อให้กับเพื่อนคนงานได้ลิ้มรสแทน โดยที่ไม่สนใจว่า หยาดฟ้าจะว่าอย่างไรเลยแม้แต่น้อย “ทำแบบนี้จะดีเหรอวะเอ็ง คุณฟ้าเขาซื้อมาให้เอ็งกินนะเว้ย” เพื่อนคนงานคนหนึ่งกระซิบกระซาบขณะที่มือก็จกจ้วงขนมปังไส้ หมูหย็องของร้านเบเกอร์รี่เจ้าดังในตลาดไม่หยุด ส่วนไอ้ดินก็ผินหน้ามามองเล็กน้อย “ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก ซื้อมามากขนาดนี้ แบ่งให้พวกเอ็งกินน่ะดีแล้ว จะได้ไม่เสียของ” “แต่ข้าเกรงใจคุณฟ้าจังเลยว่ะ” “เขาซื้อมาให้กินก็กินไปเถอะน่า” “ซื้อมาให้เอ็งน่ะสิ ไม่ใช่ให้ข้ากับพวกคนอื่น เอ้อ ว่าแต่คุณฟ้าเขามีธุระอะไรกับเอ็งวะ ถึงได้มาหาถึงโรงสีได้ทุกวัน” เพื่อนคนงานถามด้วยความสงสัย สังเกตมาหลายวันแล้วว่า หยาดฟ้าตั้งใจมาหาไอ้ดินเพียงคนเดียวด้วย และเสียงพูดคุยนั้นก็ทำให้คนงานคนอื่นๆ ที่กำลังสวาปามขนมปังหลากหลายไส้อยู่ถึงกับหัวเราะ “จะมีธุระอะไรล่ะ ก็คุณหนูเขาคงจะชอบไอ้ดินเข้าน่ะสิวะ ฮ่าๆๆ” พลันก็มีเสียงหัวเราะกันขรม ไอ้ดินถูกแซวไม่หยุดหย่อนทันที “โห เสน่ห์แรงจังวะเอ็ง นี่หญิงในหมู่บ้านมาติดพันไม่พอ คุณหนู ดอกฟ้าก็มาติดพันด้วยอีกคน ทำบุญด้วยอะไรวะไอ้ดิน ถึงได้เกิดมามีบุญขนาดนี้เนี่ย” “มีบุญบ้าอะไร พูดไร้สาระ” “ไร้สาระอะไรกัน ข้าพูดจริง อย่างคุณหนูหยาดฟ้าเนี่ยนะ ถ้ามาชอบข้า ข้าจะรีบรี่ไปกระโดดตกถังข้าวสารเลย ได้มีทั้งเมียสวย ทั้งฐานะดี ใครไม่เอาก็โง่แล้ว” ไอ้ดินชักสีหน้า เงื้อกำปั้นเล็กน้อยเป็นการขู่ที่จู่ๆ ก็ถูกด่ากลายๆ ว่าเป็นคนโง่ ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนคนงานพูดพล่ามเรื่องนี้ไม่หยุด “พวกเอ็งสงบปากสงบคำหน่อย ถึงคุณฟ้าเขาจะชอบพอข้า แต่ข้าก็ไม่ได้อยากทำให้เขาเสียหาย พูดอะไรก็นึกถึงน้ำใจที่คุณฟ้าเอามาให้พวกเอ็งยัดห่าเข้าปากกันด้วย” เท่านั้นเสียงแซวก็เงียบลงไปเพราะต่างรู้ดีว่าถ้าทำให้ไอ้ดินไม่พอใจเมื่อไร ย่อมจะส่งผลไม่ดีกับตัวพวกเขา ส่วนเหตุผลว่าทำไมน่ะหรือ? ก็ไอ้ดินน่ะ เป็น... “นายดินๆ มานี่ๆ” ไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงหวานของเจ้าของถุงขนมปังมากมายก็ร้องเรียกพลางกวักมือให้ไอ้ดินเข้าไปหา ไอ้ดินถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะไม่เดินไปหาก็ไม่ได้ ติดหนี้ขนมปังเธอเพราะพวกเพื่อนคนงานกินกันเกลี้ยงไปแล้ว ทำให้ต้องไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอในที่สุด “คุณหนูมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” แล้วเขาก็แกล้งใช้คำพูดให้เธอรู้สึกสูงส่ง หยาดฟ้าทำปากย่นเล็กน้อย รู้ทันเขาหรอก แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจในภายหลัง “ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายดินเป็นการส่วนตัวน่ะ” “เรื่องอะไรครับ ถ้าเป็นเรื่องว่าจ้างผมให้เป็นผัว ผมไม่คุยนะ” รู้ทันเธออย่างนี้ แล้วเธอจะพูดอะไรได้ล่ะ เอาเถอะ ไม่อยากให้พูดเรื่องว่าจ้าง เธอก็จะไม่พูดเรื่องว่าจ้างก็ได้ “งั้นฉันก็ไม่พูดเรื่องจ้างก็ได้ค่ะ จะพูดเรื่องอื่นแทน” ไอ้ดินยืดตัวขึ้น ยกแขนกอดอกเหมือนเดิม “เรื่องอะไรครับ” “ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” “ฮะ?” “ฉันจะเป็นเมียของคุณ...นายดิน” ว่าพลางยิ้มแฉล้มอย่างยินดีที่จะมาเป็นเมียเขา ขณะที่ไอ้ดินฟังแล้วก็ต้องสลัดศีรษะสองสามทีเพื่อไล่ความมึนงง เมื่อกี้เขาได้ยินว่า... “นะ รับฉันเป็นเมียของคุณเถอะนะ นายดิน” ได้ยินไม่ผิดจริงๆ ด้วย แม่สาวเมืองกรุงคนนี้ยัดเยียดความเป็นผัวให้เขาอยู่! ไอ้ดินถึงกับส่ายหน้าพรืดอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอย่างรวดเร็วเช่นกัน “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” พยายามพูดให้เห็นความแตกต่างระหว่างฐานะของเขาและเธอ แต่หยาดฟ้าก็ยังดื้อดึง “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! แต่เขาไม่พูดประโยคที่คิดในหัวออกมาหรอก เดี๋ยวแม่สาวคนนี้ เออออขึ้นมาด้วยจะเป็นเรื่องใหญ่ “คุยไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยด้วยแล้วนะ” ตัดบทแล้วเดินหนีไปเลยดีกว่า เหมือนกับที่เขาทำกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มาจอแจเขา ไว้พอหยาดฟ้าเบื่อ เธอก็คงจะไปเอง แต่หยาดฟ้ากลับไม่ไปง่ายๆ เดินตรงมาหยุดที่หน้าของไอ้ดินแล้วเชิดใบหน้าขึ้น “แต่ฉันตัดสินใจแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะเอานายดินเป็นผัวให้จงได้” ชายหนุ่มถึงกับต้องรีบหันรีหันขวางเพื่อสำรวจว่ามีใครได้ยินหรือไม่ แน่ล่ะว่ามีได้ยินกันหลายคนเลย แต่พวกเพื่อนคนงานของเขากลับพากันทำไม่รู้ไม่ชี้ไปตามเรื่อง ปวดหัวจริงเลยกู... ไอ้ดินรำพึงกับตัวเอง ยกมือขึ้นนวดขมับที่เต้นตุบๆ เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวอีกครั้ง “มาเป็นผัวฉันเถอะนะ” “นี่คุณฟ้า ผม...” กริ๊ง... เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของหยาดฟ้าดังขึ้นขัดพอดี หญิงสาวชูนิ้วชี้ในอากาศเป็นเชิงบอกว่าให้เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วคว้าเอาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าสะพายมาดูที่หน้าจอ พลันสีหน้าระรื่นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียดเมื่อเห็นคนโทรเข้ามา “ว่าไงคะพ่อ” เป็นบิดาของเธอเช่นเดิม พอสิ้นเสียงหวาน เสียงเอ็ดตะโรก็ดังตามมา [ฉันบอกให้แกกลับบ้าน นี่แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ!] หยาดฟ้าดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูแทบไม่ทัน พอตั้งหลักได้ ก็กรอกเสียงลงไป “ทำไมฟ้าจะต้องเชื่อฟังพ่อด้วย ในเมื่อพ่อก็ไม่เคยฟังฟ้าเลย” [ฉันไม่ฟังแกเรื่องอะไร!] “ก็เรื่องแต่งงานนั่นไงคะ ฟ้าบอกแล้วไงว่าไม่แต่งๆ พ่อก็ยังจะบังคับฟ้าอยู่ได้” [ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าที่ทำอย่างนี้ มันเป็นเพราะฉันเป็นห่วงแก อยากให้แกได้เจอคนดีๆ ไม่ใช่เอาไอ้กเฬวรากที่ไหนมาเป็นผัว!] “ต่อให้เป็นคนกเฬวราก ฟ้าก็ไม่สนใจหรอกค่ะ ถ้าเป็นคนที่ฟ้าเลือกเอง ไม่ใช่พ่อเลือกให้” [นังฟ้า!] “แล้วฟ้าก็มีคนคนนั้นแล้วด้วย มาค่ะ ฟ้าจะให้พ่อดูหน้า จะได้เลิกบังคับฟ้าสักที” จู่ๆ หยาดฟ้าก็วางสาย แล้วโทรกลับไปด้วยวิดีโอคอลล์เพื่อที่จะเปิดกล้องให้บิดาได้เห็นหน้า ไอ้ดินที่ยืนฟังการถกเถียงของพ่อลูกคู่นี้อยู่นานเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมจะหนีไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อวงแขนเล็กตวัดมาโอบรอบลำคอเขาเอาไว้ “คุณฟ้า!” “นี่ไงคะผัวฟ้า เป็นกุลี ผู้ชายกะหลั่วๆ กเฬวราก แถมหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ด้วยค่ะ” หนีไม่ทันแล้ว เธอล็อกคอไอ้ดินไว้มั่นเรียบร้อย บิดาของเธอก็ได้เห็นสีหน้าตื่นๆ ของไอ้ดินเต็มสองตาขณะที่ไอ้ดินไม่ทันจะได้มองหน้าของบิดาเธอชัดๆ ก็ใครมันจะกล้ามอง จู่ๆ ลูกสาวเขาก็ทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้น่ะ มีแต่บิดาของหยาดฟ้านั่นล่ะที่จู่ๆ ความดันก็ขึ้นจนเต้นผาง ส่งเสียงโวยวายผ่านโทรศัพท์มือถือออกมาเป็นการใหญ่ [นังฟ้า! แกนี่มัน...นี่มัน...!] ด่าไม่ออกเลยทีเดียวล่ะ ไม่คิดว่าลูกสาวคนเดียวจะทำได้ถึงขนาดนี้ ความจริงหยาดฟ้าก็ไม่อยากจะทำหรอก แต่ถ้าบิดายังคงยืนกรานว่าจะจับเธอแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้จักอยู่อีกล่ะก็ วิธีนี้ก็เป็นการแก้เผ็ดอย่างแสบสันเลยทีเดียวล่ะ “เห็นไหมคะว่าหนูมีผัวแล้ว เรารักกันมากด้วย ไม่เชื่อพ่อก็ลองดูค่ะ” ฟอดดด... หญิงสาวหันปลายจมูกโด่งๆ ฝังลงไปบนแก้มสากของไอ้ดินทันที คนถูกขโมยหอมแก้มเบิกตาโตด้วยความตกใจ ลำคอตีบตัน พูดอะไรไม่ออก ขณะที่บิดาของหยาดฟ้าแทบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง [นังฟ้า! เจอกันเมื่อไร ฉันไม่เอาแกไว้แน่!] “คงจะเจอกันยากแล้วล่ะค่ะพ่อ หนูจะไม่กลับแล้ว หนูจะอยู่กับผัว” เรียกได้ว่าทุกคำพูดที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปากเล็กนั้นเต็มไปด้วยความสะใจทั้งสิ้น ไอ้ดินได้ฟังก็อยากจะจับเจ้าหล่อนมาตีก้นให้เลิกทำนิสัยแย่ๆ แบบนี้กับบุพการีเสียเหลือเกิน แต่แล้วความคิดเหล่านั้นก็หยุดไปเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงแหบห้าวเล็ดลอดจากโทรศัพท์มาให้ได้ยิน [ไอ้หนุ่มคนนี้...หน้าคุ้นๆ เหมือนฉันเคยเจอที่ไหนหรือเปล่า] ไอ้ดินได้ยินก็เสียวสันหลังวาบ เขาเบือนหน้าหนีทันที ขณะที่บิดาของหยาดฟ้าพยายามออกคำสั่ง [หันมามองตรงๆ ฉันจะได้ดูว่าหน้าแกมันเหมือนกับ...] “แค่นี้นะคะพ่อ หนูไม่คุยแล้ว ผัวเลิกงานแล้ว บายค่ะ” เคราะห์ดีที่หยาดฟ้าเบื่อหน่ายกับการคุยกับบิดาเสียก่อน จึงกด ตัดสายและกดปิดโทรศัพท์กันบิดาโทรมาตามจิก ก่อนจะหันหน้ามายิ้มให้กับ ไอ้ดินที่ปั้นหน้าบึ้งตึงเป็นที่เรียบร้อย “ขอโทษด้วยนะคะที่พ่อของฉันวุ่นวาย” “ผมว่าคุณไม่ควรพูดกับพ่ออย่างนี้เลยนะ เขาเป็นห่วงคุณนะรู้ไหม” ถูกดุเสียอย่างนั้น หยาดฟ้ายักไหล่แล้วทำทีเป็นไม่สนใจ “แล้วคุณเลิกงานเมื่อไรเหรอคะ” เปลี่ยนเรื่องด้วย ไอ้ดินถอนหายใจยาวแล้วก็ตอบไปตามความจริง ไม่อยากจะถือสาอุปนิสัยไม่ดีของเธอเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ “อีกครึ่งชั่วโมงก็เลิกแล้วครับ เหลือทำความสะอาด ทำเสร็จก็กลับบ้านได้” แต่การพูดอย่างนี้ก็ทำให้หยาดฟ้ามีท่าทีรีบร้อนขึ้นมา “แล้วนายดินกลับบ้านทันทีเลยหรือเปล่าคะ” “ก็...ไม่ครับ ผมต้องอยู่คอยปิดโรงสีด้วย” “ใช้เวลาประมาณเท่าไรคะ” “ราวๆ ชั่วโมงนึง ทำไมเหรอครับ” ไอ้ดินชักสงสัยแล้วว่าสาวเจ้าถามเขาอย่างนี้ทำไม แต่หยาดฟ้าไม่ตอบ ได้แต่บอกเขาเร็วๆ “อย่าเพิ่งรีบไปไหนนะคะ เดี๋ยวฟ้ามาค่ะ แป๊บเดียว” จากนั้นก็กระโดดขึ้นรถยนต์คันหรู แล้วขับหายออกไปจากโรงสีท่ามกลางความงุนงงของคนที่มองอยู่ แต่...ช่างเถอะ ไปได้ก็ดีแล้ว เขาจะได้รีบจัดการทำหน้าที่เขาแล้วกลับบ้านไปนอนเสียที ทว่าความตั้งใจของไอ้ดินก็พังทลายลงเมื่อหลังจากนั้นไม่นาน คนที่เพิ่งจะขับรถออกไปก็กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ขับรถมา มีชาวบ้านขี่รถซาเล้งมาส่งที่หน้าโรงสี “ขอบคุณลุงมากนะคะ นี่เงินค่ะ เป็นค่าน้ำมัน” หญิงสาวยื่นธนบัตรใบสีแดงให้กับคนอาวุโสกว่า อีกฝ่ายยกมือขึ้นพนมไหว้เธอเป็นการใหญ่ ขณะที่หยาดฟ้าก็ยกมือไหว้ประหลกๆ เช่นกัน ท่าทางนั้นก็ดูตลกอยู่ แต่พอเธอเดินเข้ามาในโรงสี ก็ชักจะไม่ตลกแล้ว เพราะนอกจากเธอจะมาโดยไม่มีรถ มือของเธอยังจะมีกระเป๋าลากใบย่อมด้วย “คุณคิดจะทำอะไรน่ะคุณฟ้า” พอมาหยุดอยู่ตรงหน้า ไอ้ดินก็ไม่รอช้าที่จะถามออกไปทันที หยาดฟ้ายิ้มกว้างแล้วตอบเสียงใส “ก็จะไปอยู่บ้านผัวไงคะ” ไป - อยู่ - บ้าน - ผัว!? นี่เธอหมายความว่าอะไร!? ไอ้ดินเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด หยาดฟ้าคงจะหมายถึง... “เสื้อผ้าที่ฉันเอามา น่าจะพอใช้ ถ้าไม่พอ เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาขนใหม่” นั่นปะไร! เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้จริงๆ ด้วย! ชายหนุ่มถึงกับไมเกรนขึ้นจนแทบเซ ผู้หญิงคนนี้เอาจริงดิ!? เอาจริงอยู่แล้ว ถ้าไม่เอาจริงก็คงจะไม่ทำแบบนี้หรอก มิหนำซ้ำยังจะถามตาใส “แล้วนายดินมาทำงานยังไงเหรอ เดินมา หรือว่าเอารถมา” ดวงตากลมสวยมองไปรอบๆ เพื่อหารถยนต์ทันที ทำให้ไอ้ดินต้องถอนหายใจยาวแล้วตอบออกไป “ผมไม่มีหรอกรถยนต์อะไรน่ะ ไม่มีเงินซื้อ” “อ้าว แล้วมาทำงานยังไงคะ เดินมาเหรอ” ไอ้ดินส่ายหน้า “บ้านผมอยู่ในตลาด กว่าจะเดินมา กว่าจะเดินกลับ หมดวันกันพอดี” “แล้วมาทำงานยังไงล่ะคะ บอกมาซะที ฉันไม่รู้นี่” หญิงสาวเริ่มทำแก้มป่องๆ ด้วยความงอนแล้วที่เขาไม่ยอมบอกสักที ทำให้นิ้วเรียวๆ ของไอ้ดินชี้ไปยังรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ คันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก “ผมขี่รถเครื่องมา” “รถเครื่อง...” หยาดฟ้าคราง “อ้อ รถมอเตอร์ไซค์!” นั่นแหละ อย่างเดียวกัน ต่างจังหวัดในบางพื้นที่เรียกกันว่ารถเครื่อง “งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ คุณเสร็จงานแล้วนี่ ปะ กลับกันเถอะ” หยาดฟ้าเปลี่ยนเรื่องฉับพลันชนิดที่ไอ้ดินตามไม่ทัน เขามองตามแผ่นหลังเล็กของหญิงสาวที่เดินตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “มาขี่สิคะ เราจะได้กลับกัน” ถึงตอนนี้ ไอ้ดินคงทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากจะให้สาวเจ้าซ้อนท้ายแล้วพากลับบ้าน... บ้านของเธอ ไม่ใช่บ้านของเขานะ แต่พอเขาคร่อมมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บเป็นที่เรียบร้อย และหยาดฟ้าก็ขึ้นมาคร่อมซ้อน เขาก็ออกปากถาม “บ้านคุณอยู่ไหน ผมจะไปส่ง” “บ้านฉันก็บ้านเดียวกับบ้านคุณนั่นแหละค่ะ” “ไม่ ผมหมายถึงบ้านคุณ” “บ้านเดียวกับผัวไง ไปค่ะ กลับบ้านกันที่รัก” จนปัญญาจะคุยกับคนดื้อดึง แถมยังหน้ามึนเหลือเกิน ไอ้ดินชักเอือมระอาแล้ว “คุณฟ้า ผมหมายถึงบ้านของคุณ ไม่ใช่บ้านของผม บ้านคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปส่ง มันจะมืดแล้ว” “มืดแล้วก็รีบพาเมียกลับบ้านสิคะ มัวชวนคุยอะไรอยู่ ไปเร็วเข้า” มึนจริงๆ ตีเนียนไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนี้ น่าจับเทกระจาดข้างถนนดินลูกรังนัก! ได้แต่คิดเท่านั้นแหละ ไอ้ดินไม่กล้าทำหรอก มีแต่แผนการบางอย่างที่ผุดพรายขึ้นมาในหัว ได้...ในเมื่ออยากไปบ้านเขานัก เขาก็จะพาไปก็ได้ แล้วพอได้ไปเห็นสภาพบ้านเขา ขี้คร้านแม่คุณหนูนี่จะรีบกลับที่ตัวเองแทบไม่ทัน พลันก็ใช้เท้าถีบสตาร์ตคันเร่ง หลังจากนั้นก็ขับปุเรงๆ ออกจากโรงสีไป มุ่งหน้าสู่ ‘บ้านหลังน้อย’ ของเขาทันใด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD