“แก้มใสต้องไปคอยดูแลไบค์นะ” ผมตอบแทนแก้มใส
“ทำไม! มึงเป็นหง้อยเหรอ ถึงต้องมีคนดูแล” คำถามกวนๆ แบบนี้มาจากปากใครไม่ได้ นอกจาก ไอ้โต้ง
“กูไม่ได้เป็นหง้อยโว้ย กูแค่อยากอยู่ใกล้ๆ แฟน ไม่ได้รึไง”
“ทำเป็นติดแฟน ตอนไม่มีแฟนนี่มึงไปติดอะไรวะ!” แล้วไอ้เพื่อนยากก็โยนระเบิดตูมใหญ่ใส่หน้าผมเต็มๆ ใบหน้าหวานหันขวับมามองผมด้วยสายตาดุนิดๆ แก้มใสคงตีความหมายไปไกลแล้วตอนนี้
“กูก็ติดเหมือนมึงแหละ” แล้วผมก็โยนระเบิดกลับไปให้ไอ้โต้งเหมือนกัน
“ติดอะไรเหรอ โต้ง...” พี่มิรินหันไปทำตาเขี้ยวใส่โต้งชนิดรุนแรง
“ไอ้ไบค์มันก็พูดไปเรื่อยแหละ มิรินอย่าไปฟังมันนะ” โต้งรีบส่งสายตาออดอ้อนพี่มิรินสุดฤทธิ์
“งั้นแก้มขอตัวกลับก่อนนะคะ” แก้มใสยกมือไหว้พี่มิรินกับโต้งแล้วรีบเดินหนีผมทันที นั่นไง งานเข้าแล้วไหมล่ะ
“แก้มใส!”
ผมหันมาชี้หน้าไอ้โต้งอย่างคาดโทษก่อนจะรีบวิ่งตามแก้มใสไปติดๆ ตัวเล็กแค่นี้ทำไมเดินเร็วจังว่ะ! ผมก้าวขายาวๆ รีบคว้าร่างบางไว้ก่อนที่เธอจะเดินออกห่างไปไกลกว่านี้
“แก้มใส!” ในที่สุดผมก็คว้าร่างบางได้สำเร็จ แก้มใสหันตัวกลับมาแต่ไม่ยอมมองหน้า ผมก็ไม่รู้จะง้อยังไงจึงรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แนบอกแกร่ง แก้มใสขัดขืนสุดฤทธิ์แต่ก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่ดี
“ปล่อยแก้มนะ!” มือเล็กพยายามดันอกแกร่งให้ออกห่าง
“ไม่ปล่อย!” นอกจากไม่ปล่อยแล้วผมยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก ตอนนี้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็หันมามองที่ผมกับแก้มใสเป็นตาเดียว บ้างก็ส่งสายตาตำหนิมาให้ผม บ้างก็ส่งสายตาแอบฟินมาน้อยๆ จะยังไงก็ชั่ง ผมไม่สน ผมสนแค่คนในอ้อมกอดของผมเพียงคนเดียว
“พี่ไบค์...” แก้มใสเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“ครับ”
“นี้มันกลางห้างฯ นะ ไม่อายเขารึไง”
“ใครสนกันล่ะ”
“แต่แก้มสน” แก้มใสตอบเสียงอู้อี้
“งั้นไปคุยกันที่รถ”
ผมคล้ายอ้อมกอดแล้วกุมมือเล็กให้เดินตามมายังลาดจอดรถ แก้มใสเอามืออีกข้างปิดหน้าตัวเองมาตลอดทาง คงกลัวคนเหล่านั้นจะจำหน้าเธอได้ล่ะมั้ง
เมื่อเดินมาถึงรถ ผมก็ดันร่างบางให้ยืนพิงกับตัวรถและตามมาด้วยแขนหนากักตัวเธอไว้ แก้มใสหลบตาทันทีที่เลื่อนสายตาขึ้นมาเจอกับสายตาของผม
“มองหน้าพี่” ผมบอกด้วยเสียงเข้มปนบังคับเล็กน้อย แต่แก้มใสก็ไม่ยอมทำตาม แอบพยศอยู่เหมือนกันแฮะ!
มือหนาจับปลายคางให้เชิดขึ้นก่อนจะแนบริมฝีปากประทับจูบปากบางทันที ริมฝีปากบางเม้มชิดกันแน่นไม่ยอมให้ผมล้วงล้ำเข้าไปได้ ผมจึงเลื่อนฝ่ามืออีกข้างนวดคลึงเบาๆ ที่ท้ายทอยเพื่อให้แก้มใสผ่อนคลายและยอมโอนอ่อนไปกับสัมผัสของผม
“อื้ออ” เสียงเล็กพึมพำผ่านลำคอเมื่อยามถูกลิ้นหนาโฉบเข้าตวัดดูดดึงลิ้นเล็กอย่างเย้ายวน ลิ้นหนากวาดต้อนไปทั่วโพรงปากเล็ก ดูดดื่มความหวานให้หน้ำใจ แอบลงโทษคนขี้งอนด้วยการกัดเม้มเบาๆที่ปลายลิ้น ทำให้ร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดถึงกลับกระตุกเลยทีเดียว
“อื้ออ” แก้มใสส่งเสียงประท้วงอีกครั้งเมื่อเธอเริ่มขาดอากาศหายใจ ผมจำต้องค่อยๆ ถอดริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
เมื่อได้อิสระคืนแก้มใสก็รีบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ไม่ต่างกัน ยามที่ได้สัมผัสริมฝีปากนี้ทีไร ไม่มีครั้งไหนที่จะไม่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างแล้วส่งผลมาถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในที่มันเรียกร้องหาร่างกายอันแสนอบอุ่นของแก้มใส
“ถ้างอนอีก พี่จะง้อแบบนี้ และมากกว่านี้ด้วย” ผมจ้องตากลมโตด้วยรอยยิ้มเลศนัย ทำให้แก้มใสต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางด้วยความเขินอาย แก้มเนียนแปร่งสีแดงอมชมพู่ขึ้นมา ผมจึงยื่นจมูกโด่งกดแนบหนักหนึ่งครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ตลอดเลย!” แก้มใสหันหน้ามาทำตาเขียวใส่พร้อมกับยกมือบางขึ้นลูบแก้มตัวเองปอยๆ
“ก็ยังไม่หายงอนนิ พี่ก็ต้องง้อสิ”
“แก้มไม่ได้งอนนะ”
“ไม่งอนแล้วเดินหนีพี่ทำไม”
แก้มใสหายใจแรงหนึ่งทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมโดยตรง “พี่ไบค์รำคาญแก้มไหม เบื่อแก้มหรือเปล่า” ตากลมโตมีแววสั่นไหวนิดๆ เหมือนแอบกลัวอะไรอยู่
“ไม่เลย พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด”
“แก้มไม่รู้ว่าแก้มเป็นอะไรไป ถึงได้ทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลแบบนี้ แก้มไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย แก้มกลัวพี่ไบค์จะรำคาญและเบื่อเข้าสักวัน” แก้มใสแสดงความกังวลออกมา
“พี่รู้ว่าแก้มเป็นอะไร” ผมโน้มหน้าลงชิดหน้าผากมนเพื่อให้ดวงตาของเราประสานกัน “เพราะแก้มเริ่มมีใจให้พี่ไง แก้มถึงได้มีอาการแบบนี้”
ผมจ้องตากลมโตอย่างคาดหวังว่าแก้มใสจะเอ่ยพูดบางอย่างออกมา แต่แล้วก็มีเพียงแววตาสั่นไหวเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าแก้มใสรู้สึกอย่างไร เธอไม่ยอมพูด ผมเองก็ไม่อยากบังคับอะไรมาก เพราะผมเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด แต่ลึกๆ แล้ว ใจผมมันก็อยากจะได้ยินประโยคนั้นอยู่เหมือนกัน
“กลับบ้านกัน” เมื่อแก้มใสไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา ผมจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ค่ะ”
ผมขับรถมาจอดไว้ที่หน้าหมู่บ้านเหมือนเมื่อเช้า ก่อนจะเดินไปเอารถจักรยานที่ฝากพี่ๆวินมอไซร์ไว้ รถจักรยานคันนี้เป็นของเทน ซึ่งยืมมันมาใช้เมื่อเช้านี่เอง
ผมปั่นให้แก้มใสนั่งซ้อนท้าย มันก็เป็นอะไรที่น่ารักดีนะ ผมไม่ค่อยได้มาทำอะไรแบบนี้สักเท่าไร ผมไม่เคยรู้สึกว่าการปั่นจักรยานแบบนี้จะทำให้ผมมีความสุขได้ จนวันนี้...ที่ผมปั่นแล้วมีคนที่ผมรักนั่งซ้อนท้ายและมีมือบางโอบเอวมาตลอดทาง มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นที่หาซื้อจากไหนไม่ได้ ถ้าหากว่าเราไม่สร้างมันด้วยตัวเอง
“เป็นไง พี่ปั่นนิ่มไหม” ผมหันไปถามคนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่เบาะหลัง
“ดีกว่ารถซุปเปอร์ไบค์เยอะเลยค่ะ” แก้มใสตอบ
“ทำไมอะ” ผมกำเบรกหยุดรถทันที แอบไม่พอใจอยู่นิดๆ ที่แก้มใสไม่ชอบการขับรถของผม
“ก็พี่ไบค์ชอบบิดเร็วอะ กับจักรยานน่ะ ถ้าพี่ปั่นเร็วเมื่อไหร่ เดี๋ยวสักพักพี่ก็เหนื่อยเอง” แก้มใสเอียงหน้ามาตอบพร้อมรอยยิ้มแสนสดใส
“ก็พี่เป็นนักแข่งนิ” ผมแอบเถียง
“ก็บิดเร็วแค่ไหนสนามแข่งก็พอนิ มาขับบนท้องถนนแบบนั้น มันอันตรายนะ”
“เป็นห่วงเหรอ”
“เป็นห่วงสิ” มือเล็กสอดเข้ามาจากด้านหลังแล้วโอบเอวผมพร้อมกับฝั่งใบหน้าเข้ากับแผ่นหลังอย่างออดอ้อน จะน่ารักเกินไปแล้วนะ บทจะว่านอนสอนง่าย ก็ทำซะผมใจสั่นหมดเลย แอบขี้อ้อนเหมือนกันนะเนี้ย
เมื่อมาถึงบ้านของแก้มใสก็เห็นแม่กาญกำลังวุ่นอยู่กับการขายของที่หน้าร้าน และไหนจะออเดอร์อีกสิบกว่าแผ่นที่แปะไว้ข้างฝานั่นอีก ผมกับแก้มใสจึงรีบเข้าไปช่วยงาน
แม่กาญให้ผมกับแก้มใสช่วยส่งของตามออเดอร์ที่แปะอยู่ข้างฝา ซึ่งก็เป็นลูกค้าที่อยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ ผมจึงอาสาเป็นคนปั่นจักรยานพาแก้มใสส่งของตามบ้านจนหมด ถึงจะเหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุกดีเหมือนกันเฮะ ได้ทั้งเหงื่อและได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย
“เป็นไงบ้างลูกเหนื่อยกันไหม หิวข้าวหรือเปล่า” แม่กาญเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ทำให้ผมนึกถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา ความรู้สึกที่มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใยและคอยถามไถ่แบบนี้ ผมไม่ได้พบเจอมานานแค่ไหนแล้ว
“แก้มไปหาอะไรให้พี่เขาทานหน่อยสิ เดี๋ยวแม่จัดการที่เหลือต่อเอง” แม่กาญหันไปสั่งลูกสาว แก้มใสจึงพยักหน้ารับคำ
แก้มใสเดินนำหน้าผมเข้ามาในตัวบ้านของเธอก่อนจะหันมาบอกให้ผมนั่งรอที่โซฟาไม้ บ้านของแก้มใสเป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างทำด้วยปูน ส่วนชั้นบนทำด้วยไม้ สภาพภายนอกดูโทรมอยู่เล็กน้อยแต่ไม่ถึงกลับโทรมมาก คงเป็นเพราะเจ้าของบ้านดูแลเป็นอย่างดีเลยทำให้บ้านหลังนี้แลดูอบอุ่นและน่าอยู่กว่าบ้านที่หลังใหญ่ซะอีก
“พี่ไบค์จะอาบน้ำก่อนไหม เหงื่อท่วมตัวแล้วนั่น” แก้มใสชะโหงกหน้าจากประตูครัวมาถาม
“ก็ดีนะ เหนียวตัวมากเลย”
ปั่นจักรยานส่งของนี่เท่ากับผมไปวิ่งออกกำลังมาเลยนะเนี่ย ได้เหงื่อดีมากเลย แก้มใสกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง เมื่อคิดว่าตัวเองจะได้อาบน้ำผมจึงปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกและถอดวางพาดบนพนักพิงโซฟา
“ถอดเสื้อทำไมคะ!” แก้มใสเดินออกมาจากครัวด้วยใบหน้าแตกตื่นที่เห็นผมเปลือยท่อนบน
“เอ้า! ก็จะอาบน้ำไง”
“ก็ไปถอดในห้องน้ำสิ มาถอดตรงนี้ทำไม”
แก้มใสเดินเข้ามาจับมือผมลุกขึ้นแล้วพาผมเดินไปยังชั้นบนของบ้าน เธอพาผมเข้ามาในห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นห้องนอนของแก้มใสแน่ ๆ เพราะภายในห้องถูกตกแต่งด้วยของกระจุกกระจิกในแบบฉบับของผู้หญิง และสิ่งที่ยืนยันแน่นอนก็คงจะเป็นรูปถ่ายของเจ้าของห้องกับเพื่อนรักที่อยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายถูกตั้งประดับไว้บนโต๊ะโคมไฟข้างเตียงนอน
ผมถือวิสาสะเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนและหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูใกล้ๆ รอยยิ้มแสนสดใสที่ทำให้ผมประทับใจตั้งแต่วันแรกที่เห็น ใบหน้าแห่งความสุขยามที่แก้มใสได้อยู่กับเพื่อนรักของเธอ
“ไปอาบน้ำค่ะ” แก้มใสแย่งรูปถ่ายไปจากมือผม และยื่นผ้าขนหนูมาให้แทน
“ผ้าของใคร?”
“แก้มไปเอามาจากตู้ของแม่ค่ะ ยังใหม่อยู่” แก้มใสคงคิดว่าผมรังเกียจแน่เลย ถึงได้มองหน้าผมด้วยสีหน้าสลดนิดๆ แต่เธอคิดผิด ผมไม่ได้รังเกียจเลยสักนิด
“แล้วผ้าของแก้มล่ะ อยู่ไหน”
“ก็แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าไง” แก้มใสเงยหน้ามาตอบด้วยสีหน้างุนงง ผมหันไปมองยังตู้เสื้อผ้าของแก้มใส ก็เจอกับผ้าขนหนูสีชมพูแขวนไว้หน้าตู้ ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบมาพาดบ่าตัวเองก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ
“เดี๋ยวค่ะ” แก้มใสรีบวิ่งมาขว้างหน้าพร้อมกับยื่นมือมาทำท่าจะแย่งผ้าคืน แต่มีเหรอที่คนอย่างผมจะยอมคืนให้
“พี่ไบค์! เอาผ้าแก้มมานะ!” แก้มใสพยายามยื้อแย่งผ้าขนหนูของตัวเองคืนเมื่อผมยกมันขึ้นสูง
“ทำไม แค่นี้หวงเหรอ” ผมถามด้วยใบหน้ายียวนนิดๆ
“เปล่าค่ะ แก้มว่าใช้ผื่นใหม่ดีกว่า”
“ไม่เอา พี่จะใช้ผืนนี้”
“แต่ผืนนี้แก้มใช้แล้วนะ”
แก้มใสยังไม่ละความพยายามที่จะแย่งผ้าขนหนูคืนให้ได้ ผมจึงตวัดแขนอีกข้างโอบกอดร่างบางให้เข้ามาชิดตัวพร้อมกับกระซิบบอกข้างหู
“ของเมียน่ะ พี่ไม่ถือหรอก” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างยั่วยวน แก้มใสหยุดกึกทันทีที่โดนผมยั่วใส่
“อยากใช้ก็ใช้ไปเลย ปล่อย!” แก้มใสหลบตาผมและเบนความสนใจไปที่มือของผมและพยายามแกะออกจากเอวของตัวเอง แก้มเนียนแปร่งสีแดงเข้มอย่างเขินอาย
“ไหน ๆ ก็นะ อาบให้พี่หน่อยสิ”
เมื่อแก้มใสเลิกแย่งผ้าขนหนูคืนแล้ว ผมจึงลดมือข้างที่ถือผ้าขนหนูอยู่ลงมาโอบกอดเอวบางอีกข้าง แก้มใสมีอาการสั่นไหวเล็กน้อยยามที่ผมกระชับอ้อมกอดให้ร่างบางเข้าชิดตัวมากขึ้น
“ใช้ผ้าของแก้มแล้ว ยังมีหน้ามาใช้แก้มอีก” แก้มใสบ่นอุ๊บอิ๊บไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผม
“ไม่ให้ใช้เมีย แล้วจะให้พี่ไปใช้ใครล่ะครับ หื้อออ” ผมโน้มหน้าลงกดจมูกโด่งเข้ากับแก้มเนียนแล้วสูดกลิ่นหอมให้ชื่นใจ แก้มใสถึงกลับเกร็งไปเลยทีเดียว
“ปะ ปล่อยแก้มได้แล้ว แก้มจะลงไปทำกับข้าวต่อ” มือเล็กพยายามยันอกผมไว้สุดฤทธิ์เมื่อผมแกล้งเบียดกายแกร่งเข้าชิดใกล้
“พี่ขอกินแก้มแทนข้าวได้ปะ” ผมแกล้งโน้มหน้าเข้าใกล้อีกครั้ง คราวนี้แก้มใสรู้ทัน เธอรีบยกมือขึ้นมาปิดปากผมทันที
“ไม่ได้ค่ะ ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่อง แก้มจะโกรธจริงๆ ด้วย” แก้มใสส่งสายตาดุมาให้และจ้องตาผมอย่างแน่วแน่
“โอเค ยอมแล้วก็ได้คร๊าบบ” ผมแกล้งลากเสียงยาวๆ ใส่ ทำทีเหมือนงอนหน่อยๆ
“งั้นก็ปล่อยแก้มได้แล้ว” ผมค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกอย่างอ้อยอิ่ง และในจังหวะที่แก้มใสเผลอ ผมจึงโฉบหอมแก้มเธออีกข้างอย่างรวดเร็วและรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
“คนบ้า!”
แล้วผมก็ยืนยิ้มอยู่ในห้องน้ำคนเดียว สงสัยจะบ้าอย่างที่แก้มใสว่าจริงๆ แหละ ใจจริงผมก็อยากจะทำอะไรมากกว่านี้อยู่เหมือนกันนะ แต่ก็เกรงใจแม่กาญ เพราะท่านก็ใจดีกับผมมาก ถ้าหากกระทำเรื่องไม่ดีกับลูกสาวของแม่และนี่ก็บ้านของท่านอีก มันจะเป็นการไม่ให้เกียรติทั้งแก้มใสและแม่กาญจนเกิดไป ผมหยิบผ้าขนหนูสีชมพูมาสูดกลิ่นหอมที่ติดมากับผ้า กลิ่นหอมประจำตัวของแก้มใสป่วนอารมณ์ผมดีจัง (^_^) ชักจะโรคจิตขึ้นไปทุกทีล่ะ
15:50 PM.
“เป็นไงคะ ทานได้ไหม”
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ลงมาทานข้าวฝีมือของแก้มใสเป็นครั้งแรก ต้องยอมรับว่าแก้มใสทำกับข้าวได้อร่อยไม่แพ้แม่กาญเลย รสชาติเหมือนกันเปะ
“อร่อยที่สุดเลย” ผมตอบจากใจจริง
“ไม่ต้องอ้อนแก้มหรอก รสชาติเป็นยังไงก็บอกมาตามตรงเลยค่ะ แก้มจะได้ปรับปรุง” ใบหน้าหวานแสดงสีหน้ากังวลเล็กน้อย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่
“อร่อยจริงๆ ลองชิมดูสิ” ผมตักอาหารใส่จานของตัวเองก่อนจะตักขึ้นมาหนึ่งช้อนพร้อมข้าวแล้วยื่นไปตรงหน้า
“แก้มทานเองได้” แก้มใสปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ยอมยังยืนยันที่จะป้อนเธอให้ได้ แล้วแก้มใสก็ต้องยอมให้กับความดื้อด้านของผม
“เป็นไง หวานไหม” ผมเอ่ยถามแก้มใส
“รสชาติพอดีค่ะ ไม่หวานมาก” แก้มใสตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่หมายถึง... ปากพี่หวานไหม” ผมฉีกยิ้มกว้างทันทีที่หยดมุขใส่แก้มใส
“พูดบ้าอยู่ได้” ใบหน้าหวานแสดงท่าทีเหมือนเคืองแต่เอาเข้าจริง แก้มใสก็แอบยิ้มเขินอยู่นั่นเอง
ติ่ง!
เสียงข้อความแจ้งเตือนจากแอปพิเคชั่นไลน์ของผมดังขึ้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นข้อความจากปอร์เช่
ปอร์เช่ : เฮียอยู่ไหน
บิ๊กไบค์ : อยู่บ้านแก้มใส
ปอร์เช่ : มาดูรถให้เช่หน่อยดิ
บิ๊กไบค์ : รถเป็นไร
ปอร์เช่ : เช่เอาไปลองที่สนามมา เสียงเครื่องมันแปร่ง ๆ ยังไงก็ไม่รู้
บิ๊กไบค์ : ได้ๆ เดี๋ยวเฮียไป
ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ และหันมาทานข้าวต่อ ก่อนจะสะดุ้งกับสายตาของแก้มใสที่จ้องมองมาอย่างดุๆ
“ปอร์เช่ส่งไลน์มา ให้พี่ไปดูรถให้นะ” ผมจึงอธิบายให้ฟัง
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” แก้มใสก้มหน้าทานข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาที่จ้องเมื่อกี้นี้ เล่นเอาผมแทบสำลักข้าวเลย ทำให้ผมอดที่จะแอบขำไม่ได้
“ขำอะไรคะ!” แก้มใสถามขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมนั่งขำอยู่
“เปล่าคร๊าบบบ” ผมจึงฉีกยิ้มหวานไปให้อย่างออดอ้อน
ปากแข็งจริงๆเลย อยากรู้ว่าผมคุยไลน์กับใครแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยถาม ชั่งขี้หวงจังเลยนะ แถมขี้เก๊กอีกต่างหาก แฟนใครเนี่ย ชั่งน่ารักจังเลย (^_^)
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ผมก็ขอตัวกลับเพื่อไปดูรถให้น้องชาย ซึ่งมันมีแข่งเดือนหน้านี้แล้ว ปอร์เช่ไม่ได้แข่งประเภทซุปเปอร์ไบค์เหมือนผมหรอกครับ ปอร์เช่มันถนัดแข่งประเภทรถดริฟมากกว่า
เมื่อกลับมาถึงอู่ ผมก็เข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องทำงานของตัวเองก่อนจะเดินออกมาด้วยชุดเอื้ยมหมีในแบบของช่างยนต์ ถึงผมจะเรียนบริหารธุรกิจก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้เรื่องรถเลย
ช่วงที่ผมไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ เวลาว่างผมก็จะไปดูเขาแข่งรถกันที่สนามอยู่บ่อยๆ และได้รู้จักเพื่อนที่เป็นนักแข่งและทีมงานของเขาด้วย พวกเขาเห็นว่าผมสนใจจึงถ่ายทอดความรู้ให้เต็มที่แบบไม่มีกั๊ก ผมอาจจะไม่มีใบประกาศหรือเกียรติบัตรเพื่อรับประกันในการซ่อมรถ แต่ผมมีประสบการณ์ที่คิดว่า มันใช้แก้ปัญหาได้เช่นกัน
ผมกับลูกทีมในแก๊งช่วยกันเช็กทุกจุดของรถ จนเวลาล่วงเลยไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ พอหันไปมองที่ด้านนอกอีกทีก็เห็นท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว
“กี่โมงแล้วว่ะ” ผมหันไปถามเทน ซึ่งมันก็คอยช่วยผมอยู่ไม่ห่าง
“จะสี่ทุ่มแล้วเฮีย” เทนตอบ
“พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ” ผมล่ะมือจากการทำงาน เพราะถ้าหากผมไม่หยุด ไอ้พวกนี้ก็ไม่ยอมหยุดเหมือนกัน
“ขับรถกลับกันดีๆละ” ผมเดินตามไปกำชับกับรุ่นน้องอีกครั้ง เมื่อพวกมันขึ้นคร่อมรถซุปเปอร์ไบค์ของตัวเอง ทุกคนต่างก็ขานรับผมก่อนจะทยอยขับออกไปจนหมด
“กลับไปพักได้แล้ว” ผมเดินกลับมาบอกปอร์เช่ เมื่อมันไม่ยอมหยุดสักที
“สักพักน่าเฮีย” ปอร์เช่ตอบ
“เช่ อะไรที่มันเกินไปก็ไม่ดีหรอก พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันต่อ กลับคอนโดได้แล้ว” ผมเดินเข้าไปตบบ่าน้องชายสองครั้งอย่างให้กำลังใจ ปอร์เช่จึงยอมล่ะมือแล้วเดินไปขึ้นรถของตัวเองก่อนจะขับตามคนอื่นๆออกไป
ความจริงปอร์เช่มันก็อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะลงแข่งในประเภทนี้หรอก แต่ด้วยที่เราเป็นเจ้าของสนามแข่ง ปอร์เช่จึงเป็นข้อยกเว้น แต่สิ่งที่ทำให้ผู้แข่งคนอื่นๆ ยอมรับในตัวมันก็คงจะเป็นเรื่องของฝีมือในการขับที่ไม่ธรรมดาเลยทำให้ผู้คนเหล่านั้นมองข้ามเรื่องอายุของปอร์เช่ได้ เห็นกะหล่อนแบบนี้มันก็เอางานเอาการอยู่นะ ถ้าไม่สนเรื่องผู้หญิงของมัน ปอร์เช่ก็แทบไม่มีที่ติอะไรเลย
สี่ทุ่มแล้ว...ไม่รู้ว่าแก้มใสนอนแล้วหรือยัง อยากได้ยินเสียงหวานๆ ของแก้มใสจังเลย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนที่คิดถึงทันที รอสายอยู่สักพัก เสียงหวานใสก็ดังขึ้น
“ว่าไงคะ”
“นอนหรือยังครับ”
“นอนแล้วค่ะ พี่ไบค์มีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาดึกจัง”
“ก็แก้มไม่โทรหาพี่อะ” ผมแกล้งทำน้ำเสียงเหมือนน้อยใจ
“ก็แก้มกลัวว่าพี่ไบค์จะยุ่งอยู่นิ ก็เลยไม่กล้าโทร”
“ครับ ก็ยุ่งจริงแหละ พึ่งจะเลิกเมื่อกี้นี้เอง”
“เหนื่อยไหมคะ ทานข้าวหรือยัง” พอได้ยินแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ได้ยินเสียงแก้มก็ไม่เหนื่อยแล้วล่ะ” ผมหยดใส่ซะเลย
“ทำเป็นพูดดี ดึกแล้วนะ พักผ่อนเถอะค่ะ ตาแก้มจะหลับล่ะ” น้ำเสียงเฉื่อยช้าของแก้มใสบ่งบอกว่าเธอง่วงจริง
“ฝันดีนะครับ”
“พี่ไบค์ก็...ฝันดีนะคะ”
ผมนั่งยิ้มให้กับโทรศัพท์ที่ปลายสายกดวางไปแล้ว ก่อนจะแทนที่ด้วยภาพพักหน้าจอที่ผมแอบถ่ายไว้ ใช่แล้ว ผมเอารูปคู่รูปแรกของเราตั้งเป็นรูปพักหน้าจอ แก้มใสยังไม่เห็นรูปนี้ ผมเดาได้เลยว่าถ้าแก้มใสเห็น เป็นต้องงอนผมแน่ ๆ