ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน รถสปอร์ตสามคันรุ่นเดียวกันกับพี่บิ๊กไบค์แต่คนล่ะสีก็เคลื่อนเข้ามาจอดข้างๆ กัน ฉันรู้ว่ารถทั้งสามคันนั้นของใครบ้าง ฉันจึงแอบไปหลบอยู่ด้านหลังพี่บิ๊กไบค์ด้วยความเขิน
“เอ๊ะ! ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะ” พี่ราเรซเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเปิดประตูรถให้ต้าหนิง พี่บิ๊กไบค์ไม่ตอบแต่ยักไหล่ให้พี่ราเรซอย่างกวนๆ
“ไม่ต้องหลบเลยนะ ยัยเพื่อนตัวดี คิดว่าต้าจำไม่ได้เหรอ ห้ะ!” ฉันจำต้องค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังพี่บิ๊กไบค์พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ไปให้เพื่อนรัก
“อะไร ยังไง ตอบ!” ต้าหนิงคาดคั้นทันที
“คือ...” ฉันจะตอบยังไงดี คนมันเขินอยู่อะ ฉันจึงหันไปกระตุกแขนพี่บิ๊กไบค์อย่างขอความช่วยเหลือ พี่บิ๊กไบค์จึงรั้งเอวฉันเข้ามาชิดตัวแล้วโอบกอดเอวฉันแน่นพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างและบอกเพื่อนไปว่า
“เราเป็นแฟนกัน”
“จริงเหรอ!” ต้าหนิงตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่บิ๊กไบค์บอก
“จนได้สินะ” พี่ราเรซเอ่ยพูดกับพี่บิ๊กไบค์ พร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความยินดีกับเพื่อน
“มึงทำของใส่แก้มใสใช่ปะ ไอ้ไบค์” พี่เลโอเอ่ยถามพร้อมกับทำสีหน้าตะลึงอย่างโอเวอร์
“ทำของใส่บ้านมึงดิ” พี่บิ๊กไบค์หันไปตอบพี่เลโอด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
“แก้มใสไม่สบายหรือเปล่า ถึงได้ถูกไอ้ไบค์มันล่อลวงมาได้นะ” พี่โต้งเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเช่นเดียวกันกับพี่เลโอเป๊ะ พวกเขาสมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ กวนกันใช่ย่อย แต่ล่ะคน
“พอเลยพวกมึง กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ” พี่บิ๊กไบค์หันไปผลักไหล่พี่โต้งเบาๆ เมื่อพี่โต้งทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ฉัน
“ทำเป็นหวง เชอะ!” พี่โต้งแขวะให้
“ของกู” พี่บิ๊กไบค์ตอบ ก่อนจะโอบไหล่ฉันให้เดินไปพร้อมกับเขา
ฉันพยายามขยับตัวออกห่างจากร่างหนา เมื่อโดนสายตาผู้คนจำนวนมากจ้องมองในระหว่างที่เราเดินเข้ามายังตึกคณะ
“พี่ไบค์! ปล่อยได้แล้ว”
“ไม่!” พี่บิ๊กไบค์ไม่ปล่อย แถมยังเปลี่ยนจากโอบไหล่เป็นโอบเอวอีกต่างหาก ทำไมเขาชอบลวนลามฉันจังเลย
“ถึงห้องเรียนแก้มแล้ว” ฉันแอบขึ้นเสียงนิดๆ เมื่อคนน่ามึนไม่ยอมปล่อย
“แก้มนั่งตรงไหน เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง” ไม่พูดเปล่า พี่บิ๊กไบค์ทำท่าจะเดินเข้าห้องเรียนฉันจริงๆ ด้วย ฉันจึงยื้อร่างสูงไว้ไม่ยอมให้เขาได้ทำตามใจ คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงเชิงเป็นคำถาม ในระหว่างนั้นต้าหนิงก็เดินมาพอดี
“ต้า! เข้าเรียนกัน” ฉันรีบคว้ามือเพื่อนรักแล้วเดินเข้าห้องเรียนโดยไม่สนสีหน้าไม่พอใจของพี่บิ๊กไบค์ เขาทำตามใจตัวเองเกินไปแล้ว ต้องโดนขัดใจซะบ้าง ไม่งั้นจะเป็นฉันเองที่จะแย่เอาได้
เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ต้าหนิงก็หันใบหน้าแสนสวยมาจ้องฉันตาเขม็ง
“อะไร” ฉันถามต้าหนิงพร้อมกับย่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
“ยังไงคะ กับพี่บิ๊กไบค์อะ” ต้าหนิงยิ้มหวานเชิงล้อเลียน
“ก็ไม่ยังไง ตามที่เขาบอกแหละ” ฉันได้แต่หันหน้าหนีเพื่อนรักอย่างเขินอาย
“แล้วไม่คิดจะเล่าให้เพื่อนฟังบ้างเหรอ” ต้าหนิงยังยกยิ้มล้อเลียนฉันไม่หยุด
“แล้วต้าล่ะ กับพี่ราเรซอะ ไม่เห็นจะเล่าแก้มบ้างเลย” ได้ที ฉันจึงย้อนถามกลับซะเลย ถึงจะรู้อยู่เรื่องของทั้งคู่แล้วก็เถอะ แต่การที่ต้าหนิงมาเรียนพร้อมกับพี่ราเรซแบบนี้ แสดงว่า เคลียร์กันแล้วสินะ
“ก็...อย่างที่เห็นแหละ” แล้วก็เป็นต้าหนิงที่ต้องหันหน้าหลบตาฉันแทน ใบหน้าสวยแอบยิ้มเขิน ทำให้ฉันเผลอยิ้มตามไปด้วยเมื่อนึกถึงหน้าใครบางคน...
วันนี้ฉันมีเรียนแค่ช่วงเช้าช่วงบ่ายจึงว่าง พี่บิ๊กไบค์ก็เช่นกัน เขาส่งไลน์มาบอกให้ฉันไปรอที่ลาดจอดรถเพราะว่าจะพาฉันไปลาออกจากงานพิเศษทั้งหมด ที่จริงฉันโทรไปลาออกเกือบหมดแล้วล่ะ เหลืออยู่เพียงที่เดียวที่ฉันยังไม่ได้โทรไปลาออก เพราะฉันอยากจะไปบอกด้วยตัวเองมากกว่า
“รอนานไหม”
“ไม่ค่ะ”
มือหนารีบเปิดประตูรถให้ฉันทันทีที่เดินมาถึง
“หิวหรือเปล่า” พี่บิ๊กไบค์เอ่ยถามขึ้นเมื่อเขาเข้ามานั่งประจำที่คนขับพร้อมกับเคลื่อนรถออกจากลานจอดของมหาลัย
“ยังไม่ค่อยหิวค่ะ พี่ไบค์หิวเหรอ”
“ก็นิดหน่อยครับ”
“งั้นหาอะไรทานก่อนก็ได้ค่ะ”
ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เขาคงจะหิวแล้วจริงๆ ฉันเองก็เป็นคนที่ทานข้าวไม่ค่อยตรงเวลาซะด้วย ก็เลยยังไม่ค่อยหิวสักเท่าไร
“กินได้เลยปะ!” อยู่ดีๆ พี่บิ๊กไบค์ก็หันมาทำหน้าทะเล้นใส่ซะงั้น จะมาไม้ไหนอีกเนี้ย
“ค่ะ ถ้าหิวก็กินเลย” ฉันก็ตอบกลับด้วยความซื่อ
“พี่หิวแก้มอะ งั้นพี่กินเลยนะ”
“พี่ไบค์!” ฉันเอื้อมมือไปฟาดที่ต้นแขนเขาหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ยังมีหน้ามาพูดเล่นอีก น่าตีให้ตายจริงๆ เลย
“ฮ่า ๆ ๆ” พี่บิ๊กไบค์นั่งหัวเราะชอบใจที่ได้พูดจาแกล้งฉันได้
“คนบ้า คิดแต่เรื่องไม่ดี” ฉันนั่งบ่นอุบอิบอย่างนึกโมโห
“ไม่ดีตรงไหน ถ้าพี่บอกว่าอยากกินคนอื่นเมื่อไร ค่อยบอกว่าไม่ดี” พี่บิ๊กไบค์หันมายกยิ้มใส่อย่างยียวน
“ก็ลองดูสิ” ฉันเองก็เผลอตอบกลับด้วยความโมโหอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ใบหน้าคมเข้มที่ยิ้มยียวนฉันอยู่ถึงกลับเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจ
“หวงพี่เหรอ” พี่บิ๊กไบค์เอียงหน้ามาถาม
“ตั้งใจขับรถไปเถอะ” ฉันยกมือขึ้นดันหน้าเขาให้กลับไปมองยังท้องถนนตามเดิม แต่พี่บิ๊กไบค์ก็ไม่วายส่งสายตามามองฉันเป็นระยะๆ ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ผู้หญิงคนไหนได้เห็นเป็นต้องหลงเขาไปซะทุกราย และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่หลงรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์นี้ของพี่บิ๊กไบค์
ห้างสรรพสินค้า
เมื่อลงจากรถได้ พี่บิ๊กไบค์ก็กุมมือฉันไปตลอดทางไม่ยอมปล่อย ขนาดเขาแสดงตัวว่ามีฉันเดินอยู่ข้างๆ แล้วนะ เหล่าสาวๆ ก็ไม่วายส่งสายตามาให้เขาอยู่ดี นี่ไม่คิดจะเกรงฉันบ้างเลยหรือไง ก็เห็นๆ อยู่ว่าผู้ชายคนนี้มีแฟนแล้ว
ด้วยความที่อารมณ์แปรปรวน คิดว่างั้น... ฉันปล่อยมือออกจากมือหนาแล้วเปลี่ยนมาควงแขนพี่บิ๊กไบค์แทน ฉันเปล่าหึงหรือหวงนะ แค่ไม่ชอบใจให้ใครมามอง แค่นั้นเอง...
“หื้อออ” พี่บิ๊กไบค์หันมามองด้วยสีหน้างงๆ ก่อนจะหันไปมองบริเวณรอบๆ แล้วรอยยิ้มกรุ้มกริ่มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมเข้ม สาวๆ ต่างแข่งกันส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้สุดฤทธิ์เมื่อพี่บิ๊กไบค์หันไปมองที่พวกเธอ
“ยิ้มอะไรคะ” ฉันโวยใส่ด้วยความหงุดหงิด
“เปล่า...” พี่บิ๊กไบค์ปฏิเสธเสียงสูงอย่างกวนประสาท
“ไม่อยากเดินด้วยแล้ว”
“อ้าว!”
ฉันปล่อยมือออกจากแขนหนาแล้วเดินหนีพี่บิ๊กไบค์ทันที ไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไรไป ถึงได้ทำตัวงี่เง่าใส่เขาแบบนี้ ชั่งไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
“เกรซ ๆ ๆ”
“อะไร!” เกรซหันไปตะคอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่โดนเพื่อนสะกิดรัวๆ อย่างไม่มีสาเหตุ
“นั่น! พี่สาวแกนิ” เกรซล่ะสายตาจากเสื้อผ้าแสนสวยแล้วตวัดสายตาไปมองตามนิ้วชี้ของเพื่อน
“ดูผู้ชายของนางสิ เพอร์เฟคมากอะ ทำไมพี่แกโชดดีจัง” เพื่อนสาวอีกคนเอ่ยขึ้น ทำให้เกรซต้องสะบัดหน้ากลับมามองเพื่อนพร้อมกับใช้สายตาจิกกัดอย่างโกรธเคือง เพื่อนสาวรีบหลบตาเกรซทันทีที่โดนจ้อง เพราะพวกเธอรู้ตัวแล้วว่าได้ทำพลาดครั้งใหญ่
“ไหนบอกกูว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไง อีตอแหล!” เกรซพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก เพื่อนสาวสองคนรีบถอยกู่ไปยืนหลบมุมอยู่ไกลๆ เพราะรับรู้ถึงรังสีแห่งความริษยาที่ออกมาจากตัวเพื่อน เกรซจ้องมองสองหนุ่มสาวที่เดินคลอเคลียผ่านหน้าร้านไป โดยที่ทั้งคู่ไม่สังเกตเห็นเธอเลยสักนิด
เกรซชอบบิ๊กไบค์ตั้งแต่แรกเห็น เธอสืบถามจากเพื่อนชายที่เคยเที่ยวด้วยกันที่เอสทีผับบ่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ผู้ชายที่เธอหมายตานั้น ชื่อ บิ๊กไบค์ เขามักจะมาเที่ยวที่เอสทีผับกับแก๊งเพื่อนอีกสามคนเป็นประจำ และหนึ่งในเพื่อนของเขาก็เป็นหลานของเจ้าของผับด้วย ทำให้พวกเขาเป็นบุคคลสำคัญของผับแห่งนี้ ชนิดที่ว่า ใครก็ห้ามแตะต้อง ถ้าหากผู้หญิงคนไหนคิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ล่ะก็ คงจะยาก เพราะถ้าหากพวกเขาไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ ก็ไม่มีสิทธิ์เฉียดไปยังโต๊ะวีไอพีของพวกเขาแน่
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่เกรซกำลังเดินลงจากบ้าน เธอก็เห็นพ่อนำเงินจำนวนหนึ่งมาให้แม่เพื่อที่จะนำไปใช้หนี้ที่โดนโกงจากการทำธุรกิจรับเหมา เกรซได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเกี่ยวกับที่มาของเงินก้อนนั้น เกรซแอบนึกสมเพชเมียเก่าของพ่ออยู่ในใจที่โง่ซ้ำซากไม่เลิก แต่แม่ของแก้มใสก็ชั่งรักพ่อของเธอซะจริง ถูกพ่อของเธอยืมเงินมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังโง่งมให้พ่อของเธอยืมเงินอีกจนได้
แล้วเกรซก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น เธอคิดหาทางเข้าหาผู้ชายคนนั้นได้แล้ว แก้มใส เธอก็คงจะโง่เหมือนแม่ของเธอนั่นแหละ เกรซจึงแอบขโมยน้ำหอมราคาแพงของแม่ไปให้แก้มใสแสร้งทำเป็นขอโทษที่ทำเรื่องไม่ดีไปก่อนหน้านี้ แก้มใสก็โง่จริง ที่หลงเชื่อการแสดงละครตบตาของเธอได้ง่ายๆ เกรซคิดจะใช้แก้มใสเป็นสะพานในการเข้าหาผู้ชายที่เธอแอบหมายตาอยู่
เธอพยายามเข้าหาบิ๊กไบค์ทุกทางแต่ก็โดนเขาปฏิเสธกลับมาอย่างไม่ไยดี แต่เกรซก็ไม่ล่ะความพยายาม เธอยังตามตื๊อบิ๊กไบค์ไม่เลิกจนถึงวันนี้ วันที่ได้เห็นบิ๊กไบค์เดินมากับพี่สาวต่างมารดา ที่เธอเคยถามไปแล้ว เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แก้มใสบอกกับเธอเองว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้ มันสวนทางกับคำพูดของแก้มใส เกรซยืนกำมือแน่น เธออิจฉาแก้มใส ยิ่งบิ๊กไบค์คือคนที่เธอชอบอยู่แล้วด้วย นั่นยิ่งทำให้เธอไม่มีวันปล่อยให้ทั้งคู่มีความสุขอย่างแน่นอน
“แก้มใส!” ผมรีบวิ่งตามร่างบางไปติดๆ อยู่ดีๆ ก็หงุดหงิดใส่ผมซะงั้น แก้มใสเดินเข้าร้าน M M Shopping โดยไม่รอผมแม้แต่น้อย “รอพี่ด้วย!”
แก้มใสยอมหยุดเดินก่อนจะหันกลับมาหาผม “เป็นอะไรครับ” ผมคว้ามือบางมากุมไว้พร้อมกับใช้สายตาออดอ้อน “พี่ทำอะไรผิดเหรอ หื้อ...” แก้มใสยืนนิ่งพร้อมกับถอนหายใจ ตากลมโตจ้องมองมือของเราก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสบตากับผม
“แก้มไม่ชอบใจ เวลามีผู้หญิงจ้องมองเหมือนจะเขมือบพี่แบบนั้น” คำตอบของแก้มใสทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้ “แก้มไม่ได้หึงนะ! แค่ไม่ชอบ...” แก้มใสหลุบตาลงต่ำอย่างหลีกเลี่ยง
ผมยกมือบางที่กุมอยู่ขึ้นมาแนบกับใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปจับมือบางมาแนบที่อกข้างซ้าย แก้มใสเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง
“พี่เป็นของแก้ม ใบหน้าหล่อๆ นี้ หัวใจทั้งดวงนี้ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแก้ม มันเป็นของแก้มหมดเลย แก้มมีสิทธิ์ทุกอย่าง เข้าใจไหม” แก้มใสพยักหน้างึกๆ แทนคำตอบ ผมจึงรั้งตัวแก้มใสเข้ามาสวมกอดปลอบเพราะไม่อยากให้เธอต้องเป็นกังวลหรือคิดมาก
“พี่ไบค์ช่วยทำหน้านิ่งๆ ให้ดูหล่อน้อยกว่านี้หน่อยได้ไหม” แก้มใสเอ่ยพูดน้ำเสียงอู้อี้อยู่กับอกแกร่งของผม
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ต้องยิ้มตลอดเวลา ยิ้มแค่ตอนที่อยู่กับแก้มก็พอแล้ว” คำพูดของแก้มใสทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมรู้สึกดีที่แก้มใสแสดงท่าทีว่าหวงผมแค่ไหน
“หวงพี่ขนาดนั้นเชียว”
“ก็บอกว่าไม่ได้หวงไง!” แก้มใสเงยหน้าขึ้นมาเถียง
“โอเคๆ ไม่หวงก็ไม่หวง”
ด้วยความหมั่นไส้คนปากแข็ง ผมจึงโน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากฝากรอยจูบที่หน้าผากมนไปหนึ่งที
“อะ แฮ่ม!”
ผมกับแก้มใสหันไปมองพร้อมกัน คนที่ส่งเสียงขัดจังหวะก็คือ ไอ้โต้ง นั่นเอง มันยืนซ่อนหลังพี่มิรินอยู่ แทบจะติดกันเลยก็ว่าได้ แก้มใสจึงผละตัวออกจากอ้อมกอดของผมพร้อมกับก้มหน้าก้มตามองพื้นด้วยความเขินอาย
“รังแกเด็กพี่เหรอ บิ๊กไบค์” พี่มิรินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มแสนสวย
“อ้าว! นี่พี่มิรินเปลี่ยนเด็กแล้วเหรอ นึกว่ามีไอ้โต้งคนเดียวซะอีก” มิรินแยกเขี้ยวใส่ผมทันทีที่โดยผมพูดจากวนๆ
“เดี๋ยวเหอะมึง!”
“แก้ม! ช่วยพี่ด้วย!”
โต้งทำท่าจะเดินเข้ามาประทุษร้าย ผมจึงแกล้งหลบไปอยู่หลังแก้มใสและโอบกอดร่างบางอย่างเนียนๆ
“เนียนซะ ไอ้นี่!” โต้งยืนเท้าสะเอวส่ายหน้าใส่ผมอย่างระอากับการกระทำของผม
“ทำไมวันนี้มาเร็วล่ะ ยังไม่ถึงเวลาทำงานของแก้มนิ” พี่มิรินหันมาถามแก้มใส
มือเล็กพยายามแกะมือหนาของผมออกจากเอวบาง ก่อนจะขยับไปยืนห่างผมเล็กน้อย
“แก้มจะมาขอลาออกนะคะ” แก้มใสบอกกับพี่มิริน
“ทำไมล่ะ งานหนักไปเหรอ หรือมีปัญหาอะไร บอกพี่ได้นะ” พี่มิรินดูตกใจไม่น้อยที่ได้ยินแก้มใสบอก
“เปล่าค่ะ” แก้มใสปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันหน้ามาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมรู้ว่าแก้มใสลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องลาออกจากงานที่นี่ แต่แก้มใสก็ไม่มีทางเลือกเพราะเธอไม่อยากมีปัญหากับผม เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกดีมากแล้วที่แก้มใสพยายามทำเพื่อผมขนาดนี้