ตอนที่สิบ เหยื่อ 1.3

2334 Words
ฉันกดวางสายไปแล้วแต่ยังนั่งอมยิ้มให้กับหน้าจอโทรศัพท์อยู่เลย ที่จริง ฉันอยากจะโทรหาเขาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว แต่ก็กลัวว่าเขาจะยุ่งอยู่ เพราะก่อนไปก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไปดูรถให้ปอร์เช่ เพราะงั้น ฉันเลยคิดว่า ไม่โทรไปกวนเขาจะดีกว่า ติ่ง! เสียงข้อความเข้า ฉันจึงเลื่อนหน้าจอเพื่อเปิดดูข้อความก็เห็นว่ามันส่งมาจากเกรซ ฉันชั่งใจอยู่คู่นึ่งว่าควรจะเปิดอ่านดีไหม แต่ก็แอบสงสัยอยู่หน่อยๆ ว่าดึกขนาดนี้แล้วทำไมถึงได้ส่งข้อความมา มีเรื่องด่วนหรือเปล่านะ และพอฉันกดเข้าไปดูในข้อความเท่านั้นแหละ โทรศัพท์ฉันแทบร่วง เมื่อสิ่งที่เกรซส่งมามันคือรูปของผู้หญิงที่ใบหน้าเต็มใบด้วยรอยฟกช้ำ เกรซ... ใช่มันคือรูปของเกรซเอง ฉันนั่งอึ้งไปสิบวิ ก่อนจะตั้งสติได้แล้วโทรกลับไปยังเบอร์ที่ส่งข้อความมา “เกรซ!” ฉันกรอกเสียงเรียกทันทีที่ปลายสายรับ “พี่แก้มใสใช่ไหมคะ!” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของเกรซ “นั่นใครนะ” “เพื่อนเกรซค่ะ” “แล้วเกรซอยู่ไหน ทำไมถึงได้ส่งรูปแบบนั้นมาให้พี่” ฉันเอ่ยถามอย่างร้อนรนและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่เป็นอะไรมาก “คือว่า...เกรซโดนทำร้ายนะคะ พี่แก้มใสช่วยมารับตัวเกรซที ตอนนี้เราอยู่ที่ สนามมิดไนท์” “ได้ๆ พี่จะรีบไป” พอกดวางสายแล้วฉันก็หันไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อแขนยาวขึ้นมาสวมทับชุดนอน ดีนะที่ชุดนอนฉันเป็นกางเกงอยู่แล้วก็เลยไม่คิดจะเปลี่ยนให้เสียเวลา ฉันค่อยๆ ย่องลงจากบ้านเพราะกลัวว่าจะทำให้แม่ตื่นเข้า ฉันเลือกที่จะออกประตูหลังบ้านเพราะจะได้เดินเข้าบ้านเทนได้สะดวก ฉันต้องไปขอความช่วยเหลือจากเทน เพราะเขาอยู่ใกล้ฉันที่สุด ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเทน “ครับ” น้ำเสียงของเทนค่อนข้างงัวเงียอยู่หน่อยๆ “พี่มีเรื่องรบกวน ตอนนี้พี่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านเทน” “ห้ะ!” ฉันยืนรอสักพักไฟหน้าบ้านของเทนก็สว่างขึ้น “มีเรื่องอะไรครับ” “เทนช่วยไปส่งพี่ตามที่อยู่นี้ได้ไหม” ฉันยืนโทรศัพท์ของตัวเองให้เทนดู เทนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามฉัน “พี่แก้มรู้หรือเปล่าว่านี่มันคือสนามแข่งรถเถื่อนน่ะ” ฉันส่ายหน้าให้เทน ฉันไม่รู้หรอก ว่านั่นคือที่ไหน “เทนรู้จักเหรอ” “รู้จักดีเลยล่ะ” “งั้นช่วยพาพี่ไปหน่อยสิ” “มันอันตรายนะ” เทนสบตากับฉันด้วยแววตาที่แสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน “ถ้ามันอันตรายอย่างที่เทนบอก พี่ก็ต้องรีบไป” “รอแป๊บ” เทนเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อนจะเดินกลับออกมาพร้อมหมวกกันน็อกสองใบ เทนเดินนำฉันไปที่รถซุปเปอร์ไบค์ของเขาแล้วสตาร์ทรถทันที ฉันรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเมื่อสวมหมวกกันน็อกเรียบร้อยแล้ว “เฮียไบค์รู้หรือเปล่า” เทนหันมาถาม “ไม่ได้บอก แต่อย่าบอกเลย เขาพึ่งได้พักเอง” “ก็จริง” แล้วเทนก็หันกลับไปมองถนนด้านหน้าก่อนจะบิดรถพาฉันไปยังจุดหมายที่ฉันขอให้เขาพาไปที่เทนเรียกมันว่าสนามแข่งรถเถื่อน สถานที่ที่เทนพาฉันมามันค่อนข้างเปลี่ยวมาก ทางเขามีแต่ตึกร้างเต็มไปหมด เทนขับเข้ามาอีกประมาณสองเมตรบริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีแสงไฟสว่างขึ้น เทนหยุดรถทันทีที่มีผู้ชายในชุดดำสองคนยืนขว้างทางเอาไว้ “มาชมหรือมาแข่ง” ผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยถามเทนเมื่อเขามองสำรวจรถของเทนอย่างพิจารณาแล้ว เทนชี้นิ้วไปที่ถังน้ำมันรถของเขาซึ่งมีสติ๊กเกอร์ภาษาอังกฤษแปะไว้อยู่ มันเขียนว่า B Bike Racing no.3 มีเลขต่อท้ายด้วย ฉันก็พึ่งเห็นนี่แหละ แต่ว่าทำไมชื่อมันคุ้นๆ จัง “ออ! เชิญเลยครับ” กิริยาของผู้ชายสองคนเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นสติ๊กเกอร์ ดูนอบน้อมลงและยิ้มแย้มให้กับเทนด้วย อะไรกัน แค่สติ๊กเกอร์ชื่อนั้นก็ทำให้ผู้ชายสองคนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ จากหลังมือเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้ เมื่อผ่านประตูเข้ามาภายในดูกว้างขึ้นผิดไปจากด้านนอกอย่างมหันต์ ภายในแออัดไปด้วยผู้คนและรถจำนวนมากหลากหลายประเภท เสียงเพลงดังกระหึ่มไปทั่วตึกอย่างกับเป็นผับขนาดย่อมก็ว่าได้ เทนจอดรถเรียงไว้กับรถที่ดูเหมือนว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันก่อนจะพาฉันเดินเบียดผู้คนที่กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกกันอย่างสนุกสนานเข้ามายังด้านใน ผู้หญิงแต่ล่ะคนเซ็กซี่กันทั้งนั้น และบางคนฉันเคยเห็นอยู่ในทีวีด้วย พวกเธอเป็นดารา นางแบบที่มีชื่อเสียงกันทั้งนั้นนิ บางคนใส่บิกินี่เต้นยั่วยวนผู้ชายที่ตัวเองหมายตา และพวกผู้ชายเหล่านั้นก็คือพวกดารานายแบบเหมือนกัน เทนพาฉันเดินเข้ามายังลิฟต์ตัวหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด เมื่อประตูลิฟต์ปิดตัวลงเสียงเพลงดังๆก็หายไป เทนกดไปที่เลขสี่ เขาดูคุ้นเคยกับสถานที่นี้จัง “เทนเคยมาที่นี่เหรอ” “เมื่อก่อนก็มาบ่อยแหละ” เทนตอบ ฉันกำลังจะอ้าปากถามต่อ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดี แอร๊ดดดด เสียงยางรถบดกับพื้นถนนจนแสบหู กลิ่นยางไหม้คละคลุ้งไปทั่ว รถสปอร์ตสองคนขับเขี้ยวกันไปมาอย่างน่าหวาดเสียว มันดูน่ากลัวและอันตรายมาก เพราะการขับของแต่ล่ะคนจริงจังชนิดที่ว่า ขับเขี้ยวกันเอาเป็นเอาตายเลย “เฮ่!” เสียงโฮ่ร้องดังสนั่นไปทั่วทิศ ฉันมองดูรถสปอร์ตคันสีดำที่เลี้ยวเข้าโค้งอย่างน่าหวาดเสียวจนฉันต้องยึดแขนเทนไว้แน่นเพราะกลัวว่ารถนั้นจะชนเข้ากับกำแพงได้ “นั่นปอร์เช่นิ” รถสปอร์ตสีดำขับผ่านหน้าฉันไปทำให้เห็นคนขับได้อย่างชัดเจน ปอร์เช่คือคนที่ขับรถได้น่ากลัวมาก ไม่ว่าจะเกิดเหตุจำเป็นใดๆ ฉันจะไม่ขึ้นรถกับปอร์เช่เด็ดขาด “นี่เขาเรียกว่า แข่งดริฟ มันคือการแข่งในรูปแบบที่รถเสียการควบคุม แต่นักแข่งต้องควบคุมมันให้อยู่” “น่ากลัวจัง” ฉันเอ่ยออกมาจากใจจริง ถ้าพี่บิ๊กไบค์ต้องมาแข่งแบบนี้นี้ ฉันคงหัวใจวายตายก่อนแน่ มันอันตรายเกินไป อันตราย! แล้วฉันก็นึกถึงคนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายอีกคนก็คือเกรซ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเกรซทันที “พี่มาถึงแล้ว พวกเธออยู่ตรงไหน” “อยู่ชั้นสี่ค่ะ ตรงจุดปล่อยรถ” “จุดปล่อยรถอยู่ตรงไหน” ฉันหันไปถามเทนเมื่อกดวางสายแล้ว เทนเดินนำฉันไปยังอีกด้านหนึ่งของจุดที่เรายืนอยู่ ฉันใช้สายตากวาดมองไปทั่วก็เจอกับผู้หญิงสองคนโบกมือให้ฉัน และพอฉันมองดีๆ ก็เห็นร่างของเกรซนั่งพิงเสาอยู่ด้วยสภาพที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาโดยที่ไม่ได้บอกเทน “เกรซ! เป็นไงบ้าง” ฉันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “พี่แก้ม” เสียงเกรซอ่อนแรงเหลือเกิน “พี่จะพาไปหาหมอนะ” ฉันเข้าไปพยุงเกรซให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งยืนขว้างหน้าไว้ “จะไปไหน” เขาเอ่ยถาม “ฉันจะพาน้องกลับบ้าน” “ยังกลับไม่ได้ ยัยนี่ต้องอยู่ปล่อยรถก่อน” เขาชี้มาที่เกรซ “แต่น้องฉันเจ็บอยู่นะ ไม่เห็นหรือไง” ฉันเถียงกลับอย่างนึกโมโห สถาพแบบนี้จะไปทำอะไรได้อีก “ไม่ได้ ฉันพนันไว้แล้ว ต้องมีผู้หญิงมาปล่อยรถ ไม่งั้นฉันเสียหน้า” เขาเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน “ไม่เป็นไรค่ะ พี่แก้ม เกรซไหว” เกรซพยายามยืนด้วยตัวเองอย่างทุลักทุเล “ฉันทำแทนเกรซเอง” ด้วยความเห็นใจน้อง ฉันจึงอาสาทำแทนเอง “เธอก็โอเคนะ หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ” เขายืนจ้องฉันตั้งแต่ศีรษะลงมายังหน้าอกอย่างพิจารณา แล้วรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นจนฉันต้องดึงเสื้อเข้ามาปิดไว้ “ต้องทำอะไรบ้าง” ฉันถามออกไปเพราะไม่อยากให้เขาจ้องนาน “เธอก็แค่...ถอดเสื้อแขนยาวออกแล้วเดินไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างรถที่จะแข่ง แล้วเธอก็ยกเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้นักแข่งเตรียมตัว พอเธอเอาเสื้อลงพวกนักแข่งก็จะเหยียบมิดไมล์ทันที” ฉันฟังเขาอธิบายมันก็ไม่ได้มีอะไรยากเกินไปนิ ก็แค่ยืนให้สัญญาณแค่นั้นเอง ใช่ไหม? ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือจากนี้ใช่หรือเปล่า ฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น “เกรซรอพี่อยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่จะพาเรากลับบ้าน” ฉันหันไปพยักหน้าให้เพื่อนของเกรซเพื่อให้พวกเธอมารับตัวเกรซต่อ “ถึงคิวเธอแล้วแม่สาวน้อย” ผู้ชายคนนั้นหันมายิ้มหวานให้แก่ฉัน ฉันจึงเดินไปยืนอยู่ตรงจุดที่ผู้หญิงก่อนหน้าฉันยืนอยู่ เมื่อฉันหันไปมองที่ผู้ชายคนนั้น เขาก็บอกให้ฉันถอดเสื้อแขนยาวออก ฉันก็ทำตาม ฉันใส่ชุดนอนผ้าแพรแขนสั้นขาสั้น เนื้อผ้าบางเบาแต่ก็ยังมีความหนาอยู่ ไม่มีใครดูออกหรอกมั้ง ว่าฉันโนบรา คิดว่างั้น... รถสปอร์ตหรูสามคันเข้ามาเรียงหน้ากระดาน ฉันจ้องเข้าไปในรถสปอร์ตคันสีดำซึ่งมองไม่เห็นภายในหรอกเพราะติดฟิล์มหนา ถ้าจำไม่ผิด นั่นมันรถของปอร์เช่นิ ทำไมเขาถึงลงแข่งอีกล่ะ “เฮ่! ตามที่คุยกันไว้มีแค่สองคันนิ” ผู้ชายที่ให้ฉันมายืนตรงนี้เอ่ยท้วงขึ้นเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง “ก็ของเดิมพันมันน่าสนใจกว่าเก่านิ” แต่แล้วความคิดที่ว่าปอร์เช่จะลงแข่งอีกรอบนั้นก็พลันหายไป เมื่อตัวของปอร์เช่ตะโกนตอบมาอีกฝั่ง เขาอยู่ตรงนั้น แล้วใครเอารถเขามาแข่ง คงไม่ใช่... แล้วหัวใจของฉันก็เต้นแรงอย่างตื่นกลัว ถ้าหากเป็นคนที่ฉันคิดจริงๆ เขาต้องโกรธฉันแน่ ๆ “ได้ไงวะ อย่าคิดว่าเป็นเจ้าของที่นี่แล้วจะทำตามใจแบบนี้ดิว่ะ ใครมันจะอยากเข้ามาแข่งอีกล่ะ” ผู้ชายคนนั้นยังโวยไม่เลิก “งั้นเพิ่มอีกสองแสน เดิมพัน” ปอร์เช่วางเงินสดลงบนโต๊ะสองปึกใหญ่ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้ต่างก็ส่งเสียงฮือฮาไปตามๆกัน “แบบนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย” และเขาก็ยอมให้รถของปอร์เช่แข่งได้ ฉันยังแอบระแวงอยู่หน่อยๆ แต่ว่า พี่บิ๊กไบค์ไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่นิ อาจจะไม่ใช่เขาก็ได้ เทนหรือเปล่านะ เพราะฉันไม่เห็นเทนอยู่แถวนี้เลย “เริ่มได้” ปอร์เช่บอกและขยิบตาให้ฉันหนึ่งที ฉันนี่ แทบทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว มันรู้สึกกระวนกระวายใจแปลกๆ ชอบกล ความรู้สึกเหมือนว่าฉันจะต้องเดือดร้อนแน่ ฉันรู้สึกแบบนั้น.... ฉันสะบัดหัวแรงหนึ่งที เพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะยกเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อให้สัญญาณแก่นักแข่ง เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเหมือนจะข่มขู่คู่แข่งให้นึกหวั่นตัวเอง เมื่อคิดว่าพวกเขาพร้อมแล้วฉันจึงลดเสื้อลง แล้วรถทั้งสามคันก็พุ่งไปยังถนนเบื้องหน้าแย่งกันเข้าโค้งแรกอย่างหวาดเสียว พวกเขาแข่งดริฟสินะ ฉันเดินกลับมาหาเกรซเพราะคิดว่าตัวเองได้ทำตามที่เขาบอกเสร็จแล้ว แต่ว่า... “จะไปไหน” ผู้ชายคนนั้นเดินมาจับต้นแขนฉันไว้แน่น “ก็ทำตามที่บอกแล้วไง ทีนี้ก็ปล่อยน้องฉันได้แล้ว” “น้องเธอมันไม่อยู่แล้ว” ฉันหันขวับไปมองตรงที่เกรซนั่งก่อนหน้านี้ ก็ไม่เห็นเธออยู่แล้วจริงๆ “เธอโดนยัยนั้นหลอกแล้วล่ะ” ฉันถึงกลับชาวาบไปทั่วร่าง นี่เกรซหลอกฉันเหรอเนี่ย “ไม่จริง” ฉันพยายามบอกตัวเองแบบนั้น ทั้งที่ในใจมันเชื่อไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ “ยัยเกรซมันหลอกให้เธอมาเป็นของเดิมพันแทนมัน เธอไม่รู้เหรอ” “ฉันไม่เชื่อ!” “แสนดีแบบนี้นี่เอง ถึงโดนยัยเกรซหลอกเอาได้” เขาเหวี่ยงตัวฉันไปให้ลูกน้องของเขาสองคน เพื่อให้สองคนนั้นจับตัวฉันไว้กันหนี ตอนนี้ฉันอยากจะร้องไห้ออกมาซะจริง แต่น้ำตากลับไม่ยอมไหล มันทั้งโกรธ ทั้งแค้น ที่โดนเกรซหลอกจนน่าเจ็บใจ ก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “นี่คนสวย เธอดูนะ ว่าสามคันนั้น” เขาชี้นิ้วไปที่หน้าจอขนาดใหญ่ที่ฉายภาพรถแข่งสามคันให้ฉันดู “ใครจะได้เธอไปกอดนอนในคืนนี้ แต่เธอไม่ต้องกลัวไป พวกนั้นลูกผู้ดีมีตังค์กันทั้งนั้นแหละ รับรองเธอได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน ฮ่า ๆ ๆ” ฉันยืนกัดฟันแน่นพร้อมกับจิกเล็บเข้าเนื้อตัวเองอย่างโมโห ฉันไม่มีวันยอมเป็นของเล่นให้พวกนั้นแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD