อาการเจ็บข้อเท้าระบมร้าวรานจนเจ้าสาวไม่อาจออกไปร่วมงานเลี้ยงได้อีก...หล่อนจำต้องพักผ่อนในห้องหอซึ่งจัดเอาไว้ในโรงแรมเดียวกันเพื่อความสะดวก ทางด้านกฤษณะเจ้าบ่าวก็จำเป็นจะต้องออกไปพบปะแขกเหรื่อที่ยังคงสำเริงสำราญอยู่ในห้องจัดเลี้ยง รอเวลาเหมาะสมถึงจะเข้ามาร่วมเรียงเคียงหมอนกันตามครรลอง
หญิงสาวทอดกายนั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องหอ ท่ามกลางแสงไฟใสวสว่างในห้อง แต่ด้านนอก...มีเพียงแสงสลัวและความมืดมนเท่านั้น ดั่งเช่นหัวจิตหัวใจของหล่อนในยามนี้
สายตาของหล่อนแน่นิ่งเลื่อนลอย ใบหน้าคมหวานสงบเยือกเย็น ไม่มีแม้วี่แววของความยินดียินร้ายในการเปลี่ยนสถานะของตัวเองในครั้งนี้แม้แต่น้อย
แม้มันจะนำพาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น แทบจะหาข้อเสียไม่ได้เลยก็ตาม...
ร่างเล็กขยับหันกลับมาด้านในห้อง...เตียงนอนถูกปูคลุมด้วยผ้าปูสีขาวมีระบายลูกไม้ห้อยระย้าลงมา บนเตียงโปรยกลีบกุหลาบแดง ตรงกลางเรียงกลีบกุหลาบสีชมพูสดเป็นรูปหัวใจ พิธีวิวาห์แบบเรียบง่ายกำลังจะดำเนินจุดสิ้นสุดแล้ว
หล่อนเหนื่อยล้าเหลือเกินอยากจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและชำระร่างกาย รวมถึงเอนการพักผ่อนสักชั่วครู่ชั่วยามแต่ก็จำต้องระงับความต้องการเอาไว้ ด้วยกลัวจะผิดขั้นตอนพิธีการ แม้มันจะไม่ได้ดำเนินไปด้วยความเคร่งครัดตามธรรมเนียมเสียทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ต้องให้เกียรติให้สมกับว่ามันคือวันอันสำคัญที่สุดวันหนึ่ง
ดังนั้น...ช่อเอื้องจึงตั้งใจนั่งรอจนกว่าเจ้าบ่าวของหล่อนจะได้ฤกษ์กลับเข้ามาในห้องหอแห่งนี้...
กริ๊ก! ดวงตาคมโตภายใต้การเสริมแต่งด้วยเครื่องสำอางคราคาแพงจ้องมองไปยังประตูเมื่อใครบางคนกำลังจะเปิดมันเข้ามา ครั้งแรกหล่อนคิดว่าคงเป็นพนักงานของทางโรงแรมที่นำยามาให้หรือไม่ก็คงเป็นญาติๆ ของหล่อน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ร่างใหญ่ที่แทรกตัวยืนอยู่หน้าประตูนั้นทำให้หล่อนงงงวย แปลกใจและรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย
"สวัสดีครับ...คุณแม่เลี้ยง เห็นทีเราคงต้องมีเรื่องคุยกันสักหน่อยก่อนที่คุณจะได้ขึ้นแท่นเป็นเมียคนที่สองของพ่อผมอย่างสมบูรณ์แบบ"
"คุณต้องการอะไร นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องมาตกลงอะไรกัน" ช่อเอื้องลอบกลืนน้ำลายเม้มริมฝีปากเข้าหากัน พยายามไม่มองผู้คุกคามในขณะที่เขาจ้องหล่อนราวกับกำลังพิจารณาเต็มที่
"เลิกเล่นตลกได้แล้วพเยีย...บอกฉันมาทำแบบนี้ต้องการอะไร" ศิขราไม่รีรอที่จะเปิดประเด็น น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดพอๆ กับสีหน้า มือใหญ่เอื้อมล็อกปิดประตูป้องกันคนอื่นเข้ามารับรู้บทสนทนา
"พเยีย...อะไรคือพเยีย...คุณพูดเรื่องอะไร"
"อย่ามาทำตีหน้าซื่อ...เธอคือพเยีย! ที่แต่งงานกับคุณพ่อก็เพราะอยากแก้แค้นฉันใช่ไหม"
"ฉันชื่อช่อเอื้อง หยุดละเมอได้แล้ว...ถ้าคุณไม่ชอบหน้าฉันก็อย่ากุเรื่องบ้าๆ แบบนี้มาอำเล่นกันดีกว่าฉันไม่ตลกด้วยหรอก อีกอย่าง...ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง...ได้ยินชัดไหมคะ" ช่อเอื้องอธิบายฉะฉาน หล่อนออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่องกันซึ่งๆ หน้า
หล่อนควรจะให้ใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน แต่มันก็ช้าไปแล้วสำหรับตอนนี้
"ใช่สิ...ทำไมฉันจะจำไม่ได้ เธอคือพเยีย...ไม่มีอะไรที่ไม่เหมือน ทุกรายละเอียด...พเยียคือเธอ..." ร่างใหญ่ของศิขราเดินไปยืนตรงหน้าของหล่อน
ช่อเอื้องยืนขึ้นรับรู้ถึงภัยย่อมๆ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่หล่อนก็ไม่คิดจะหาทางหนี คงเผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังพยายามพูดสื่อถึงอะไรบางอย่าง
"ฉันคือช่อเอื้องค่ะ...ถ้าพเยียคนนั้นเคยมีอดีตกับคุณก็คงเป็นเรื่องบังเอิญมากที่เธอหน้าตาเหมือนฉัน แต่ขอยืนยันว่าฉันไม่ใช่ คุณสืบประวัติได้เลยนะ อีกอย่าง...นี่เป็นคืนแต่งงานของฉันกับพ่อของคุณ...กรุณาให้เกียรติด้วย มันคงไม่เหมาะถ้ามีผู้ชายอื่นเข้ามาในห้องนอกจากเจ้าบ่าว"
หล่อนยืนยันตัวตนพร้อมทั้งออกปากเตือนชายหนุ่มกรายๆ ร่างเล็กขยับเดินออกห่างเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัดของบรรยากาศในห้องหอ
"ไม่จริง..." เขาจดจ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของร่างเล็ก พร้อมทั้งส่ายหน้าปฏิเสธทุกสารจากหล่อน
ศิขรามั่นใจเหลือเกินว่าผู้หญิงในชุดเจ้าสาวคนนี้คือคนคนเดียวกับพิณพเยีย...หญิงสาวที่เคยพัวพันด้วย และมีบางอย่างที่เขายังคงค้างคาไม่ได้สะสาง และคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้ทำมันอีกแล้ว
"จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของคุณ ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมายืนยันอะไรกับคุณในตอนนี้ เชิญออกไปก่อนดีไหมคะ เกิดใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี"
"ไม่พเยีย...เธอจะเข้าหอกับพ่อฉันไม่ได้ถ้าหากเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง"
"คุณต่างหากที่พูดไม่รู้เรื่อง เลิกบ้าซะที เราเพิ่งจะเจอหน้ากันแค่สองครั้งเท่านั้นเองคุณจะมารู้อะไรดีเกี่ยวกับตัวฉันได้ยังไง"
"เชื่อเถอะว่า...ฉันจะมีไม่มันยอมให้พ่อมีเมียคนเดียวกับฉันหรอก นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องบ้าชัดๆ!"
"ว้าย! นี่คุณ ปล่อยฉันนะ!" ร่างของช่อเอื้องถูกลากไปตามแรงของคนตัวใหญ่กว่า เขาจงใจจะดึงให้หล่อนเดินตามโดยไม่มองเหลียวหลัง และมันก็ง่ายดายเพราะกำลังที่ต่างกันแม้อีกฝ่ายจะขืนตัวและพยายามแกะมือเขาออกการมัดจับเอาไว้แน่นก็ตาม
"นี่คุณ! จะได้เวลาที่พ่อคุณจะเข้ามาแล้วคุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้นี่"
"คุยกัน...ตอนที่ทุกอย่างมันสายไปแล้วนะเหรอ หึ...ไม่มีทาง" ใบหน้าคมสันเข่นเขี้ยวกัดฟันกรอด เขามีความในใจอีกมากมายที่ต้องได้รับการชำระล้าง แต่มันจะดำเนินการใดๆ ไม่ได้เลยหากขาดผู้หญิงที่ชื่อพิณพเยียไปสักคน
เพราะหล่อน...คือต้นตอ ของความคั่งค้างใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ศิขรารู้ดีว่าตนเองไม่ได้มีเวลามากพอในการเท้าความกับเจ้าสาวคนสวยของบิดาในค่ำคืนนี้ เขาจ้องรอคอยโอกาสที่หล่อนจะพำนักอยู่เพียงลำพังเพื่อการนี้โดยเฉพาะ จึงไม่รีรอเลยเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวคนสนิทและพนักงานของทางโรงแรมออกจากห้องหอไปก่อนหน้าที่เขาจะตัดสินใจบุกเข้ามา
หากรอให้ถึงวันพรุ่ง...ใจเขาคงระเบิดออกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อยไปเสียก่อนเป็นแน่แท้...
"คุณปั้น! นี่..."
"หุบปากซะพเยีย...ถ้าคิดจะร้องให้คนรู้แล้วเข้ามาช่วยก็บอกไว้เลยว่าเธอคิดผิด เพราะลองถ้าฉันตั้งใจเอาไว้แล้วไม่มีใครมาขัดขวางฉันได้ง่ายๆ หรอก ยิ่งโวยวายก็มีแต่เธอนั่นแหละ...ที่จะต้องเจอปัญหาหนักไปกว่านี้อีก" เสียงทุ้มหนักแน่นเอ่ยในขณะที่ลากจูงหล่อนไปตามทางเดินซึ่งทอดยาวไปยังด้านหลังของโรงแรม สถานที่แรกที่หล่อนและเขาได้พบกันเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
ช่อเอื้องไม่รู้จุดประสงค์ของเขา ไม่รู้ว่าลูกชายของว่าที่สามีคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ แต่หล่อนก็ยอมนิ่งสงบเชื่อฟังในคำขู่นั้น เพราะเห็นแล้วว่าศิขราบ้าบิ่นจริงๆ ขนาดหล่อนสวมชุดเจ้าสาวและเข้าพิธีวิวาห์กับบิดาของเขาแล้ว ชายหนุ่มยังไม่สนใจเลยว่าควรจะปฏิบัติตัวกับหล่อนอย่างไร
"คุณจะพาฉันไปไหน!"
"ไปคุยกันให้รู้เรื่องไง หรือจะให้นอนคุยกันในห้องหอกันสามคนงั้นเหรอ"
ช่อเอื้องหายใจเหนื่อยหอบในขณะที่ถูกลากให้เดินด้วยความรีบร้อน โดยอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยว่าหล่อนกำลังฝืนอย่างหนักจากอาการเจ็บระบมตรงข้อเท้าจากอุบัติเหตุก่อนหน้า โชคดีที่ได้เปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบพื้นธรรมดาแล้วไม่อย่างนั้นกว่าจะคุยกันรู้เรื่องหล่อนคงพิการไปเสียก่อน
"โอ๊ย! ช้าๆ หน่อยได้ไหม ฉันเจ็บเท้า..." ในที่สุดหญิงสาวก็ไม่อาจทานทนต่อพิษความเจ็บปวดได้ไหว หล่อนกัดริมฝีปากของตัวเองในขณะที่ร่างใหญ่หยุดเดิน และหันมามองสำรวจแต่มือนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยจากการจับล็อกเอาไว้
"ฉันจะพาเธอไปที่แห่งหนึ่ง...หวังว่าที่นั่นจะทำให้เธอยอมรับความจริงแล้วอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น..." ศิขราอธิบายคร่าวๆ ถึงจุดประสงค์ที่ลากตัวหล่อนออกมาจากเรือนหอ ราวกับลืมไปแล้วว่าคืนนี้มันมีความสำคัญต่อหล่อนและบิดาของเขาอย่างไร
อาจจะไม่ลืม...แต่ไม่ได้สนใจไปกว่าความต้องการของตนเอง...
"อุ้ย! ว้าย!" ร่างเล็กลอยลิ่วโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามายกอุ้มพาดบ่า จบปัญหาข้ออ้างเรื่องความเจ็บปวดตรงข้อเท้าของหล่อน เขาใช้มือเพียงข้างเดียวในการประคองจับร่างทั้งร่างเอาไว้ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อน้ำหนักที่ต้องแบกรับเพิ่มขึ้น
เขายังคงก้าวเดินเร่งเร็วดังเช่นปกติ ในขณะที่ช่อเอื้องนั้นจับชายเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้เสียแน่นด้วยความหวาดกลัว
เจอหน้ากันเพียงสองครั้ง...เขาก็สร้างวีรกรรมที่เกินความคาดหมายให้หล่อนได้ทั้งสองครา