ท่าทางของแม่นักร้องโอเปร่าไม่เป็นมิตรเลยสักนิด แต่หล่อนก็พยายามที่จะระบายยิ้มและใจเย็นที่สุด
“ดิฉันเข้ามาทำความสะอาดห้องค่ะ”
“แต่ฉันยังไม่เสร็จไม่เห็นหรือ”
อรุณรัตน์เดินขาถ่างมาหยุดตรงหน้าของพราวเนตร มองอย่างหมั่นไส้เพราะเห็นว่าสาวใช้คนนี้หน้าตาสะสวยเกินหน้าเกินตาตัวเอง
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ งั้นดิฉันจะออกไปรอข้างนอกก่อนก็แล้วกันค่ะ”
พราวเนตรไม่อยากมีปัญหาจึงคิดจะหลบเลี่ยง แต่อรุณรัตน์เรียกเอาไว้เสียงกระด้าง
“ก่อนออกไปก็หยิบกางเกงในให้ฉันก่อน”
หน้าของพราวเนตรร้อนจัด หล่อนช้อนตาขึ้นมองเจ้าของคำสั่ง ก่อนจะฝืนยิ้มอีกครั้ง
“เอ่อ...ดิฉันแค่เข้ามาทำความสะอาดเท่านั้นค่ะ”
“ทำไม เป็นขี้ข้าใช้แค่นี้ทำไม่ได้หรือไง”
อรุณรัตน์จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะชี้นิ้วสั่ง
“ไปหยิบกางเกงในของฉันมาเดี๋ยวนี้”
พราวเนตรเม้มปากแน่น หล่อนมองคู่สนทนาอย่างวิงวอน และพยายามประนีประนอมที่สุด
“ดิฉันขอตัวไปรอข้างนอกนะคะ ถ้าคุณแต่งตัวเสร็จแล้วเรียกดิฉันนะคะ”
“อีขี้ข้า ใช้แค่นี้ทำไม่ได้หรือไง”
หล่อนจะเดินหนี แต่แขนถูกอรุณรัตน์คว้าเอาไว้ หล่อนพยายามสะบัดแขนออกจนหลุด พร้อมกับพุ่งตัวตรงไปยังประตูห้อง แต่อรุณรัตน์ก้าวตามมาคว้าเส้นผมของหล่อนเอาไว้และกระชากให้ถอยหลังกลับไปสุดแรง
“โอ๊ย...!”
หล่อนเจ็บร้าวไปทั้งศีรษะ เมื่อเส้นผมดำขลับยาวสลวยถูกกระชากแรงๆ อย่างไร้ความปรานี
“ดิฉันเจ็บค่ะ”
“แกสมควรเจ็บเพราะขัดคำสั่งฉัน มาเก็บกางเกงในของฉันเดี๋ยวนี้!”
อรุณรัตน์ผลักร่างของพราวเนตรให้ล้มลงกองกับพื้น ใกล้ๆ กับซากกางเกงในของตัวเอง
“จะหยิบหรือจะคาบเอามาให้ฉันก็ได้ เร็วเข้า”
พราวเนตรตาแดงก่ำ ศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำทำให้หล่อนเจ็บปวดทรมาน หล่อนมองอรุณรัตน์ด้วยความไม่พอใจ
“ถึงดิฉันจะเป็นแค่คนใช้ แต่ดิฉันก็มีศักดิ์ศรีนะคะ”
“ขี้ข้าอย่างแกไม่มีทางมีศักดิ์ศรีหรอก ชีวิตของพวกแกมันคือเศษขยะ จำเอาไว้ด้วย”
หล่อนน้ำตาไหลซึม กัดฟันหยัดยืนขึ้นด้วยสองขาของตัวเอง แล้วเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าอรุณรัตน์
“ถึงดิฉันจะเป็นแค่ขี้ข้า แต่ดิฉันก็ไม่เคยมีความคิดที่จะขายตัว เหมือนกับ...”
อรุณรัตน์หน้าชาดิก เพราะรู้ดีว่าท้ายประโยคที่พราวเนตรละเอาไว้หมายถึงใคร
“อี...อีขี้ข้า...!”
เพียะ!!!
ใบหน้าของพราวเนตรสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือของอรุณรัตน์ เลือดสีแดงสดซึมไหลออกมาจากมุมปาก ความเจ็บระบมค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในความรู้สึก หล่อนยกมือขึ้นกุมแก้มข้างที่ชาดิกเอาไว้ และมองคนกระทำ
“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายดิฉันแบบนี้นะคะ”
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ ฉันยังทำได้มากกว่านี้อีก อีขี้ข้า!”
อรุณรัตน์จะตบซ้ำอีก แต่คราวนี้พราวเนตรเบี่ยงตัวหลบ และจัดการตอบโต้ด้วยฝ่ามือเรียวเล็กแต่หนักเอาการของตัวเองลงบนใบหน้าของคู่สนทนาเช่นกัน
“โอ๊ย...อีขี้ข้า มึงกล้าตบกูเหรอ”
“ดิฉันแค่ป้องกันตัวเองค่ะ”
แล้วสองสาวก็ฟัดกันนัวเนีย แต่อรุณรัตน์เสียเปรียบมากกว่าเพราะถูกตบซ้ำไปถึงสามทีจนหน้าบวมเป่ง และทั้งคู่ก็คงจะตบตีกันต่อไป หากไม่มีเสียงกระด้างดุดันของคีแรนดังขึ้นที่หน้าประตู
“ทำบ้าอะไรกันในห้องฉัน!”
พราวเนตรที่คร่อมทับอยู่บนร่างของอรุณรัตน์ชะงักมือ และมองไปยังคีแรนที่หน้าตาบูดบึ้งด้วยความตื่นตกใจ หล่อนรีบปล่อยคู่กรณี และลุกขึ้นยืนด้วยหน้าตาซีดเผือด
“เอ่อ...”
อรุณรัตน์เห็นคีแรนก็รีบลุกขึ้นและวิ่งไปกอดแขน พร้อมกับฟ้องชายหนุ่มถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ช่วยรัตน์ด้วยค่ะคุณคีแรน”
คนพูดบีบน้ำตาออกมา และยกมือขึ้นลูบคลำหน้าของตัวเองที่กำลังบวมเป่งด้วยความเจ็บปวด
“รัตน์ถูกคนใช้ของคุณทำร้าย”
“คือ...พราวอธิบายได้นะคะคุณคีแรน...”
หล่อนพยายามจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ดูจากสายตาของคีแรนที่จ้องเขม็งมองมาแล้ว หล่อนรู้ทันทีเลยว่าเขาจะต้องเข้าข้างผู้หญิงที่กอดแขนแจอย่างอรุณรัตน์แน่นอน
หล่อนหมดศรัทธาในความยุติธรรม และก้มหน้าซ่อนคำอธิบายเอาไว้ในอก
“มันตบรัตน์...ตีรัตน์ ทั้งๆ ที่รัตน์พูดดีๆ กับมันค่ะ คุณคีแรนจะต้องจัดการให้รัตน์นะคะ”
คีแรนดึงแขนของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอรุณรัตน์ แล้วเดินมาหยุดตรงหน้าของพราวเนตร
“เงยหน้าขึ้นมองฉัน” น้ำเสียงของเขาดุดันและกระด้างน่ากลัวเหลือเกิน “ฉันบอกให้เงยหน้าขึ้นมองฉันไง!”
คนที่ยืนก้มหน้าร้องไห้อยู่สะดุ้ง และจำต้องช้อนดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองคนใจร้าย กลีบปากอิ่มสั่นระริก เขาจ้องหน้าหล่อน กวาดตามองจนทั่ว ก่อนจะเค้นคำดุด่าออกมา
“หลายครั้งแล้วนะที่เธอก่อเรื่องน่ะ”
แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง หล่อนไม่เคยเป็นคนเริ่มต้นเลยสักครั้งเดียว มีแต่คู่ขาของเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายหาเรื่อง ซึ่งหล่อนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงพวกนั้นถึงได้ชอบหาเรื่องตัวเองนัก
“พราว...”
“ถ้ายังไม่หยุดหาเรื่องผู้หญิงของฉันอีก ฉันจะไล่เธอออกจากบ้าน รวมถึงครอบครัวของเธอด้วย พราวเนตร!”
“คุณ...คีแรน...พราว...พราวขอโทษค่ะ”
น้ำเสียงของหล่อนสั่นเทาและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะทำให้คนในครอบครัวต้องเดือดร้อนเพราะตัวเอง
“พราวจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้วค่ะ พราว...ขอโทษ...”
“ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะไม่มีทางปรานีเธอ ไสหัวออกไปให้พ้นได้แล้ว ไปสิ!”
เขาชี้นิ้วขับไล่หล่อนเสียงดังลั่นอย่างไม่ไว้หน้า สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเลือดเย็นและน่ากลัว หล่อนกำลังจะหมุนตัวเดินหนีออกมา แต่เสียงของอรุณรัตน์ดังขึ้นเสียก่อน
“อย่าเพิ่งให้มันไปสิคะคุณคีแรน”
หล่อนหันกลับไปมองอรุณรัตน์ ก็เห็นว่าหญิงสาวกำลังยิ้มเยาะสะใจอยู่
“มี...อะไรให้พราวทำเหรอคะ”
“มากราบตีนขอโทษฉันก่อน แล้วค่อยไป”
หล่อนช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน ปรายตามองหน้าคีแรน ก็เห็นว่าเขายืนนิ่งไม่สนใจอะไร
“แต่พราว...ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ยังจะมาเถียงอีก มากราบตีนฉันก่อน ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้คุณคีแรนไล่เธอออกจากงาน เร็วสิ”
หล่อนมองคีแรนอย่างขอความเมตตา ส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่อยากทำ
“คุณคีแรนคะ พราว...พราว...”
“ไสหัวออกไปได้แล้ว” ในที่สุดคีแรนก็เค้นเสียงกระด้างดุดันออกมา
อรุณรัตน์หน้าตาบูดบึ้ง ไม่เห็นด้วย “แต่รัตน์ไม่ยอมนะคะ มันต้องมากราบตีนรัตน์ก่อน”
“ผมจะจัดการคนของผมเอง คุณไม่มีสิทธิ์ ไปได้แล้วพราวเนตร และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
หล่อนรีบวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจจนน้ำตาไหลรินไม่หยุด
เมื่อพราวเนตรออกไปพ้นห้องแล้ว คีแรนจึงเดินไปดึงประตูห้องให้ปิดลง และเดินมาหยุดตรงหน้าอรุณรัตน์
“คุณคีแรนต้องจัดการนังคนใช้นิสัยเสียคนนี้ให้รัตน์นะคะ ไล่มันออกเลยยิ่งดี โอ๊ย...!”
หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น ใบหน้าที่บวมเป่งอยู่แล้วสะบัดไปตามแรงปะทะจากฝ่ามือใหญ่ของคีแรน
“คุณตบหน้ารัตน์ทำไมคะ คุณคีแรน?!” หล่อนงงเป็นไก่ตาแตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สีหน้าที่เคยแค่บูดบึ้งเย็นชาของคีแรนเปลี่ยนเป็นเดือดดาลและดุดัน ดวงตาของเขาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยกองไฟที่ลุกโชน อรุณรัตน์ตัวสั่น หวาดกลัวจนต้องก้าวถอยหลังหนี
“จำเอาไว้ นี่คือโทษทัณฑ์ที่เธอบังอาจแตะต้องคนของฉัน!”
“คุณคีแรน...” หล่อนปากคอสั่นเทา ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่สองหูได้ยิน
“ไสหัวไปซะ เดี๋ยวฉันจะให้เลขาฯ ส่งเงินค่ารักษาพยาบาลไปให้ในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า”
อรุณรัตน์ที่ทั้งเจ็บทั้งอายทั้งมึนงงรีบแต่งตัว คว้ากระเป๋าและข้าวของของตัวเองวิ่งหนีออกไปด้วยความหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว โดยมีคีแรนสบถตามหลังดังลั่น
เขาเกลียดตัวเองที่กระทำรุนแรงแบบนี้ แต่หยาดเลือดที่มุมปากของพราวเนตรทำให้เขาสติแตก ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ฆ่าอรุณรัตน์ตายคาห้องน่ะ