“วันนี้เสี่ยอิฐก็ถามมึงอีกแล้วเหรอ” ป้าพริตาถามขณะที่ฉันนั่งทำบัญชีในเวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ
“จ้ะ” ฉันตอบพร้อมก้มหน้าจดบัญชีต่อ อยากรีบทำรีบกลับ
“จะว่าไปก็ตื๊อมาหลายปีแล้วนะ ถ้าเสี่ยอิฐมันไม่มีเมียอยู่แล้วกูจะให้มันมาขอมึงให้รู้แล้วรู้รอด แต่นี่มันเสือกมีเล็กมีน้อยเยอะเหลือเกิน ขืนอยู่กับมันคงได้แย่งสมบัติกับบรรดาผู้หญิงของมันกันฉิบหาย แล้วน้ำหน้าอย่างมึงคงไม่สู้ใคร มีหวังกลับมามือเปล่า” ป้าพริตาพูดพลางนั่งดื่มเหล้าไปด้วย ป้าพริตาเป็นคนชอบดื่ม หลังเลิกงานป้าดื่มแทบทุกคืน
เรื่องที่ป้าพริตาพูดฉันไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่ภายในใจร้องดีใจที่ป้ายังมีความหวังดีให้ฉันอยู่บ้าง
ความหวังดีที่เอื้อมาจากผลประโยชน์ของป้า
“แล้วก็นะ ถ้ามึงจะรักใครชอบใคร สิ่งแรกที่มึงต้องเช็กเลยคือความรวย สมัยนี้แค่รักอย่างเดียวมันไม่ทำให้ชีวิตคู่ของมึงสบายหรอกนะ อย่าโง่ แต่ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ก็อยู่โสด ๆ ให้คนมันพากันมาขายขนมจีบหลอกเอาเงินเอาของมันซะ หรือถ้ามึงอยากได้ผัวจนตัวสั่นก็บอกกูตรง ๆ กูจะหาไอ้คนรวย ๆ ให้”
“อ้อมยังไม่อยากได้จ้ะป้า อ้อมขอเรียนกับทำงานก่อนนะจ๊ะ” ฉันชินชากับเรื่องที่ป้าพริตาพูดซะแล้ว เวลาป้าเริ่มเมาทุกอย่างก็จะออกมาประมาณนี้
ฉันแค่ก้มหน้ารับฟัง เรื่องไหนที่พอจะแย้งด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นฉันจะรีบแย้งทันที
“ก็ดี อยู่แบบนี้ก็ได้ของจากแขกประจำบ่อย เกิดมึงมีเจ้าของขึ้นมาแขกคงหายหมด” ป้าพริตาพูดพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
พวกแขกประจำของฉันนอกจากชอบให้ทิปหนัก ๆ แล้วยังชอบซื้อข้าวของมาให้ฉัน
ก็คือหว่านพืชหวังผลกันทั้งนั้น
“ป้ากลับเลยไหมจ้ะ อ้อมไปส่ง” ฉันเก็บของเมื่อทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวันนี้เสร็จเรียบร้อย เอ่ยถามป้าเนื่องจากว่าป้าค่อนข้างจะเมา
“ไม่ต้อง มึงกลับก่อนเลย”
“ค่ะ” ฉันทำตามที่ป้าบอก ถ้าวันไหนที่ป้ากลับทีหลังนั่นแสดงว่าป้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะทำ
เรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายค่ะ ป้าพริตาโสดก็จริง แต่ป้าโสดไม่สนิทค่ะ
“กลับบ้านดี ๆ ล่ะ อย่าไปหาอ่อยผู้ชายเรี่ยราด”
“ค่ะ” ฉันลุกเดินออกจากห้องทำงาน ใช่ว่าป้าไม่รู้ว่าฉันเป็นยังไง เพียงแต่ป้าชอบพูดย้ำให้ฉันจำ และอย่าทำในสิ่งที่ป้าไม่ชอบ
“อ้าว อ้อมนึกว่าพี่หลับแล้ว” เปิดห้องเข้ามาพี่ทรายเขากำลังอ่านหนังสือนิยาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฉันเขียน แต่ว่าฉันไม่ได้บอกพี่เขาว่าฉันเป็นคนเขียน
“รออ้อมไง เป็นห่วง” เป็นห่วงงั้นเหรอ คำนี้นอกจากเพื่อนทั้งสองของฉันกับยายที่จากไป และพี่ข้างบ้านที่เปิดร้านสักแล้ว ก็ไม่มีใครพูดคำนี้กับฉันเลยสักคนนะ
พอได้ยินแล้วก็รู้สึกดีแปลก ๆ
“เป็นห่วงอะไรกันคะ อ้อมก็ไปทำแบบนี้ทุกวัน พี่ต่างหากที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ”
“อ้อมเข้มแข็งจังเลยนะครับ น้องอย่าลืมสิว่าน้องเป็นผู้หญิง อ่อนแอบ้างก็ได้”
ก็จริงอย่างที่พี่ทรายว่า แต่ถ้าฉันมัวแต่อ่อนแอ แล้วใครจะช่วยพยุงฉันล่ะ
ฉันต้องเข้มแข็งเพื่อพยุงตัวเอง
“อยากเขินอีกไหมคะพี่ทราย” ฉันทำเมินกับเรื่องที่พี่ทรายพูดแล้วเดินไปหาพี่เขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง จากนั้นก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของพี่เขา
จ้องสบตากับเขา
แค่อยากจะแกล้ง แค่ชอบเวลาที่พี่เขาเขินจนเกิดอาการหน้าแดงไปจนถึงใบหู
“อ้อมรักอย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ” พี่ทรายเบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับเก็บหนังสือไว้ที่หัวเตียง จากนั้นพี่ทรายค่อย ๆ ขยับล้มตัวลงนอนที่เตียงอย่างเรียบร้อย
“ใครเขินกันน้า…”
“พี่ง่วงแล้วครับ ฝันดีนะครับ” พี่ทรายดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง
อาการเขินอายทำให้คนลืมเจ็บสินะ
“อ้อมไปอาบน้ำนะคะ” ฉันอมยิ้มและเดินหันหลังให้พี่ทราย
ผู้ชายอะไรเวลาเขินแล้วน่ารักมาก เห็นแล้วก็รู้สึกอยากจะแกล้งบ่อย ๆ
ประมาณสองอาทิตย์จากวันนั้น อาการของพี่ทรายตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมาก สำหรับร่างกาย ส่วนความทรงจำนั้นไม่มีเพิ่มเข้ามาเลย พี่ทรายบอกว่าเขาทำใจแล้ว จำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำอีก
ถือว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่
“เฮ้ย ฝีมือสุดยอดเลยนี่หว่า เคยเป็นช่างสักมารึเปล่าวะ” เสียงของพี่โยค่ะ พี่โยเป็นช่างสัก เขาเปิดร้านอยู่ข้างบ้านของฉัน
“ไม่รู้ครับ” พี่ทรายตอบ
“อ้อมก็บอกพี่โยแล้วไงจ๊ะว่าพี่ทรายเขาความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้” ฉันบอกกับพี่โย ขออธิบายว่าหลังจากที่พี่ทรายเริ่มหายดี พี่เขาก็อยากจะหางานทำ ไม่อยากจะรบกวนฉัน คราวนี้คนที่ฉันรู้จักและไว้ใจได้ก็มีแค่พี่โย บวกกับฉันเห็นรอยสักที่พาดจากหลังมาถึงช่วงเอวของพี่ทรายมันสวยมาก ก็เลยคิดว่าบางทีพี่เขาอาจจะชื่นชอบการสักหรือเปล่า
คิดได้แบบนั้นก็เลยลองพาพี่ทรายมาปรึกษาพี่โย เผื่อว่าพี่โยจะรับสมัครคน
“เออ พี่ก็ลืมไหมอ้อมรัก”
“สรุปรับพี่ทรายใช่ไหมพี่โย” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ อ้อนพี่โย
“ฝีมือขนาดนี้ แล้วยังโดนคนสวยอ้อนขนาดนี้ไม่รับได้ไงหืม” พี่โยยกมือขึ้นมาลูบที่หัวของฉันเหมือนที่เคยทำ เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พี่โยชอบหงุดหงิดเวลาที่ฉันทำตามที่ป้าสั่งเสมอ บางทีพี่โยก็บอกให้ฉันหนีไปให้ไกลจากป้า ชีวิตของฉันจะได้เป็นอิสระสักที
แต่คนอย่างฉันน่ะเหรอจะทำแบบนั้น ฉันไม่ใจกล้าพอที่จะกล้าทำแบบนั้นอยู่แล้ว
“ว่าแล้วเชียวว่าพี่โยช่วยอ้อมได้ตลอด ถ้ารับพี่ทรายแล้วก็อย่าลืมสัญญานะคะ”
“รู้แล้วครับ” สัญญาที่ว่าก็คือเวลามีคนถามให้บอกว่าพี่ทรายเป็นญาติห่าง ๆ ของพี่โย
ฉันกับพี่ทรายก็ยังไม่มั่นใจหรอกว่าจะมีคนรู้จักพี่ทรายไหม แต่ว่าพี่ทรายเขาไม่อยากอยู่แบบพึ่งพาฉันตลอดไป พี่เขาอยากทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เราก็เลยต้องลองเสี่ยงกันดู
“งั้นเริ่มงานพรุ่งนี้ใช่ไหมคะพี่โย” ฉันถามขณะที่พี่ทรายนั่งเฉย ๆ
“อ่า ใช่ ๆ พรุ่งนี้สิบโมง”
“ถ้างั้นอ้อมขอตัวกลับนะคะ กลับกันเถอะพี่ทาาย” ฉันเอ่ยชวนพี่ทรายพร้อมเดินออกมาทางด้านหลังร้านของพี่โย จะได้เดินเข้าทางด้านหลังบ้านของฉันเลย
ตอนนี้ป้าพริตาน่าจะอยู่ร้านเหล้าแล้วป้าไม่น่าจะมาเห็น และช่วงนี้ป้าก็ยุ่ง ๆ กับการรับคนงานเข้าร้านเนื่องจากพนักงานเก่าขอลาออกค่อนข้างเยอะ
“ทำไมหน้าบึ้งคะ เป็นอะไรอ่า พี่โยก็รับเข้าทำงานแล้วนะ ทำไมไม่ดีใจเลย” เดินเข้ามาในบ้านฉันจึงเอ่ยถาม เพราะอาการของพี่ทรายดูแปลก ๆ ตลอดทางที่เดินมาก็ไม่พูดกับฉัน ทั้งที่ปกติพี่เขาพูดเก่งมาก
“อ้อมกับเจ้าของร้านสักเป็นอะไรกัน ทำไมดูสนิทกัน”
“ก็นับถือกันเป็นพี่ชายน้องสาว เป็นพี่ข้างบ้านไงคะ พี่ทรายถามทำไมเหรอ”
“แค่พี่น้องจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเขาคิดอะไรกับอ้อมนะ”
“ถามเหมือนหึงเลยนะคะ นี่พี่ทรายแอบชอบอ้อมรึเปล่า” ฉันเดินเข้าไปใกล้พี่ทราย ทำให้พี่ทรายขยับเดินถอยหลัง แผ่นหลังชนกำแพง
เราสองคนสบตากัน และพี่เขาหน้าแดงอีกแล้ว
“พะ…พี่ พี่ว่าพี่ไปอาบน้ำดีกว่าครับ” พี่ทรายเบี่ยงตัวหลบและรีบเดินเข้าห้องน้ำไป
หัวใจจะวายเลยฉัน แกล้งหยอกเขาแต่กลับกลายเป็นว่าตัวของฉัน และหัวใจของฉันก็รู้สึกประหลาดเช่นกัน
หรือว่านี่จะเรียกว่า ‘รัก’ อย่างในนิยายงั้นเหรอ?
หากเป็นรักอย่างในนิยาย ถ้างั้นแบบนี้ฉันควรเตรียมใจเผื่อว่าวันใดวันหนึ่งพี่เขากลับมาจำทุกอย่างได้แล้ว ก็คงจะจากไปสินะ
“เดี๋ยวอ้อมทำกับข้าวรอนะคะพี่” ฉันสลัดความคิดมโนฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเดินมาเคาะประตูห้องน้ำบอกพี่ทราย
“ครับ” น้ำเสียงบ่งบอกว่าตกใจเล็กน้อย
ความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ความรักหรอกมั้ง มันอาจจะเป็นเพราะเราใกล้ชิดกันมากเกินไป ก็เลยเกิดความหวั่นไหวเท่านั้นเอง
รักอะไรกัน ไม่ใช่หรอก เพราะฉันไม่เคยรู้จักรัก และไม่อยากรักด้วย