วันต่อมา…
มหาวิทยาลัย
“ทำไมช่วงนี้หน้าอิ่มเอิบจัง แอบมีความรักหรือเปล่า” เบนจี้ หรือเบนจามีนเพื่อนชายใจหญิงของฉันเอ่ยถาม เบนจี้น่ะเป็นสาวสอง
“ความรักกับใครล่ะ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเห็นฉันมีแฟนหรือไง”
“ถ้าไอ้อ้อมมีแฟนเมื่อไหร่กูเลี้ยงหมูกระทะมันเลย” เจ หรือเจมิกซ์ เพื่อนสนิทอีกคนของฉันกำลังเริ่มเอาเรื่องแฟนของฉันไปเดิมพัน
เจจัดอยู่ในกลุ่มชายรักชาย คนละแบบกับเบนจี้
“อะไรกัน ถ้าอ้อมมีแฟนทั้งที เจจะเลี้ยงแค่หมูกระทะหรือไง”
“แหมะ อ้อมรักครับ อ้อมรักหาคนถูกใจให้ได้ก่อนดีไหมครับ” ดูเจพูดเข้าสิ ชอบเอาความจริงมาพูดอีกแล้ว
“อันนี้เห็นด้วยกับไอ้เจย่ะ อย่างแกน่ะหาคนถูกใจให้ได้ก่อน”
“พูดเหมือนฉันไม่สวย ฉันเรื่องมากอะ” ฉันแสร้งทำเสียงอ่อนและแสดงสีหน้าน้อยใจ
“แกน่ะสวยมากจ้ะอ้อมรัก แต่แกมันตายด้าน” เบนจี้ว่าเหน็บพร้อมทั้งยื่นนิ้วมาจิ้มที่แก้มของฉันด้วย
“ไอ้อ้อมตายด้าน แต่อีกคนที่หน้าด้านกำลังเดินมา” คำพูดของเจทำให้ฉันรู้ได้โดยไม่ต้องหันไปมองว่าใครกำลังมา
“น้องอ้อมรักครับ วันนี้วาเลนไทน์พี่ซื้อดอกไม้มาให้ ช่วยรับไว้หน่อยนะครับ” ดอกกุหลาบช่อใหญ่ยื่นมาตรงหน้าฉัน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับมันมาไว้เหมือนปีที่ผ่านมา
ไม่รับก็คือไม่จบไง ฉันเคยไม่รับและเขาตื๊อจนฉันอับอาย ฉันจึงรับให้มันจบ ๆ
“อะแกฉันให้” ฉันยื่นช่อดอกไม้ให้เบนจี้ ไม่ว่าจะของกินหรือของขวัญ ใด ๆ ก็ตามที่พี่เปลวมอบให้ฉัน ฉันไม่เคยนำกลับบ้าน ฉันยกให้เพื่อนตลอด
มันดูเหมือนกับการหักหน้า แต่ก็เหมือนพี่เปลวไม่ได้สนใจตรงนี้ เพราะว่าเขาอยากเอาชนะยังไงล่ะ
“เย็นนี้ไปดูหนังกับพี่ไหมครับ” เป็นการชวนออกเดตรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
แต่ว่าฉันไม่เคยจะไป วันนี้ก็เช่นกัน
“อ้อมไม่สะดวกค่ะ พี่เปลวชวนคนอื่นที่พร้อมจะไปกับพี่ดีกว่านะคะ อ้อมขอตัวไปเรียนก่อนนะ” ฉันปฏิเสธออกไปเหมือนทุกครั้ง
ผู้หญิงมากมายที่อยากเดินเคียงข้างเขา ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มองผู้หญิงเหล่านั้นบ้าง จะมายุ่มย่ามกับฉันทำไมนัก
เขาจะรู้บ้างไหมว่าฉันโดนคนครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยตั้งแง่รังเกียจ สาเหตุก็มาเพราะเขาทั้งนั้น
“วันนี้ไม่ว่างไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นเอาไว้คราวหน้าพี่จะมาชวนน้องอ้อมรักอีก และหวังว่าในอนาคตเราสองคนจะได้เดินเที่ยวด้วยกันสักครั้งนะครับ” พี่เปลวเอ่ย
ฉันจึงยิ้มให้เพียงแค่นั้น
บอกตามตรงว่าไม่ชอบเป็นเป้าสายตา แต่ถ้าอธิบายออกไปให้พี่เปลวเข้าใจ พี่เปลวที่สายนักเลงก็จะไปหาเรื่องคนที่ฉันพูดถึงแทนการเข้าใจในสิ่งที่ฉันบอก
“โอ๊ย… บางทีก็อยากให้ชะนีได้กับพี่เปลวซะให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไรตื๊อเก่ง เอาใจเก่ง” เบนจี้รีบส่งเสียงดังเมื่อพี่เปลวเดินออกไปไกลมากแล้ว
“ก็แค่ช่วงโปรโมชันเท่านั้นแหละ ลองอ้อมมันจีบง่ายเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ สิ คนแบบนั้นจะมาสนใจหรือไง พี่เปลวมันก็แค่อยากชนะไง” เจพูดขัดเบนจี้ ซึ่งฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เจพูด หนุ่มฮอตสถาปัตย์มีเหรอใครจะไม่รู้จัก
“ขึ้นตึกกันเถอะพวกแก” ฉันทิ้งเรื่องของพี่เปลวออกไปแล้วชวนเพื่อนขึ้นตึกเรียน
ก็แค่ทน ๆ กับการตามตื๊อของพี่เปลวอีกไม่กี่เดือนพี่เขาก็จะจบแล้ว ถึงเวลานั้นสายตาคู่อาฆาตหลาย ๆ คู่ก็คงจะหายไปด้วย (มั้ง)
เวลา 14.45 น.
ฉันลงจากรถเมล์ แวะซื้อขนมปังชานมเหมือนทุกวัน จากนั้นก็เดินเข้าซอยบ้านและแวะที่ร้านสักก่อน เพราะว่าพี่ทรายอยู่ที่นี่
“อ้าว เลิกเรียนแล้วอ่อ” พี่โยกำลังนั่งวาดลายลงแผ่นกระดาษอะไรสักอย่าง
“จ้ะ ซื้อขนมปังมาฝากด้วย แล้วพี่ทรายล่ะ” ฉันวางกระเป๋าพร้อมทั้งขนมปังลงที่โต๊ะ
“สักอยู่”
“หืม ทำงานวันแรกก็ให้พี่ทรายสักให้ลูกค้าเลยเหรอพี่โย”
“ก็ลูกค้าอยากให้มันสักไง ความต้องการของลูกค้า” พี่โยตอบขณะที่สายตาจับจ้องกระดาษส่วนมือกำลังวาดภาพ
“ลูกค้าผู้ชายเหรอ”
“ผู้หญิง สามคนแล้วนะวันนี้ แม่งตัวเงินตัวทองจริง ๆ” พี่โยเอ่ยชม
ส่วนฉันน่ะเงียบกริบ รู้สึกหน่วง ๆ หัวใจบีบรัดตุบ ๆ อยากจะเข้าไปในห้องสักแล้วบอกว่า ‘ไม่ต้องทำแล้ว กลับบ้านกัน’
แต่พอลองทบทวนดู เหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำแบบนั้นกันล่ะ
และฉันมีสิทธิ์อะไร
“เข้าไปดูมันไหมล่ะ” เสียงพูดของพี่โยทำฉันสะดุ้ง
“เขาทำงานจะไปกวนเขาทำไมล่ะ งั้นอ้อมกลับบ้านก่อนนะ ฝากขนมไว้ให้พี่ทรายด้วยแล้วกัน” ฉันคว้ากระเป๋าสะพายและเดินออกมาจากร้านสัก
เป็นอะไรไปนะ ทำไมรู้สึกแปลกแบบนี้
“อีอ้อม!” เสียงของป้าพริตาดึงความเหม่อลอยของฉันทิ้งทันที
“จ๋าป้า” ฉันหันไปมองป้าที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านของป้านั่นแหละ
“กูจะบอกว่าวันนี้เข้าร้านเร็วหน่อย รับเด็กใหม่เข้ามา เลยอยากให้มึงเป็นหูเป็นตา เผื่อไม่ได้เรื่องจะได้คัดออกทัน”
“จ้ะป้า เดี๋ยวอ้อมเข้าตอนสี่โมงครึ่งนะจ๊ะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวกูไปก่อนแล้วกัน” ป้าพริตาพูดพลางเดินออกจากรั้วบ้าน ปิดล็อกรั้วอย่างเรียบร้อย
ฉันยิ้มให้ป้าและเดินเข้าซอยข้าง ๆ เพื่อเดินไปที่บ้านของตัวเอง ส่วนป้าพริตาแยกไปอีกทาง ซึ่งป้าพริตาเดินไปยังสถานที่ที่ร้านเหล้าตั้งอยู่
ฉันกลับมาบ้านก็รีบทำกับข้าวไว้ให้พี่ทราย เขียนโน้ตแปะทิ้งไว้ และจากนั้นก็กินข้าว อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
เวลาสี่โมงครึ่งฉันมาถึงร้านเหล้าด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อเกิดภายในใจ และไม่รู้เลยว่าจะต้องดับมันแบบไหน
“นั่งไงแอ้มมาแล้ว” เสียงพนักงานคนหนึ่งเอ่ยชื่อในเวลางานของฉัน
“หวัดดี มีอะไรกันเหรอ” ฉันเผยยิ้มเล็กน้อย
“ก็แนะนำพนักงานในร้านให้เด็กใหม่ได้รู้จักไง” โมจิหนึ่งในพีอาร์ของร้านตอบ และหันไปพูดกับผู้หญิงที่ฉันไม่คุ้นหน้าว่า “แอ้มรับแค่ชงเหล้ากับแขกประจำอย่างเดียว แล้วก็ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ เพราะแอ้มเป็นหลานเจ้าของร้านนะบอกเลย แอ้มเนี่ยดุมาก”
“โมจิก็พูดเกินไป เราก็พนักงานเหมือนกันทั้งนั้น มาที่นี่ก็เพื่อทำงาน เพราะงั้นก็ต้องตั้งใจทำงานสิ ถูกไหม” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ต่อให้ฉันจะเป็นหลานเจ้าของร้าน แต่ฉันก็คือพนักงาน ไม่มีสิทธิ์วางอำนาจอะไรทั้งนั้น
“ถูกค่ะ” เสียงพนักงานพูดพร้อมกัน
“จ้ะ งั้นขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันยิ้มอีกครั้งและเดินมาทางโซนห้องน้ำเพื่อที่จะเปลี่ยนเสื้อของที่ร้าน
ระหว่างที่ฉันอยู่ในห้องน้ำ ก็เป็นเรื่องปกติที่คนอื่น ๆ จะเข้าห้องน้ำห้องข้าง ๆ หรือรวมถึงการเข้ามาส่องกระจกเช็กเครื่องสำอางบนใบหน้า
อย่างเช่นตอนนี้ก็มีคนสนทนากัน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แต่เมื่อฟังไปฟังมาแล้วนั้น บุคคลที่สามที่โดนพูดถึงคือคนที่ฉันรู้จักแน่ ๆ
“ไหนของแกสวยไหมอ่า” เสียงผู้หญิงด้านนอกพูดคุยกัน
“นี่ไงสวยไหม” อีกคนหนึ่งตอบ
เหมือนกำลังเอาบางอย่างออกมาอวดกัน
“เออ ๆ สวยอ่า รอบหน้านัดไว้วันไหนนะ”
“เดือนหน้าไง วันยังไม่กำหนด แต่ฉันอยากไปเร็ว ๆ อะแก พี่ทรายหล่อมาก แถมยังโสดอีกด้วย ถ้าได้มาเป็นแฟนนะ ฉันจะนอนให้สักทั้งวันทั้งคืนเลย”
“ใครดีใครได้นะยะ รอบหน้าฉันจะไปสักหว่างขา ร่ายคาถาก่อนอ้าด้วย อิอิ”
ฉันเปิดประตูเดินออกมาจากห้องน้ำ อยากจะเห็นใบหน้าของคนพูดสักหน่อย เมื่อฉันออกมาจากห้องน้ำ ผู้หญิงทั้งสองคนหันมายิ้มให้ฉัน
ฉันจึงส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ เธอเป็นพีอาร์ที่ถูกรับเข้ามาใหม่ในวันนี้
“รอยสักสวยจัง สักที่ไหนมา” ฉันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
ด้วยสายตามองไปเห็นรอยสักเล็ก ๆ บริเวณต้นแขนของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรอยใหม่ ๆ อยู่
“ถัดจากร้านเราไปนิดเดียวเนี่ยแอ้ม ช่างสักหล่อมาก ยังโสดด้วยนะ” ผู้หญิงอีกคนตอบอย่างชื่นชม ส่วนอีกคนบิดม้วนตัวเขินอาย
อายอะไร? ไม่เข้าใจ!
“อืม ฝีมือดีเลยเนอะ สวยอะ” ชัดเจนว่าคนสักให้นั้นคือพี่ทราย เพราะร้านสักในละแวกนี้มีแค่ร้านของพี่โย
สองคนนี้คือสองในสามของลูกค้าที่สักกับพี่ทรายในวันนี้สินะ
หน้าตาสะสวยซะด้วย แบบนี้พี่ทรายหวั่นไหวด้วยหรือเปล่านะ
แล้วฉันจะคิดมากทำไม หงุดหงิดทำไมล่ะ
สังคมสมัยนี้โหดร้าย การปั้นหน้ายิ้มให้กัน และเอ่ยชมไปตามธรรมเนียมถือว่าอยู่เป็น
ถึงไม่อยากเป็นมิตร ก็ต้องรู้จักอยู่ให้เป็น อย่าหาเรื่องสร้างศัตรู