EPISODE 09

1651 Words
วันต่อมา… มหาวิทยาลัย “ทำไมช่วงนี้หน้าอิ่มเอิบจัง แอบมีความรักหรือเปล่า” เบนจี้ หรือเบนจามีนเพื่อนชายใจหญิงของฉันเอ่ยถาม เบนจี้น่ะเป็นสาวสอง “ความรักกับใครล่ะ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาเห็นฉันมีแฟนหรือไง” “ถ้าไอ้อ้อมมีแฟนเมื่อไหร่กูเลี้ยงหมูกระทะมันเลย” เจ หรือเจมิกซ์ เพื่อนสนิทอีกคนของฉันกำลังเริ่มเอาเรื่องแฟนของฉันไปเดิมพัน เจจัดอยู่ในกลุ่มชายรักชาย คนละแบบกับเบนจี้ “อะไรกัน ถ้าอ้อมมีแฟนทั้งที เจจะเลี้ยงแค่หมูกระทะหรือไง” “แหมะ อ้อมรักครับ อ้อมรักหาคนถูกใจให้ได้ก่อนดีไหมครับ” ดูเจพูดเข้าสิ ชอบเอาความจริงมาพูดอีกแล้ว “อันนี้เห็นด้วยกับไอ้เจย่ะ อย่างแกน่ะหาคนถูกใจให้ได้ก่อน” “พูดเหมือนฉันไม่สวย ฉันเรื่องมากอะ” ฉันแสร้งทำเสียงอ่อนและแสดงสีหน้าน้อยใจ “แกน่ะสวยมากจ้ะอ้อมรัก แต่แกมันตายด้าน” เบนจี้ว่าเหน็บพร้อมทั้งยื่นนิ้วมาจิ้มที่แก้มของฉันด้วย “ไอ้อ้อมตายด้าน แต่อีกคนที่หน้าด้านกำลังเดินมา” คำพูดของเจทำให้ฉันรู้ได้โดยไม่ต้องหันไปมองว่าใครกำลังมา “น้องอ้อมรักครับ วันนี้วาเลนไทน์พี่ซื้อดอกไม้มาให้ ช่วยรับไว้หน่อยนะครับ” ดอกกุหลาบช่อใหญ่ยื่นมาตรงหน้าฉัน “ขอบคุณค่ะ” ฉันรับมันมาไว้เหมือนปีที่ผ่านมา ไม่รับก็คือไม่จบไง ฉันเคยไม่รับและเขาตื๊อจนฉันอับอาย ฉันจึงรับให้มันจบ ๆ “อะแกฉันให้” ฉันยื่นช่อดอกไม้ให้เบนจี้ ไม่ว่าจะของกินหรือของขวัญ ใด ๆ ก็ตามที่พี่เปลวมอบให้ฉัน ฉันไม่เคยนำกลับบ้าน ฉันยกให้เพื่อนตลอด มันดูเหมือนกับการหักหน้า แต่ก็เหมือนพี่เปลวไม่ได้สนใจตรงนี้ เพราะว่าเขาอยากเอาชนะยังไงล่ะ “เย็นนี้ไปดูหนังกับพี่ไหมครับ” เป็นการชวนออกเดตรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่ว่าฉันไม่เคยจะไป วันนี้ก็เช่นกัน “อ้อมไม่สะดวกค่ะ พี่เปลวชวนคนอื่นที่พร้อมจะไปกับพี่ดีกว่านะคะ อ้อมขอตัวไปเรียนก่อนนะ” ฉันปฏิเสธออกไปเหมือนทุกครั้ง ผู้หญิงมากมายที่อยากเดินเคียงข้างเขา ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มองผู้หญิงเหล่านั้นบ้าง จะมายุ่มย่ามกับฉันทำไมนัก เขาจะรู้บ้างไหมว่าฉันโดนคนครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยตั้งแง่รังเกียจ สาเหตุก็มาเพราะเขาทั้งนั้น “วันนี้ไม่ว่างไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นเอาไว้คราวหน้าพี่จะมาชวนน้องอ้อมรักอีก และหวังว่าในอนาคตเราสองคนจะได้เดินเที่ยวด้วยกันสักครั้งนะครับ” พี่เปลวเอ่ย ฉันจึงยิ้มให้เพียงแค่นั้น บอกตามตรงว่าไม่ชอบเป็นเป้าสายตา แต่ถ้าอธิบายออกไปให้พี่เปลวเข้าใจ พี่เปลวที่สายนักเลงก็จะไปหาเรื่องคนที่ฉันพูดถึงแทนการเข้าใจในสิ่งที่ฉันบอก “โอ๊ย… บางทีก็อยากให้ชะนีได้กับพี่เปลวซะให้รู้แล้วรู้รอด คนอะไรตื๊อเก่ง เอาใจเก่ง” เบนจี้รีบส่งเสียงดังเมื่อพี่เปลวเดินออกไปไกลมากแล้ว “ก็แค่ช่วงโปรโมชันเท่านั้นแหละ ลองอ้อมมันจีบง่ายเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ สิ คนแบบนั้นจะมาสนใจหรือไง พี่เปลวมันก็แค่อยากชนะไง” เจพูดขัดเบนจี้ ซึ่งฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เจพูด หนุ่มฮอตสถาปัตย์มีเหรอใครจะไม่รู้จัก “ขึ้นตึกกันเถอะพวกแก” ฉันทิ้งเรื่องของพี่เปลวออกไปแล้วชวนเพื่อนขึ้นตึกเรียน ก็แค่ทน ๆ กับการตามตื๊อของพี่เปลวอีกไม่กี่เดือนพี่เขาก็จะจบแล้ว ถึงเวลานั้นสายตาคู่อาฆาตหลาย ๆ คู่ก็คงจะหายไปด้วย (มั้ง) เวลา 14.45 น. ฉันลงจากรถเมล์ แวะซื้อขนมปังชานมเหมือนทุกวัน จากนั้นก็เดินเข้าซอยบ้านและแวะที่ร้านสักก่อน เพราะว่าพี่ทรายอยู่ที่นี่ “อ้าว เลิกเรียนแล้วอ่อ” พี่โยกำลังนั่งวาดลายลงแผ่นกระดาษอะไรสักอย่าง “จ้ะ ซื้อขนมปังมาฝากด้วย แล้วพี่ทรายล่ะ” ฉันวางกระเป๋าพร้อมทั้งขนมปังลงที่โต๊ะ “สักอยู่” “หืม ทำงานวันแรกก็ให้พี่ทรายสักให้ลูกค้าเลยเหรอพี่โย” “ก็ลูกค้าอยากให้มันสักไง ความต้องการของลูกค้า” พี่โยตอบขณะที่สายตาจับจ้องกระดาษส่วนมือกำลังวาดภาพ “ลูกค้าผู้ชายเหรอ” “ผู้หญิง สามคนแล้วนะวันนี้ แม่งตัวเงินตัวทองจริง ๆ” พี่โยเอ่ยชม ส่วนฉันน่ะเงียบกริบ รู้สึกหน่วง ๆ หัวใจบีบรัดตุบ ๆ อยากจะเข้าไปในห้องสักแล้วบอกว่า ‘ไม่ต้องทำแล้ว กลับบ้านกัน’ แต่พอลองทบทวนดู เหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำแบบนั้นกันล่ะ และฉันมีสิทธิ์อะไร “เข้าไปดูมันไหมล่ะ” เสียงพูดของพี่โยทำฉันสะดุ้ง “เขาทำงานจะไปกวนเขาทำไมล่ะ งั้นอ้อมกลับบ้านก่อนนะ ฝากขนมไว้ให้พี่ทรายด้วยแล้วกัน” ฉันคว้ากระเป๋าสะพายและเดินออกมาจากร้านสัก เป็นอะไรไปนะ ทำไมรู้สึกแปลกแบบนี้ “อีอ้อม!” เสียงของป้าพริตาดึงความเหม่อลอยของฉันทิ้งทันที “จ๋าป้า” ฉันหันไปมองป้าที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านของป้านั่นแหละ “กูจะบอกว่าวันนี้เข้าร้านเร็วหน่อย รับเด็กใหม่เข้ามา เลยอยากให้มึงเป็นหูเป็นตา เผื่อไม่ได้เรื่องจะได้คัดออกทัน” “จ้ะป้า เดี๋ยวอ้อมเข้าตอนสี่โมงครึ่งนะจ๊ะ” “เออ ๆ เดี๋ยวกูไปก่อนแล้วกัน” ป้าพริตาพูดพลางเดินออกจากรั้วบ้าน ปิดล็อกรั้วอย่างเรียบร้อย ฉันยิ้มให้ป้าและเดินเข้าซอยข้าง ๆ เพื่อเดินไปที่บ้านของตัวเอง ส่วนป้าพริตาแยกไปอีกทาง ซึ่งป้าพริตาเดินไปยังสถานที่ที่ร้านเหล้าตั้งอยู่ ฉันกลับมาบ้านก็รีบทำกับข้าวไว้ให้พี่ทราย เขียนโน้ตแปะทิ้งไว้ และจากนั้นก็กินข้าว อาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เวลาสี่โมงครึ่งฉันมาถึงร้านเหล้าด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อเกิดภายในใจ และไม่รู้เลยว่าจะต้องดับมันแบบไหน “นั่งไงแอ้มมาแล้ว” เสียงพนักงานคนหนึ่งเอ่ยชื่อในเวลางานของฉัน “หวัดดี มีอะไรกันเหรอ” ฉันเผยยิ้มเล็กน้อย “ก็แนะนำพนักงานในร้านให้เด็กใหม่ได้รู้จักไง” โมจิหนึ่งในพีอาร์ของร้านตอบ และหันไปพูดกับผู้หญิงที่ฉันไม่คุ้นหน้าว่า “แอ้มรับแค่ชงเหล้ากับแขกประจำอย่างเดียว แล้วก็ตั้งใจทำงานด้วยล่ะ เพราะแอ้มเป็นหลานเจ้าของร้านนะบอกเลย แอ้มเนี่ยดุมาก” “โมจิก็พูดเกินไป เราก็พนักงานเหมือนกันทั้งนั้น มาที่นี่ก็เพื่อทำงาน เพราะงั้นก็ต้องตั้งใจทำงานสิ ถูกไหม” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ต่อให้ฉันจะเป็นหลานเจ้าของร้าน แต่ฉันก็คือพนักงาน ไม่มีสิทธิ์วางอำนาจอะไรทั้งนั้น “ถูกค่ะ” เสียงพนักงานพูดพร้อมกัน “จ้ะ งั้นขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันยิ้มอีกครั้งและเดินมาทางโซนห้องน้ำเพื่อที่จะเปลี่ยนเสื้อของที่ร้าน ระหว่างที่ฉันอยู่ในห้องน้ำ ก็เป็นเรื่องปกติที่คนอื่น ๆ จะเข้าห้องน้ำห้องข้าง ๆ หรือรวมถึงการเข้ามาส่องกระจกเช็กเครื่องสำอางบนใบหน้า อย่างเช่นตอนนี้ก็มีคนสนทนากัน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แต่เมื่อฟังไปฟังมาแล้วนั้น บุคคลที่สามที่โดนพูดถึงคือคนที่ฉันรู้จักแน่ ๆ “ไหนของแกสวยไหมอ่า” เสียงผู้หญิงด้านนอกพูดคุยกัน “นี่ไงสวยไหม” อีกคนหนึ่งตอบ เหมือนกำลังเอาบางอย่างออกมาอวดกัน “เออ ๆ สวยอ่า รอบหน้านัดไว้วันไหนนะ” “เดือนหน้าไง วันยังไม่กำหนด แต่ฉันอยากไปเร็ว ๆ อะแก พี่ทรายหล่อมาก แถมยังโสดอีกด้วย ถ้าได้มาเป็นแฟนนะ ฉันจะนอนให้สักทั้งวันทั้งคืนเลย” “ใครดีใครได้นะยะ รอบหน้าฉันจะไปสักหว่างขา ร่ายคาถาก่อนอ้าด้วย อิอิ” ฉันเปิดประตูเดินออกมาจากห้องน้ำ อยากจะเห็นใบหน้าของคนพูดสักหน่อย เมื่อฉันออกมาจากห้องน้ำ ผู้หญิงทั้งสองคนหันมายิ้มให้ฉัน ฉันจึงส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ เธอเป็นพีอาร์ที่ถูกรับเข้ามาใหม่ในวันนี้ “รอยสักสวยจัง สักที่ไหนมา” ฉันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ด้วยสายตามองไปเห็นรอยสักเล็ก ๆ บริเวณต้นแขนของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรอยใหม่ ๆ อยู่ “ถัดจากร้านเราไปนิดเดียวเนี่ยแอ้ม ช่างสักหล่อมาก ยังโสดด้วยนะ” ผู้หญิงอีกคนตอบอย่างชื่นชม ส่วนอีกคนบิดม้วนตัวเขินอาย อายอะไร? ไม่เข้าใจ! “อืม ฝีมือดีเลยเนอะ สวยอะ” ชัดเจนว่าคนสักให้นั้นคือพี่ทราย เพราะร้านสักในละแวกนี้มีแค่ร้านของพี่โย สองคนนี้คือสองในสามของลูกค้าที่สักกับพี่ทรายในวันนี้สินะ หน้าตาสะสวยซะด้วย แบบนี้พี่ทรายหวั่นไหวด้วยหรือเปล่านะ แล้วฉันจะคิดมากทำไม หงุดหงิดทำไมล่ะ สังคมสมัยนี้โหดร้าย การปั้นหน้ายิ้มให้กัน และเอ่ยชมไปตามธรรมเนียมถือว่าอยู่เป็น ถึงไม่อยากเป็นมิตร ก็ต้องรู้จักอยู่ให้เป็น อย่าหาเรื่องสร้างศัตรู
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD