เสวียนซือชิงดวงหน้าแดงจัดราวกับดอกเหมยกุ้ย[1]ยามแรกแย้ม นางอายุได้สิบแปดปีแล้ว ทว่าหลังจากพิธีปักปิ่นก็แทบมิได้สนทนากับบุรุษใด กระทั่งคุณชายหลี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนสินค้ากันหลายหน แวะเวียนมาดูแลการซ่อมบำรุงตำหนักตามคำสั่งของตวนอ๋อง ยังมิเคยพูดจาให้นางต้องอึดอัดมากมายถึงเพียงนี้
มิแน่ใจว่ายามที่คุณชายเฉินหยางเอ่ยถ้อยความเหล่านั้น มีผู้ใดได้ยินบ้าง แต่อย่างน้อยคุณชายหลี่ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้น เขาคือคนสนิทของตวนอ๋อง รวมถึงบุรุษผู้นั้นด้วย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องที่ตำหนักเยว่ฉีและตัวนางถูกยกให้กับผู้อื่น เขาอาจทราบเรื่องด้วยเช่นกัน
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว นางยังจะกล้ามองหน้าผู้ใดอยู่อีกหรือ
หลังจากข่มความอดสู กล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอได้แล้ว เสวียนซือชิงก็มาถึงตำหนักเยว่ฉี และเอ่ยลาคนงานที่เฝ้าตำหนักอย่างมีมารยาท
พอได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง จิตใจที่ฝืนเข้มแข็งมาโดยตลอดก็พลันอ่อนแอ นางเร่งเดินไปยังหลังตำหนัก เผื่อว่าความงดงามของแปลงดอกไม้จะทำให้อารมณ์หมองเศร้าดีขึ้นมาบ้าง
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!” เจ้าของเรือนร่างบอบบางรีบวิ่งตามคนงานทั้งสอง ร้องถามว่าเหตุใดจึงถอนทำลายดอกไม้ที่ปลูกไว้จนไม่เหลือเลยสักต้น นางได้รับคำตอบกลับมาว่า คุณชายผู้อ้างตนว่าเป็นเจ้าของบ้าน กล่าวว่าไม่ชอบกลิ่นของดอกโมลี่ฮวา[2] ทั้งยังสั่งให้ลงต้นเหมยกุ้ยในภายหลัง
จากที่เสียใจอยู่แล้วก็อาการหนักยิ่งกว่าเดิม แม้ยังควบคุมตนเองมิให้ร้องไห้ได้ ทว่าดวงตากลมโตกลับแดงก่ำ สองมือเรียวเล็กเปรอะเปื้อนดินสีดำ พยายามเก็บดอกไม้สีขาวสะอาดลงตะกร้าใบเล็ก แม้จะไม่สามารถปลูกดอกไม้ที่บิดาชื่นชอบได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากจะเก็บมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสวียนซือชิงจำได้ดีถึงวันที่ทหารคนสนิทของบิดา ลอบพานางไปยังคุกหลวงอันเป็นสถานที่กักขังรองแม่ทัพเสวียนซือเหยา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบห้าปีก็ได้รับข่าวร้าย ว่าบิดากำลังรอรับโอสถพิษพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ แต่หากพูดตามความจริงแล้ว โทษของบิดานางหนักกว่านั้นมาก ทว่าองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูยืนยันว่าอย่างไรรองแม่ทัพเสวียนก็เป็นที่ปรึกษาที่ดี ทั้งยังช่วยชีวิตขององค์ชายทั้งสามไว้หลายหน เรื่องตัดสินใจผิดพลาดจนก่อให้เกิดความสูญเสียนั้นเป็นเหตุสุดวิสัยโดยแท้
‘ตวนอ๋องแม้มีท่าทีเย็นชาคล้ายบุรุษไร้หัวใจ ไร้ความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วใจอ่อนอย่างมาก หากมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เจ้าจงใช้ความดีเอาชนะใจ และหากไม่อับจนหนทาง จงจำไว้ว่าห้ามหย่าขาดจากตวนอ๋องเฉินฟาหยางโดยเด็ดขาด’
‘แล้วหากอับจนหนทางล่ะเจ้าคะ’
‘หากรู้สึกว่าหัวใจเจ็บเกินทน เจ้าก็มิจำเป็นต้องทน’
‘ท่านพ่อ แล้วเหตุใดข้าจึงต้องอดทนล่ะเจ้าคะ’
‘ตวนอ๋องไม่ผิดในเรื่องนี้ ทั้งยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะพ่อเป็นเหตุ หากทำอันใดให้เขาพึงพอใจได้ก็จงทำ ซือชิง เมื่อพ่อจากไปแล้ว เจ้าจงอดทนให้มาก เข้มแข็งให้มาก สัญญากับพ่อได้หรือไม่’
‘เจ้าค่ะ ท่านพ่อ’
หัวใจเจ็บเกินทนคือความรู้สึกเช่นไร เสวียนซือชิงยังมิค่อยเข้าใจนัก แต่หากทนไม่ไหววันใด นางคงจะทราบเอง และในเมื่อการทำตามความต้องการของตวนอ๋องคือความปรารถนาของท่านพ่อ นางก็จะปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ แต่กระนั้นเสวียนซือชิงก็ยังคงภาวนา ให้คุณชายเฉินหยางมิได้กลับมาพร้อมกับหลักฐานสำคัญ
หลังจากนั่งเหม่อลอยอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม บุรุษที่นางไม่ปรารถนาจะพบหน้ามากที่สุดก็ปรากฏตัวที่หน้าตำหนักเยว่ฉี เขามิได้มาตามลำพัง แต่พาสาวใช้ทั้งสองของคุณชายหลี่มาด้วย นอกจากนั้นยังมีคนงานรูปร่างกำยำอีกสองคน
“นั่นท่านจะทำอะไร!”
ป้ายชื่อของตำหนักเยว่ฉีถูกปลดลงอย่างรวดเร็ว นางยังพูดมิทันจบประโยคเสียด้วยซ้ำ
“ดูเหมือนเจ้าจะทำให้ศิษย์ผู้น้องของตวนอ๋อง หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว จินหมิงยืนยันว่ายามกลางวัน ให้สาวใช้ของเขาแวะเวียนมาช่วยดูแลทำงานหนัก คนงานสองคนนั้นก็เช่นกัน”
เฉินฟาหยางหรี่ตามองสาวงามที่ทำให้เขาและศิษย์ร่วมอาจารย์เกือบต้องเข่นฆ่ากัน ดวงตาฉายความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของนาง ทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มปรารถนา เบื้องล่างเคร่งครัด อยากกอดกระหวัดรัดรึงนางให้สมกับความเคียดแค้น ทว่าตอนนี้คงต้องสนทนากันให้เข้าใจเสียก่อนที่จะทำเรื่องที่ร่างกายของเขาต้องการได้
“คุณชายเฉิน” เสวียนซือชิงยอมเอ่ยทักทายในที่สุด ก่อนผายมือเชิญเขาไปยังห้องรับรองแขก
“นับว่ายังมีมารยาทอยู่บ้าง” เฉินฟาหยางออกคำสั่งต่อสองสาวใช้ มิให้รบกวนยามพูดคุยธุระสำคัญ ทั้งยังกล่าวเสร็จสรรพด้วยว่าต้องการกินดื่มอันใดในมื้อค่ำที่จะถึงในอีกสองชั่วยามข้างหน้า โดยมิได้สนใจมองสตรีที่ทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ไม่ไกลนัก
“เลิกทำหน้าอมทุกข์ รีบมานั่งข้าง ๆ ข้าได้แล้ว”
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีหลักฐานที่ข้าขอมาด้วยหรือไม่”
“หึ! มิยอมเสียเวลาเลยสินะ หากต้องการหลักฐานก็เข้ามาใกล้ ๆ สิ”
เฉินฟาหยางรื่นรมย์กับท่าทางระแวดระวังของนาง เขาแสร้งนั่งสงบนิ่งไร้พิษสง แต่พอนางขยับเข้ามาใกล้ก็คว้าร่างนุ่มนิ่มมานั่งบนตักกว้างทันที
“คุณชายปล่อยข้าเถิดนะเจ้าคะ”
เนื้อตัวของนางหอมสดชื่นดีจริง ๆ
“มิอยากเห็นหนังสือเล่มโปรดของตวนอ๋องหรอกหรือ” เสวียนซือชิงนิ่งชะงักไม่กล้าผลักไส ทว่าเนื้อตัวยังคงสั่นสะท้านดังเดิม เฉินฟาหยางจึงเดาได้ว่านี่คือครั้งแรกที่นางถูกโอบกอดจากบุรุษ และในความคิดของนางแล้ว เขามิใช่ ตวนอ๋องผู้เป็นพระสวามี
ทว่าเป็นเพียงญาติห่าง ๆ ที่กำลังจะได้ครอบครองนาง
“เจ้ากล่าวว่าจะปรนนิบัติข้าอย่างดีที่สุด หากทุกอย่างเป็นความจริง ยังจำได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
เสวียนซือชิงมิชอบสายตาของคุณชายเฉินหยางนัก แต่ในเมื่อไร้ทางเลือก จึงจำยอมให้เขารังแก หากพบว่าถูกเอาเปรียบค่อยตำหนิรุนแรงและขอให้คุณชายหลี่ช่วยจัดการในภายหลัง
นางมองมือหนาล้วงเข้าไปในอกเสื้อของตน หยิบเอาหนังสือเล่มเล็กและกระดาษอีกมวนออกมาด้วย เพียงแค่เห็นชื่อหนังสือบนหน้าปก เสวียนซือชิงก็พลันรู้สึกหายใจลำบาก แต่กระนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดกระดาษแผ่นบาง เห็นตราประทับและตัวหนังสือยาวเหยียดเป็นสิ่งแรก
“เป็นหนังสือเล่มนั้นจริง ๆ” หัวใจของนางคล้ายหล่นลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้าเสียแล้ว
เสวียนซือชิงรู้สึกว่าแขนของคุณชายเฉินหยางกระชับแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังวางฝ่ามือร้อนระอุลงบนต้นขาเรียวเล็ก พยายามปัดป้องอย่างไรก็มิยอมเลิกรา เขาวนเวียนนิ้วโป้งด้วยน้ำหนักที่ทำให้นางรู้สึกเสียดเสียวบริเวณท้องน้อยแทบขาดใจ ทว่าสิ่งทำให้เสวียนซือชิงแทบสิ้นสติจริง ๆ นั้น กลับเป็นข้อความที่อยู่บนกระดาษต่างหากเล่า
‘เสวียนซือชิง โปรดจำไว้ว่าเฉินหยางคือผู้มีพระคุณของข้า จงดูแลเขาให้ดี ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกด้าน ตอบแทนที่ข้าให้ชีวิตใหม่ต่อเจ้า หากมิต้องการทำเช่นนั้น เจ้าจงลงนามในหนังสือที่ข้าแนบไปด้วย – เฉินฟาหยาง’
ตวนอ๋องต้องการให้นางลงนามอะไรกันแน่ !?
“เจ้าสร้างความลำบากใจให้ข้ายิ่งนัก ตวนอ๋องรักหนังสือเล่มนี้มาก ยามเขียนข้อความลงบนกระดาษเปล่าหน้าแรก เขาโกรธข้ามากเลยทีเดียว ไม่สิ ต้องใช้คำว่าโกรธเจ้ามาก เพราะเจ้าเป็นผู้ร้องขอหนังสือเล่มโปรดจากเขา รั้งรออะไรอยู่เล่า ไยไม่เปิดอ่านหนังสือที่เจ้าสมควรอ่าน เรียบร้อยทุกอย่างแล้วเจ้าจะได้ดูแลข้าสักที”
มือเรียวบางของเสวียนซือชิงสั่นสะท้าน มิแน่ใจว่าเป็นเพราะคุณชาย เฉินหยางฝังจมูกโด่งสวยลงบนซอกคอขาว หรือเพราะหนังสือสัญญาที่อยู่ในมือ
นางแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าตวนอ๋องผู้เป็นพระสวามีแนบหนังสือหย่ามาให้ แต่กระนั้นก็ยังมิอยากเชื่อว่าทุกอย่างเป็นความจริง จึงเปิดหนังสือไปยังหน้าสุดท้าย เสวียนซือชิงแทบกัดลิ้นตัวเอง เมื่อพบรูปกระต่ายตัวเล็กที่นางวาดเอาไว้ ยังอยู่ตรงมุมกระดาษแผ่นนั้นด้วย
เป็นหนังสือเล่มโปรดของตวนอ๋องไม่ผิดแล้ว
“ว่าอย่างไร เจ้ายินดีจะหย่า หรือว่าดูแลข้า แต่ข้าอยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่า เจ้าหอมหวานทั้งตัว ข้าแทบอดกลั้นความต้องการมิไหวแล้ว”
ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบลงบนแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอม ทว่ายังมิทันได้เชยชิมกลีบปากหวานฉ่ำ เสวียนซือชิงก็สะบัดตัวอย่างแรง ดิ้นหลุดจากอ้อมกอดเร่าร้อนไปเสียก่อน
“คุณชายโปรดให้เวลาข้าสักหน่อยเถิดนะเจ้าคะ”
“หมายความว่าเจ้าคิดหย่าขาดจากตวนอ๋อง แทนการร่วมเตียงกับข้าตามคำสั่งของเขาเช่นนั้นหรือ” เสียงของเฉินฟาหยางแหบพร่าเพราะความต้องการ ลืมไปแล้วว่าปรารถนาให้เสวียนซือชิงลงนามในหนังสือหย่า แล้วค่อยใช้เสน่ห์ล่อลวงนางในภายหลัง
“หากเลือกได้ข้าคงลงนามในหนังสือหย่า แต่ท่านพ่อสั่งไว้ว่าจงทำให้ท่านอ๋องพึงพอใจ หากไม่อับจนหนทาง ห้ามหย่าโดยเด็ดขาด คุณชายเจ้าคะ ข้าขอเวลาทำใจสักครู่จึงจะให้ในสิ่งที่ท่านต้องการได้ ส่วนหนังสือหย่าฉบับนี้...”
เสวียนซือชิงฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปราศจากความลังเลใจโดยสิ้นเชิง
“เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านพ่อและท่านอ๋องแล้ว ซือชิงยินดีดูแลคุณชายเจ้าค่ะ” นางกล่าวเท่านั้นก็ขอตัวไปสงบสติอารมณ์ ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนทำหน้ามิเข้าใจสถานการณ์อยู่เพียงลำพัง
เฉินฟาหยางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงยินดีที่นางยอมร่วมเตียงแทนการลงนามในหนังสือหย่า เขาควรต้องกังวลว่าแผนจะมิสำเร็จมิใช่หรือ
เหตุใดจึงยังสบายใจอยู่ได้อีกเล่า ?
ในเมื่อนางกล่าวออกมาแล้วว่ายินดีดูแลกัน เขาก็มิควรเร่งรัดให้เสียบรรยากาศ ใช้เวลานอนเอกเขนกตรึกตรองดูว่าจะทำอย่างไรให้นางยอมลงนามในหนังสือฉบับสำรองที่แอบซ่อนเอาไว้ดี
การทำตัวชั่วช้าเพื่อกดดันนางให้ยอมหย่าขาด นั่นก็ใช่ว่าจะได้ผล หากเสวียนซือชิงมีนิสัยคล้ายบิดาอย่างที่เขาคาดไว้จริง นางคงไม่ยอมแพ้ต่อความลำบากเป็นแน่
ย่อมต้องหาหนทางอื่นเพื่อให้เสวียนซือชิงเปลี่ยนใจ
หลังจัดการมื้อเย็นเรียบร้อย เฉินฟาหยางได้ออกคำสั่งต่อสาวใช้ทั้งสองที่ตักน้ำอุ่นจนเต็มถังไม้แล้ว ให้ตามตัวเสวียนซือชิงมาดูแลแทน ทั้งยังเอ่ยไล่พวกนางให้กลับบ้านสกุลหลี่เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาเพียงต้องการบรรเทาความพลุ่งพล่าน ที่อดกลั้นมาตั้งแต่ได้เห็นดวงหน้าหวานยามมีน้ำตาคลออีกครั้งแล้ว
“คุณชายเรียกข้าหรือเจ้าคะ” เสียงของนางสั่นเครือ แต่ฟังดูแล้วแทนที่จะสงสาร เฉินฟาหยางกลับต้องการได้ยินนางทำเสียงเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
“มาอาบน้ำให้ข้าหน่อยมิได้หรือ อีกไม่นานเราก็ต้องร่วมเตียงกันแล้ว หากมิทำความคุ้นเคยกันยามนี้แล้วจะรอไปถึงเมื่อใด”
เขายกยิ้มมุมปากหยักเพียงน้อยนิด สีหน้ายังคงเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน ทว่าก็ปรับให้ดูดีขึ้นมาสักหน่อยหลังออกจากฉากกั้น เผยมัดกล้ามแข็งแรงท่ามกลางแสงตะเกียงที่สาวใช้จุดทิ้งไว้ เบื้องล่างยังคงมีกางเกงตัวในสวมอยู่ เพื่อไม่ให้นางรู้สึกกระดากอายมากจนเกินไปนัก
“ข้าไม่เคยอาบน้ำให้ผู้ใดมาก่อน เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีเจ้าค่ะ”
“เรื่องง่ายดายเช่นนั้น ข้าย่อมสอนให้เจ้าได้ แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ ข้าสามารถส่งจดหมายขอหนังสือ...” ทว่าเขายังมิทันได้เอ่ยให้จบประโยค นางก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เต็มใจเจ้าค่ะ”
“เห็นแก่ที่เจ้าไม่เคยดูแลปรนนิบัติชายใดมาก่อน ข้าจะไม่เร่งรัดให้ทำในสิ่งที่มากจนเกินสมควร ในเมื่ออาบน้ำขัดถูไม่ได้ ก็จงนวดแขนบีบไหล่ไปเถิด”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
“ห้ามเรียกว่าคุณชาย เจ้าคือภรรยาของข้าแล้ว ควรเรียกว่าอย่างไร แทนตัวเองว่าอย่างไร เรื่องง่ายดายเช่นนี้คงมิต้องให้สอนกระมัง”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
เสวียนซือชิงเดิมทีก็มิใช่คนชอบเอ่ยถ้อยความอันใดมากมาย ยิ่งถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่ขัดต่อความต้องการ นางก็ยิ่งเอ่ยอันใดไม่ออก ยิ่งเขาทำเสียงครางประหลาด นางก็ยิ่งหวาดหวั่น แต่กลับทำอันใดไม่ได้นอกจากหลับตานวดไปตามคำแนะนำ หลีกเลี่ยงไม่มองเรือนร่างของอีกฝ่าย ลงมือนวดเฟ้นในขณะที่เขาทำความสะอาดร่างกายของตน
คุณชายเฉินหยางจับมือของนางขยับไปนวดตรงนั้น สัมผัสกับตรงนี้เพื่อคลายความปวดเมื่อย เลื่อนต่ำจากบริเวณหัวไหล่ ต้นแขน และสุดท้ายคือข้อมือแข็งแรง ทว่าอุ่นร้อนจนน่าประหลาดใจ
“ตรงนั้นข้าปวดมาก ซือชิง เจ้าลูบมันเบา ๆ ก็พอแล้ว”
เสียงของคุณชายเฉินหยางแหบพร่า คล้ายทรมาน คล้ายมีความสุข ซ้ำร้ายแขนของเขายังพองขยายขึ้นเรื่อย ๆ จนเสวียนซือชิงอดกังวลมิได้ จึงรีบเปิดเปลือกตาสำรวจดู
เสวียนซือชิงกรีดร้องเสียงเบา รีบชักมือออกจาก ‘ความอุ่นร้อน’ ทันที!
[1] ดอกกุหลาบ
[2] ดอกมะลิ