มากกว่าสิบปีที่เฉินฟาหยางรู้จักคุณชายสกุลหลี่ เขาเห็นหนุ่มน้อยผู้นี้มีโทสะแทบนับครั้งได้ แต่ทุกครั้งที่เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมักเป็นเรื่องสำคัญ เช่นยามที่เขาคัดค้านไม่เห็นด้วยกับองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝู เรื่องละเว้นโทษตายต่อคนสกุลเสวียน ทำเพียงการยึดทรัพย์เข้าท้องพระคลังเท่านั้น
หลี่จินหมิงกล่าวว่ารองแม่ทัพเสวียนตัดสินใจผิดพลาดก็จริง แต่องค์ชายทั้งสามก็อยู่ที่นั่นด้วย ย่อมต้องรับผิดชอบทุกอย่างเท่าเทียมกัน
จำได้ว่าปีนั้นคือครั้งแรกที่เขาทะเลาะกับศิษย์น้องรุนแรง แม้จะมีโอกาสปรับความเข้าใจในภายหลัง แต่เรื่องราวในวันนั้นทั้งเฉินฟาหยางและหลี่จินหมิงยังจำได้ไม่เคยลืม
เมื่อมีเหตุให้คล้ายต้องทะเลาะกันใหม่ ทั้งสาเหตุยังเป็นสตรี สองบุรุษจึงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด เร่งใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ที่กำลังปะทุอย่างบ้าคลั่งภายในใจ
หลี่จินหมิงตระหนักดีว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมิอยากเปิดเผยตัวตน จึงเชื้อเชิญให้ติดตามสาวใช้ทั้งสองกลับไปดื่มน้ำชารอที่บ้าน ส่วนตนเองขอทำธุระที่ร้านให้เรียบร้อยแล้วจะตามไปในภายหลัง
เฉินฟาหยางไม่ขัดข้องอันใด ด้วยรู้ว่าศิษย์น้องเพียงต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ ตรึกตรองเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อกลั่นกรองคำพูดออกมาให้ฟังดูแล้วถนอมน้ำใจกันอย่างที่สุด
ในระหว่างจิบน้ำชาอยู่นั้น เขาก็รำลึกถึงโฉมงามจากต่างแคว้นที่นับวันคล้ายเอาแต่ใจมากขึ้นทุกที องค์หญิงไป๋ซู่หลินประชดประชันอย่างมีจริต เมื่อทราบว่าเขากลับมามือเปล่า หาได้มีดอกไม้ที่นางต้องการติดมาด้วย ทั้งยังโอดครวญว่าไม่อยากถือศีลในวัดตามคำสั่งของพระบิดา กล่าวว่าต้องการแต่งงานเข้าจวนของตวนอ๋องในเร็ววัน
แม้ใจเขาอยากทำตามคำขอของโฉมงาม แต่หนังสือหย่าขาดจากบุตรสาวรองแม่ทัพเสวียนยังมิได้ลงนาม ทั้งฮ่องเต้ต่างแคว้นยังกล่าวกำชับเอาไว้ก่อนเดินทางด้วยว่า ให้องค์หญิงไป๋ซู่หลินไว้อาลัยให้กับมารดาผู้ให้กำเนิดเป็นเวลาครึ่งปี แล้วค่อยคิดถึงเรื่องมงคลในภายหลัง
เรื่องธรรมเนียมการไว้ทุกข์มิใช่เรื่องล้อเล่น เฉินฟาหยางจำต้องปลอบโยนนางว่าช่วงเวลาเพียงหกเดือนนั้นผ่านไปรวดเร็วดั่งสายน้ำไหล เขากอดจูบนางหลายครั้ง แต่กลับไม่ตื่นเต้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอดการเดินทาง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเห็นองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูออกจากกระโจมที่พักของนางกลางดึก หรือเพราะนึกถึงดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำสีใสของเสวียนซือชิง
หลังจากกลับจวนแล้ว เขาได้เรียกอนุภรรยามาปรนนิบัติอย่างที่เคยทำทุกค่ำคืน ทว่าทำแล้วกลับรู้สึกว่ายังไม่อิ่ม กระทั่งเรียกเหล่านางคณิกาที่งามที่สุดในเมืองหลวงมาถึงสามนาง ตักตวงและทำทุกอย่างจนพวกนางตื่นกลัวแทบร้องไห้ เฉินฟาหยางก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรไป
แต่พอได้เห็นเสวียนซือชิงยืนทำหน้าเศร้าอยู่ในร้านเถ้าแก่เนี้ยเจียง บุรุษไร้หัวใจก็พลันรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายนั้นกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ยิ่งเห็นว่าศิษย์น้องคนโปรดยิ้มกว้างให้กับนาง ก้อนเนื้อทรยศนั่นยิ่งบีบรัดจนแทบเรียกได้ว่าเจ็บปวด ราวกับต้องอาวุธร้ายของศัตรูมิผิดเพี้ยน
“ชาอู่หลงนั่นได้มาจากทางเหนือ หวังว่ารสชาติจะดีพอสำหรับท่าน”
หลี่จินหมิงกลับมามีรอยยิ้มประดับดวงหน้าดังเดิมแล้ว แม้ดูฝืนใจไปบ้าง ทว่ายังดีกว่าบึ้งตึงจนไม่น่าสนทนาด้วย
“ชาดี อย่าลืมให้คนส่งไปที่ตำหนักด้วยเล่า”
“ข้าว่าเราควรสนทนากันให้เข้าใจ โยกโย้ไปก็มีแต่เสียเวลาเปล่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่”
“ย่อมต้องเห็นด้วย มีสิ่งเดียวที่ไม่เห็นด้วยคือเรื่องที่เจ้าวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของข้า” เฉินฟาหยางเห็นศิษย์น้องเดี๋ยวกำหมัด เดี๋ยวคลายออกอยู่หลายหน แม้เจ้าตัวจะแสดงทีท่าว่าไม่ได้โกรธเคืองแล้วก็ตามที
“หากเห็นว่าข้ายังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิม ท่านโปรดตอบมาตามตรงเถิดว่าเหตุใดจึงกลับมาที่นี่ เหตุใดจึงให้ความสนใจต่อนาง”
“เรื่องนี้ตอบไม่ยาก ความจริงข้าลืมไปแล้วว่ามีนาง หากซวี่หยาม้าศึกของข้ามิเกิดอาการตกใจจนทิ้งนายไว้หน้าตำหนักเยว่ฉี ข้าคงลืมไปแล้วว่าตนเองมีเจ้าสาวที่ยังไม่ได้ร่วมหออยู่ที่นั่น”
“ท่านลืมนางจริงหรือ มิใช่คับแค้นรองแม่ทัพเสวียนจนอยากกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ”
“หลี่จินหมิง นี่เจ้าคิดว่าข้าแยกแยะไม่ได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ เอาเถิด ในเมื่อเจ้ากล้าถาม ข้าก็จะตอบตามตรง ปีแรกอาจมีขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่านางอยู่อย่างลำบาก จึงตระหนักได้ว่าละเลยนางมากเกินไป และถึงเวลาแล้วที่ต้องทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ส่วนเรื่องวันนั้นที่พูดจาไม่ดี แกล้งเจ้าไปก็เพราะรู้สึกไม่พอใจที่ศิษย์น้องหมายปองสตรีของตน แต่เรื่องน่าโมโหเช่นนั้น เจ้าโทษข้าได้ด้วยหรือ”
เฉินฟาหยางกล่าวด้วยว่าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ราวหกเดือน โดยอ้างว่าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดี ปราศจากศึกสงคราม ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีแผนร้ายต้องจัดการ ระหว่างรอเวลาให้องค์หญิงต่างแคว้น ออกจากการถือศีลไว้อาลัยให้กับมารดาของนางเท่านั้น
“เรื่องข้าหมายปองนางอยู่นั้น ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าหลี่จินหมิงเคารพธรรมเนียมประเพณี รักหยกถนอมบุปผา ไม่มีทางทำเรื่องอันใดให้คุณหนูเสวียนต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน”
“หากไม่เห็นดวงตาเจ้ายามจ้องมองนาง ข้าคงสบายใจกว่านี้มาก จินหมิง เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นบุรุษที่หวงของอย่างมาก ย่อมไม่พอใจที่เจ้ามองนางเช่นนั้น”
“ศิษย์พี่ใหญ่โปรดระวังคำพูด เปรียบเทียบคุณหนูเสวียนว่าเป็นสิ่งของ หาใช่เรื่องที่บุรุษสมควรกระทำไม่”
“หลี่จินหมิง! สรุปว่านางเป็นชายาของข้า หรือว่าภรรยาของเจ้ากันแน่!”
บุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ได้ยินดังนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนเองปกป้องสตรีของผู้อื่นหนักเกินไปสักหน่อย แต่นั่นเป็นเพราะแอบมองนางนานเกือบสองปีแล้ว เรื่องจะให้นิ่งเฉยไม่พูดจาเลยคงทำไม่ได้ หากให้แย่งชิงมาครอบครอง เรื่องนั้นก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“เป็นข้าที่ลืมตัวว่าตนเองมีสถานะอันใด ศิษย์พี่ใหญ่โปรดอย่าถือโทษ เดิมทีข้าก็มิใช่คนชำนาญเรื่องการโกหก ทำการค้าประสบความสำเร็จ โดยไม่มีใครคิดร้าย นั่นล้วนเป็นเพราะโชคช่วย หากหลอกลวงไปว่ามิได้รู้สึกอันใดต่อนาง ท่านคงได้หัวร่อจนท้องแตกกระมัง”
“ถ้าเจ้ามิใช่ศิษย์ร่วมอาจารย์ เปรียบได้ดั่งน้องชาย ข้าคงลงมือไปแล้ว มิใช่ยืนเจรจาด้วยด้วยเช่นนี้”
เฉินฟาหยางข่มอารมณ์อย่างที่สุด แม้มิได้รักใคร่เสวียนซือชิง แต่การที่บุรุษรูปงามอายุน้อยสารภาพต่อหน้าว่าชื่นชอบตัวนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษผู้นั้นคือศิษย์ร่วมอาจารย์ที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษ ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก จนถึงขั้นปรารถนาที่จะลงมือทำร้ายกันเลยทีเดียว
“ในเมื่อท่านยังเห็นว่าข้าเป็นน้องชาย ข้าจึงขอใช้สิทธิ์สอบถามว่าหลังจากหกเดือนแล้ว ท่านคิดจะทำอย่างไรกับนาง พานางกลับจวนอ๋องไปด้วย หรือทิ้งไว้ที่ตำหนักร้างนั่น”
เฉินฟาหยางย่อมทราบดีว่าคำถามที่ออกจากปากของอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงคำถามลองใจ หากตอบไปว่าคิดพานางกลับไปด้วยกัน หลี่จินหมิงต้องไม่เชื่อคำของเขาเป็นแน่
“ย่อมพากลับไปด้วยไม่ได้ นางดูมิใช่คนฉลาด คงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของเหล่าอนุภรรยาทั้งหลาย คงต้องให้อยู่ที่นี่ต่อไป แวะเวียนมาเยี่ยมตามโอกาสจึงเหมาะสม แต่หลังจากนี้คงต้องดูแลให้ดี จัดหาสาวใช้เพื่อให้นางไม่ต้องลำบาก ยามข้าไม่อยู่จะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวจนเกินไปนัก”
กล่าวเช่นนี้จึงน่าเชื่อถือ อย่างไรหลี่จินหมิงก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเขามิใช่คนใจกว้าง พานางกลับจวนอ๋องด้วยนั้นคงเป็นไปไม่ได้แน่
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจขึ้นมาบ้าง”
“หากไม่ลำบาก ข้าอยากให้เจ้าเลิกเรียกที่นั่นว่าตำหนักร้าง กระทั่งเรียกขานว่าตำหนักเยว่ฉีข้าก็ไม่ต้องการได้ยิน และในวันพรุ่งนี้เจ้าจงหาคนไปยกป้ายตำหนักลงเสียให้เรียบร้อย หากผู้คนสอบถามก็จงให้คำตอบว่าตวนอ๋องได้ยกตำหนักให้กับญาติห่าง ๆ ของเขาไปแล้ว”
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า”
“ไม่ทำเช่นนั้นชีวิตของนางคงไร้ซึ่งความสุข หากเหล่าขุนนางทราบว่าข้าอยู่ที่นี่คงรีบแห่กันมา เสนอหน้าสร้างความดีความชอบมิได้หยุดหย่อน ยังมีชาวบ้านที่อาจมารบกวนความเป็นส่วนตัว ยามข้ายังอยู่คงพอจัดการได้ แต่หากถึงเวลาต้องจากกันแล้ว คนพวกนั้นจะปล่อยให้คุณหนูเสวียนที่เจ้าชื่นชอบ มีชีวิตสุขสงบดังเดิมได้อยู่หรือ”
“ที่ท่านพูดมาก็ไม่ผิดนัก” หลี่จินหมิงจนปัญญาหาข้อโต้แย้ง คารมของ ตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์ยังคงน่าเชื่อฟังไม่แปรเปลี่ยน
พูดให้ถูกต้องคือเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่แปรเปลี่ยน
“อีกอย่างเจ้าก็รู้ว่าข้าชอบเดินทางตามลำพัง หากแพร่งพรายออกไปว่าข้าอยู่ที่นี่ ศัตรูทราบเรื่องเข้าอาจเป็นอันตราย เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษานางตั้งแต่เจอกันเมื่อคราวก่อนแล้ว นางเองก็เห็นด้วยว่าให้ข้าปิดบังสถานะของตนเองเสีย”
“นางเห็นด้วยกับท่านจริงหรือ นั่นไม่ใช่ว่าผู้คนจะเข้าใจว่านางอยู่กับบุรุษอื่นที่มิใช่ตวนอ๋องหรอกหรือนี่”
“หลี่จินหมิง ข้าขอถามสักคำเถิดว่าคนในเมืองนี้ นอกจากเจ้าแล้ว มีผู้ใดทราบเรื่องบ้างว่านางคือพระชายาของตวนอ๋อง ดูเถ้าแก่เนี้ยเจียงเป็นตัวอย่าง หากนางทราบว่าเสวียนซือชิงคือพระชายา นางจะกล้าลบหลู่นางเช่นนั้นหรือ”
“เป็นอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ”
คนในเมืองนี้ทราบเพียงว่ามีรถม้าจอดอยู่หน้าตำหนักหลายชั่วยาม แต่หาได้มีใครออกมาต้อนรับแต่อย่างใดไม่ ตัวของหลี่จินหมิงเองก็มิเคยพูดเพราะต้องการให้นางได้อยู่อย่างสงบ หลายครั้งจึงเคยได้ยินว่าเสวียนซือชิงคือสาวใช้ รับหน้าที่ดูแลตำหนักเยว่ฉีเสียด้วยซ้ำ
“พูดในส่วนของเจ้ามามากแล้ว ถึงคราวข้าพูดในส่วนของข้าสักหลายคำ หลังจากนี้ข้าขอในฐานะศิษย์พี่ มิอนุญาตให้เจ้าแวะเวียนไปยังบ้านข้า หากพบเจอนางในเมืองก็ขอให้หลีกเลี่ยง อย่าสนทนากันหากไม่มีความจำเป็น ข้าขอเท่านี้เจ้าทำได้หรือไม่ หรือว่าต้องใช้อำนาจเพื่อทำทุกอย่างให้ง่ายยิ่งขึ้น”
เฉินฟาหยางกล่าวเช่นนั้นเพราะต้องการให้บุรุษที่อ่อนวัยกว่าถึงสิบสี่ปีตัดใจ ละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อเสวียนซือชิงไปเสีย อีกประการสำคัญคือหากอีกฝ่ายทราบเรื่องที่เขาตั้งใจทำในภายหลัง จะได้ไม่โกรธเคืองกันนานจนเกินไปนัก
“ย่อมได้ แต่ท่านต้องให้สัญญาต่อข้าหนึ่งข้อ” หลี่จินหมิงรอจนตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์พยักหน้า จึงรีบเฉลยข้อแม้ของตนเองมาทันที
“ข้ารู้จักท่านมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ก็จริง แต่ยังมิเคยไล่ตามความคิดของท่านได้ทันเลยสักครั้ง คำของท่านที่กล่าวมา แม้อยากเชื่อทุกอย่าง หากในใจลึก ๆ กลับยังมีความกังวล อย่างไรเสียเพื่อความถูกต้องแล้ว ข้ายินดีถอยหลังชนกำแพงตามที่ท่านออกคำสั่ง มีข้อแลกเปลี่ยนแค่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือท่านต้องสัญญาว่าภายในหกเดือนนี้ จะดูแลคุณหนูเสวียนให้ดี เมื่อถึงยามต้องห่างกัน นางจะได้ไม่ทุกข์ใจมากนัก ข้าขอเพียงเท่านี้ ท่านทำได้หรือไม่”
“ดี! ในเมื่อเจ้ากล้าเอ่ยปากเพื่อนาง ข้าก็จะสงเคราะห์ให้!”
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางมิพูดอันใดต่อ รีบสาวเท้าออกจากบ้านของน้องชายต่างสายเลือดในทันที หากยังรั้งรออยู่นานกว่านี้ คงต้องมีการหลั่งเลือดสังเวยความไม่พอใจของเขาอย่างแน่นอน
เสวียนซือชิง นี่เจ้าทำอันใดต่อศิษย์น้องข้ากันแน่!