คงเพราะเธอหาตลาดแหล่งใหม่ได้ ทำเงินให้กับตัวเองไม่น้อย
“คุณไหมคะ ผสมสีแบบใหม่ให้หน่อยสิคะ”
เสียงคนงานตะโกนบอก ม่านไหมยิ้มรับ เดินตรงไปยังห้องเก็บสี เพื่อเตรียมผสมสีที่เป็นสีใหม่ของดอกไม้ที่ต้องทำส่งออก ใช่เลย... ม่านไหมใช้ทักษะภาษาที่เธอฝึกฝนผ่านการเรียนที่ต่างประเทศ ในการควานหาตลาดแหล่งใหม่ ผลความพยายามไม่เลวเลย เธอได้ออเดอร์ใหม่มาหลายชนิด และท้าทายตัวเองไม่น้อย กับชนิดดอกไม้ที่ไม่เคยมีในประเทศไทย
“พี่พรคิดว่าแบบที่ไหมให้ ยากไปมั้ยคะ?”
ม่านไหมนำสีที่ผสมเสร็จมาส่งให้พนักงานสาวใหญ่ที่ทำงานอยู่กับบิดามาตั้งแต่รุ่นแรก
“จะว่ายากมันก็ยากค่ะคุณไหม แต่มันก็ท้าทายดีค่ะ คนงานจะได้ไม่เบื่อด้วย”
แบบดอกไม้ที่ทำกันมานาน กลายเป็นความคุ้นเคย แต่มันก็จำเจและน่าเบื่อหน่าย พอมีแบบใหม่ๆ เข้ามา คนงานก็เริ่มคึกคักขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณไหม คนงานพวกนั้นจะพยายามเต็มที่ มันคือรายได้ของพวกเขานี่คะ”
คนงานหมดหวังและเตรียมจะออกหางานใหม่ทำ ตอนที่บิดา มารดาของม่านไหมเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน และม่านไหมก็ไม่ประสีประสากับงานนี้เลย โรงงานที่เตรียมจะปิดกิจการรอมร่อ ใครจะไปคิดล่ะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะพลิกพื้นกิจการให้กลับมามั่นคงเหมือนเดิม แถมมีทีท่าว่าจะไปไกลเสียด้วย
ดอกไม้ปลอมไม่ใช่ปัจจัยหลักเหมือนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม
ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี การใช้จ่ายเลยต้องจำกัดจำเขี่ย
อะไรที่ประหยัดและฟุ่มเฟือยถูกตัดออกไปอย่างแรก ผลกระทบนั่นเลยทำให้กิจการขนาดเล็กหลายอย่างปิดตัวไปเป็นแถว
แต่…โรงงานดอกไม้ปลอมของม่านไหมไม่เป็นแบบนั้น
คนงานมีงานทำ และมีรายได้เลี้ยงครอบครัวเหมือนเดิม
คงเพราะม่านไหมเดาภาวะเศรษฐิกิจที่ผันผวนถูก เธอเตรียมหาตลาดที่อื่นไว้รองรับตั้งแต่เนิ่นๆ
แม้จะติดขัดในช่วงแรกๆ เพราะระบบระเบียบในการส่งออกสินค้า พออยู่ตัว ผลกระทบเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้กิจการของม่านไหมเสียหายเลย
คนงานพากันชื่มชมและแอบเอาใจช่วย
ทุกคนรู้ดี ม่านไหมเป็นสาวโสดที่มีลูกน้อยเป็นแก้วตาดวงใจ แต่เธอไม่มีสามี
กว่าจะพิสูจน์ตัวมาได้ ม่านไหวก็ถูกคำครหาทำลายกำลังใจไปไม่น้อย เธอกัดฟันสู้ เพราะหากเธอล้ม ไม่ใช่แค่เธอที่จะลำบาก มีหลายปากหลายท้องที่เธอแบกภาระเอาไว้บนสองบ่า
วันเวลาพิสูจน์ใจคน วันเวลาอีกเช่นกันที่ฝึกให้คนรู้จักความอดทน
วันนี้ม่านไหมมองหน้า สบตาคนรอบตัวได้อย่างไม่อายใคร
เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแล้วไง เธอไม่มีสามีก็ไม่เห็นเป็นไรเลย สองมือของเธอโอบอุ้มเลือดเนื้อในอกได้อย่างสบายๆ แม้ความอยากรู้เหล่านั้นจะลดลง แต่ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ม่านไหมแค่ต้องเตรียมคำตอบไว้อธิบายให้ลูกทั้งสองคนของเธอเข้าใจ ในวันที่เด็กทั้งสองคนเปิดปากถาม
“มีอะไรอีกไหมคะพี่พร ไหมมีนัดzoomกับลูกค้าตอนสิบโมงค่ะ”
เทคโนโลยีหลายอย่างม่านไหมเอามาประยุคใช้ สร้างความสะดวกสบายได้หลายอย่าง เธอตัดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทาง หรือค่าโทรศัพท์ทางไกลไปได้เลย การประชุมแบบเห็นหน้าผ่านเทคโนโลยีเหล่านั้นไง ช่วยให้เธอเพิ่มรายได้ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้เป็นอย่างดี
“ที่ไหนคะ วันนี้” พรสัพยอก
“โซนยุโรปค่ะ ไหมเตรียมเอกสารไว้พร้อมแล้ว ถ้าตกลงกันได้ คราวนี้ดอกไม้ผ้าฝีมือคนไทยจะไปผงาดอยู่ที่ปารีสเลยนะคะ”
ม่านไหมคุยเขื่อง ฝีมือประดิษฐดอกไม้ผ้าจากคนชนบท แต่ฝีมือได้มาตรฐาน มีหลายประเทศยอมรับ สร้างทั้งชื่อเสียงและรายได้ให้ประเทศไม่น้อย ม่านไหมฝันไปไกลกว่านั้น หากเธอสามารถหาออเดอร์ได้มากกว่านี้ เธอจะจัดตั้งสมาคม และชวนชาวบ้านว่างงานมาร่วมกลุ่ม สร้างรายได้ให้ครอบครัวอีกทาง
แต่ตอนนี้เป็นได้แค่โครงการในสมองของเธอ
บทที่5.ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อเผชิญหน้ากับบางคน
“ฌอน ฉันคิดว่าตัวเองต้องไปที่นั่น”
จู่ๆ ริโอก็โพล่งออกมา สีหน้ากระด้างนั่น เลยทำให้ฌอนนิ่งฟัง
“ฉันต้องรู้ให้ได้ เด็กสองคนนั่นเป็น ‘ลูก’ ของฉันหรือเปล่า?” ริโอค่อนข้างปักใจ เด็กสองคนนั่นต้องเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาอยากพิสูจน์ให้หายคาใจ ไม่อย่างนั้นความกังขานั่นจะทำให้เขาขาดสมาธิ และไม่มีสมองว่างพอที่จะบริหารงาน
เขาต้องการเวลาเพื่อเสาะหาความจริง
“ท่านคงไม่เห็นด้วย” บิดาของริโอคงไม่มีทางเห็นด้วย เพราะโร เดลต้องการเจนนี่เป็นศรีสะใภ้ ผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างม่านไหม คนตระกูลใหญ่ๆ ไม่มีทางชอบใจ
ปูมประวัติหล่อนเหมือนคนธรรมดาสามัญ
ไม่มีฐานะมั่งคั่ง ไม่ใช่ผู้หญิงจากชนชั้นสูง
ไรท์ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง มันตรงกันข้ามเลย ริโอคือบุตรชายคนโตที่สืบทอดทายาท คู่ครองของเขาต้องผ่านความเห็นชอบจากคนในทั้งหมด หากจู่ๆ เขายกย่องเชิดชูผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้า แถมยังมีลูกนอกสมรสอายุห้าปีติดมาด้วย คนทั้งตระกูลคงโวยวายใหญ่โต
“คนอายุจะสี่สิบแล้วแบบฉัน ต้องรอให้พ่ออนุญาตก่อนหรือไงวะ!!” ริโอย้อนถามเสียงแข็ง
เขารู้ผลลัพธ์ดี หากปริปากขอความเห็นจากบิดา
เรื่องนี้ยังไม่ได้พิสูจน์เลย บางทีเรื่องที่เขาคาดเดา อาจจะตรงกันข้ามก็ได้
“นานเท่าไหร่แล้วที่ฉันไม่เคยได้ลาพัก” ริโอถาม
ฌอนถอนใจแรงๆ เขาควรรู้ใจเจ้านายสิ อะไรที่ริโอตั้งใจ ไม่มีทางที่เขาจะรีรอ
“สาม หรือสี่ปีนี่แหละครับ”
ริโอสูดลมหายใจลึกๆ เขาเหลวไหลไปเกือบหนึ่งปีเต็ม พอตั้งหลักได้เขาก็ทำงานหามรุ่ง หามค่ำ บิดาวางใจมากขึ้น แต่คนรอบตัวกลับคิดตรงข้าม การ์ดของเขาทำงานตามเขาแทบโงหัวไม่ขึ้น คนที่มีครอบครัวแล้วสีหน้าดำคล้ำลงไปทุกวัน ริโอเลยมีการ์ดสองชุด มีไว้สำหรับเปลี่ยนหน้าที่ ที่อยู่ยาวคือฌอน ซึ่งริโอเองก็ยังไม่เคยได้ยินเสียงบ่น
“ครั้งนี้ ฉันอนุญาตให้คุณพักผ่อนตามสบายนะ”
ฌอนเลิกหัวคิ้ว ริโอตั้งใจจะไม่พาเขาไปด้วยหรือไง?
ความเป็นห่วง ฌอนเลยท้วง “คงไม่ดีมั้งครับ”
“ทำไมล่ะ คุณไม่อยากใช้เวลากับครอบครัวหรือไง?” ริโอย้อนถาม
“ลูกๆ ของผมชินกับการที่ไม่เห็นหน้าพ่อติดกันคราวละหลายอาทิตย์แล้วครับ”
คำตอบของฌอนทำให้ริโอรู้สึกตัว เพราะเขาจมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งหน้าฉากไม่มีใครรู้ มีแค่ฌอนที่เข้าใจ และไม่เคยปริปากบ่น
“ฉันขอโทษนะ ฉันควรคิดถึงคนรอบตัวทั้งหมด ฉันจะพยายามไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”
มันเป็นความอับอายที่ริโอไม่อยากยอมรับ
เขามีความรู้สึกพิเศษกับนางบำเรอที่เขาเขี่ยทิ้ง วันที่ม่านไหมเดินจากไป วันนั้นคือวันที่ฟ้าถล่ม พระอาทิตย์หม่นแสงลง ผู้ชายอย่างเขาที่ผู้หญิงเกือบครึ่งโลกถลิลหา แต่สำหรับม่านไหม เขาเป็นแค่คนคั่นเวลา ระหว่างที่หล่อนมาศึกษาต่อ
ความเย่อหยิ่งในสายเลือด ทำให้ริโอแสร้งทำไม่ยี่หระ
เขารู้สึกเสียหน้า เลยแสร้งทำเป็นลืม ทั้งที่ความจริง เขาทุกข์ทนไม่น้อยเลย
“เปิดโอกาสให้แล้วนะ จะเปลี่ยนใจทีหลัง ฉันไม่ยอมนะ”
ฌอนอมยิ้ม ริโอเป็นลูกชายคนโตที่น่าเกรงขาม แต่ก็แอบมีมุมขี้อาย ถึงจะไม่บ่อยนัก เขาเป็นคนแรกที่ได้เห็น โรเดลบิดาของริโอเอง ยังไม่เคยมีโอกาสเช่นนั้นเลย
“ริท โรซีคิดว่าทำแบบนี้ไม่ดีหรอกมั้ง?”
โรซีพยายามห้ามพี่ชาย วันนี้มารดายุ่งอยู่ที่โรงงาน ส่วนเธอกับพี่ชายถูกงดไปโรงเรียน เนื่องจากการระบาดของโรคระลอกใหม่ พอเรียนออนไลน์เสร็จ ริทก็แอบย่องไปที่บ้านพักคนงาน ที่นั่นมีร้านค้าปลีกที่คนงานส่วนใหญ่ใช้บริการ รวมถึงมีโทรศัพท์ด้วย
“ดีสิ ริทอยากรู้ว่าหมอนั่นคิดยังไงกับพวกเรา เขาเป็น ‘พ่อ’ ของพวกเราหรือเปล่า”
ผ่านมาเป็นอาทิตย์ไร้วี่แวว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดใดเลย
เด็กชายร้อนใจจนอดรนทนไม่ไหว เขาอยากเจรจากับคนคนนั้นอีกครั้ง
“แต่ถ้ามัมรู้ เราสองคนไม่แคล้วถูกตีนะ”