“ฉัน...ฉันไม่มีทางให้ใบอ้อคบกับคนสันดานอย่างนายต่อแน่ๆ” ฉันกัดฟัน พูดกดเสียงต่ำ บอกคนตรงหน้า พยายามระงับอารมณ์ บีบความรู้สึกต่างๆ ของตัวเองให้หยุดนิ่ง ในขณะที่ผู้ชายตรงหน้าเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คล้ายกับไม่สนใจสิ่งที่ฉันพูดออกไปมากนัก
“ก็ลองดูสิ”
“เออ!” ฉันกระแทกเสียงตอบคำพูดท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวต่อคำท้าทาย คำพูดสั้นๆ แทนความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ในหัว
บอกเลยว่าฉันไม่มีทาง ไม่มีวัน และไม่ยอมให้เพื่อนฉันอยู่กับคนนิสัยร้อยเล่ห์อย่างเขาเด็ดขาด! ในเมื่อฉันฉันสามารถทำให้สองคนนั้นคบกันได้ ฉันก็ต้องทำให้สองคนนั้นเลิกกันได้เหมือนกัน!
แต่ถึงจะคิดไว้แบบนั้นก็เถอะ แต่ไอ้ผู้ชายที่ชื่อแผ่นดิน ดูจะเจ้าเล่ห์เสียเหลือเกิน เพราะตั้งแต่วินาทีที่ฉันเปล่งคำประกาศิตนั่นออกไป หมอนั่นก็ดูจะตัวติดกับใบอ้อจนไม่มีช่องว่างให้ฉันเขาแทรกกลางได้เลยแม้แต่นิดเดียว
มันน่าโมโหนัก!
“อ้อ ดินหิวน้ำว่ะ” แผ่นดินพูดขึ้นกลางวง ทำฉันที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินอีกตัวเหลือบมองเล็กน้อย พร้อมด้วยอารมณ์หมั่นไส้ที่แทบจะพุ่งทะลุออกทางตา
“กูก็หิวว่ะ” ทัพบกพูดเสริมทัพ พลางวางสมาร์ทโฟนในมือลงกับโต๊ะหินอ่อน ปรายตามองใบอ้อซึ่งเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวที่นั่งร่วมโต๊ะ
“ฉะ ฉันไปซื้อให้ก็ได้นะ ถ้าพวกดินกับเพื่อนหิว”
แผ่นดินส่งสายตาหวานเยิ้ม โชว์ลักยิ้มกระแทกใจ พลางก้มหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“อ้อไม่ต้องไปหรอก เหนื่อยเปล่าๆ”
ฉันเบ้ปากให้กับคำพูดห่วงใยลวงโลกของเขาอย่างอดไม่ได้ รีบเลื่อนสายตาไปจากคนทั้งคู่ทันที
“ให้วันใหม่ไปซื้อแทนก็แล้วกัน อ้อจะได้ไม่เหนื่อย”
“อะไรวะ!!” ฉันรีบโพล่งเสียงขัด ลุกหันขวับมองแผ่นดินแบบไม่ค่อยพอใจนัก
เขารีบปล่อยมือข้างที่โอบไหล่ใบอ้อออก ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฉันแบบตรงๆ
“ไม่ได้ทำไรก็ไปซื้อน้ำมา อย่าทำใจดำนักเลยว่ะ”
“ทำไมฉันต้องไปซื้อน้ำตามคำสั่งนายด้วยไม่ทราบ!”
“โถ่ใหม่ เดินไปแป๊บเดี๋ยว ฉันหิวน้ำว่ะ” ทัพบกตอบแทนเพื่อนรักที่เดินสาวเท้าเขามาทางฉันด้วยสีหน้าแป้นแล้น
“โค้ก3แก้ว”
“...”
“ถือมาให้ครบ ห้ามหก” แผ่นดินกำชับกลั้นขำ ใช้แบงค์ร้อยเคาะหัวใส่หัวเบาๆ ฉันได้แต่กำมือกัดปากแน่นพยายามระงับความหงุดหงิดลงและตั้งสติ โดยตรงนั้นมีสายตาหวาดหวั่นแฝงความเป็นห่วงของใบอ้อ จับจ้องมอง
“เออ ก็ได้! เห็นแก่ใบอ้อหรอก”
ฉันคว้าเงินจากมือแผ่นดินมาแบบไม่มีทางเลือก รีบจ้ำเท้าออกห่างจากกลุ่มตรงไปยังใต้อาหารอีกฝั่งเพื่อซื้อน้ำตามคำสั่งของพวกจอมบงการ โดยไม่ฟังเสียงของแผ่นดินที่บ่นไล่หลัง
เจ็บใจ! ไม่สิ โคตรเจ็บใจ ดูก็รู้ว่าหมอนั่นพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฉันอยู่ห่างจากใบอ้อ ฉันควรจะทำยังไง ถึงจะเขี่ยผู้ชายคนนี้ออกห่างจากใบอ้อได้สักทีนะ
“ป้าเอาโค้ก3แก้ว!”
ฉันยืนกอดอก หลังพิงเค้าน์เตอร์ร้านน้ำอย่างหัวเสีย สมองกำลังวุ่นวายกับการคิดหาวิธีจนหงุดหงิด ฉันไม่ค่อยชอบเวลาเป็นแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะเวลาโกรธจัดๆ ตัดฉันจะสั่นไปทั้งตัว เหมือนคนจะเป็นลมชักอย่างนั้นแหละ
ฉันก้มมองแบงค์ร้อยในมือ พยายามหยุดความคิดในหัวที่แล่นพล่าน และเงยขึ้นเพื่อมองบรรยากาศรอบๆ ใต้ตึกอาคารอีกครั้ง ก่อนต้องพบกับนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ซึ่งยืนห่างออกไปไม่มากนัก
ถ้าจำไม่ผิด เหมือนว่าเธอจะอยู่หอพักรวมที่เดียวกัน และฉันรู้สึกคุ้นเหมือนว่าเธอเคยเกาะแกะกับกลุ่มของแผ่นดินมาก่อนด้วย
เธอยิ้มให้ฉันเล็กน้อยและนั่นทำให้ฉันรีบฉีกยิ้มตอบเธอกลับไปทันที ทว่า...ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป ฉันกลับต้องโดนป้าร้านขายน้ำขัด เมื่อโค้กที่สั่งไว้สามแก้วถูกวางเตรียมไว้เรียบร้อย
ฉันรีบจ่ายเงินค่าน้ำรีบยกแก้วโค้กทั้งสามไปไปแบบทุลักทุเล โดยที่เธอคนนั้นได้แต่ยืนมองฉันยิ้มๆ คล้ายกับตลกท่าทางถือน้ำของฉันในเวลานี้เหลือเกิน
ไม่นาน ฉันก็พาตัวเองกลับไปยังตึกหน้าคณะศิลปกรรมในที่สุด แต่เมื่อไปถึงกลับต้องพบกับความตกใจ เมื่อบริเวณม้านั่งหินมันกลับว่างเปล่า ไม่มีวายร้ายสองตัวหรือเงาของใบอ้อ ไม่ว่าจะพยายามหันมองซ้ายขวามากเท่าไรก็ตาม
ฉันกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ โยนแก้วน้ำในมือทิ้ง ฉันอยากจะกรี๊ดออกมาเสียงดังให้สมกับอารมณ์ปรี๊ดที่แทบจะจุกอกตาย แผนของหมอนั่นแน่ๆ แผนที่จะแยกฉันกับใบอ้อออกห่างกัน โอ๊ย! นี่มันบ้าที่สุด เจ็บใจนัก!
สุดท้ายแล้ว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามโทรเข้าเครื่องใบอ้อสักกี่ร้อยรอบหรือลงทุนนั่งรอให้พวกเขามาที่หน้าตึกคณะอีกครั้ง แต่นั่นก็ดูจะไร้วี่แวว ฉันได้แต่ถอดใจเดินคอตกกลับหอพักของตัวเองแบบหมดหวัง และหวังว่าไอ้สองคนนั้นมันจะไม่พาใบอ้อไปทำเรื่องเสื่อมเสียที่ไหน
หอพักที่ฉันอยู่นั้นเป็นหอพักรวมชายหญิง ส่วนมากแล้วห้องหนึ่งจะอยู่กันเป็นคู่ๆ จึงไม่แปลกอะไรถ้าหากจะเห็นนักศึกษาหญิงชายเดินออกจากหอพักเป็นคู่ แต่ไม่ใช่กับฉันที่อยู่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าปีหนึ่ง
ฉันละมือไปตามราวบันไดขณะเดินขึ้นห้อง ในหัวมันอดเป็นกังวลเรื่องของใบอ้อไม่ได้ แต่ถึงจะกังวลมากแค่ไหน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากรอให้ถึงเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะได้ถามไถ่ว่าเธอกับเจ้าบ้าสองคนนั้นหายไปไหนกันมา
“คิกๆ” เสียงหัวเราะคิดคักแลดูมีความสุข ทำฉันแหงนมองขึ้นไปด้านบนที่เป็นที่มาของต้นเสียง ก่อนจะพบเข้ากับนักศึกษาหญิงชายคู่หนึ่งกำลังเดินสวนลงมา
ฉันก้มหน้าลงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดแบบไม่สนใจ อีกทั้งฉันไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าฉันแอบมองพวกเขาอยู่
ผลัก!
ฉันเซเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวที่เดินมากับชายหนุ่มเดินชนแขนฉันเต็มๆ เธอรีบหันขวับมองค้อนฉันแบบไม่ค่อยพอใจนัก
“เดินยังไงของเธอ!”
“ขอโทษนะ พอดีฉันรีบไป.......หน่อย”
เสียงของฉันเหมือนถูกดูดหายไปในลำคอ เมื่อเงยหน้ามองคู่กรณี หญิงสาวตรงหน้าเธอดูสวย ชนิดที่ว่าสวยมาก เธอสวมชุดนักศึกษาแต่เข้มที่ใช้มันคนละสถาบันกับที่ฉันอยู่ แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจ มากเท่ากับผู้ชายที่ยืนโอบเอวอยู่ข้างเธอ
แผ่นดิน... เขาจ้องมองฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มเหยียดๆ คล้ายกับตลกอะไรบางอย่าง แถมยังกระชับโอบรอบเอวหญิงสาวตรงหน้าแน่นขึ้นด้วย
“มองอะไร!” เธอตวาดเสียงดัง จ้องเขม้นมองฉันแบบไม่พอใจ
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอมอง”
เสียงของหล่อนที่ต่อว่าฉันคล้ายกับไม่ได้ดังเข้าไปในโสตประสาทเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ภาพของผู้ชายตรงหน้า ที่เอาแต่ยืนทำหน้าทำตาคล้ายกับว่าเราทั้งคู่ไม่รู้จักกัน โดยไม่มีการพูดจาหามปรามผู้หญิงข้างกายอะไรทั้งสิ้น
ผลัก!
เธอผลักไหล่ฉันอย่างแรง จนฉันสะดุดเข้ากับขั้นบันได นัยน์ตาสวยเฉี่ยวหรี่จ้องฉันคล้ายกับจะหาเรื่อง ขณะริมฝีปากสีสดบิดริมฝีปากต่อว่า
“มองเขาทำไม!”
“ฉันบอกว่าเปล่า” เวลานี้ ฉันควรจะโล่งใจใช่ไหม ที่ได้เห็นแผ่นดินอยู่ที่นี่ อยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ใบอ้อ
“เธอมองเขาทำไม!” เธอกรีดเสียงร้องลั่นในอาการฉุนขาด พุ่งตัวปราดเข้ากระชากตัวฉันจนติดมือ “ถามก็ตอบสิยะ!”
“ฉันไม่ได้มอง” ฉันเลื่อนสายตาจากสีหน้ากลั้นขำของแผ่นดิน สบสายตากับหญิงสาวตรงหน้าแบบตรงๆ
“ก็เห็นว่าเธอมองเขาอยู่!”
“พูดไม่เข้าใจเหรอ?” ฉันย้อนกลับเสียงเรียบ ก่อนจะเป็นฝ่ายปัดมือเรียวของเธอออกเองอย่างแรง “หวงไม่เข้าเรื่อง ปัญญาอ่อน!”
ฉันจงใจเน้นกระแทกคำใส่หน้าหล่อนกลับไปแบบไม่เกรงกลัว เธอจ้องจิกสายตากลับมาแบบฉุนขาดและทำท่าจะพุ่งตัวเข้าใส่ฉันเป็นหนที่สอง ทว่า...ร่างของเธอกลับถูกมือหนาจากผู้ชายข้างๆ รั้งตัวเอาไว้พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“พอ!”
ฉันเลื่อนสายตามองหน้าแผ่นดินอีกครั้ง ซึ่งดูเขาไม่ได้มีทีท่าตกใจหรือเป็นกังวลกับสิ่งที่เกิดตรงหน้าเลย ดูไม่สำนึกผิดหรือหวาดกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องที่เจอไปฟ้องใบอ้อสักนิด
“กัดกันอยู่ได้” เขาเอ่ยเสียงแขวะออกมาเบาๆ ช้อนตามองฉันที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดเหนือกว่าพร้อมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “เหมือนหมาเลยเนอะวันใหม่ J”
ฉันรีบสะบัดหน้าหลบสายตากวนประสาทของเขาไปแบบไม่ใยดี รีบจ้ำเท้ากลบขึ้นห้องพักของตัวเองไปแบบไม่สนใจ แม้ว่าเสียงร้องหงิงๆ ออดอ้อนของเจ้าหล่อนจะดังก้องไปทั่วทางขึ้นบันไดก็ตาม
หมอนั่นจงใจด่าฉัน! เขาไม่มีท่าทางว่าจะกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องที่เจอไปบอกใบอ้อเลยแม้แต่นิด เลวที่สุด! หมอนี่มันไม่ได้จริงใจกับใบอ้อจริงๆ ด้วย
ทันทีที่พาตัวกลับเข้ามาในห้อง ฉันรีบทิ้งตัวลงบนเตียงพลางหยิบโทรศัพท์มือถือกดเบอร์โทรออกของใบอ้อไปทันที
ฉันเงี่ยหูฟังเสียงสัญญาณตอบรับก่อนจะต้องพบเรื่องน่าผิดหวังเหมือนๆ ทุกครั้งเมื่อเธอปิดเครื่อง สิ่งที่พอจะทำได้ในเวลานี้คือพิมพ์ตัวอักษรสั้นๆ ผ่านโปรแกรมLineส่งไปถามเธอแทนความเป็นห่วง
Wanmai : อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมปิดเครื่อง
ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว ก่อนจะลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาการตอบกลับของใบอ้อ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...เธอจะตอบข้อความฉันกลับมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ที่ฉันเอาแต่นอนแผ่อยู่บนเตียงเพื่อใบอ้อตอบข้อความกลับมา แต่มันก็นานพอที่ทำให้ฉันซึ่งยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดช่วงเย็น รู้สึกหิวขึ้นมา
ฉันดันตัวลุกจากเตียงตรงไปค้นเศษเงินจากกระปุกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เพียงวูบหนึ่งที่ฉันเผลอเหลือบมองภาพถ่ายซึ่งถูกแนบไว้กับกระจก
ภาพของใบอ้อกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาน่าเกลียด ตัวใหญ่ ภาพของเธอสองคนถูกฉีกออกจากกัน ใบอ้อไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่นักและมันก็พาลให้ฉันรู้สึกไม่ชอบเธอตามไปด้วย
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงใบอ้อขึ้นมาได้ จนป่านนี้เธอก็ยังไม่ตอบข้อความมา ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอะไรบ้าง
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงข้อความไลน์ที่ดังขึ้น ขัดความคิดในหัวของฉันทุกอย่างลง จนต้องรีบวิ่งไปคว้ามือถือบนเตียงขึ้นมากดดูข้อความ
ใบอ้อ : ฉันขอโทษนะ T^T พอดีดูหนังอยู่ นี่เพิ่งถึงบ้านเนี่ย
Wanmai : ยัยบ้า! พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?
ฉันรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความเป็นห่วง
ใบอ้อ : จ้า แผ่นดินเขาวางแผนแกล้งเธอน่ะ
ฉันทำเสียงจิ๊เมื่อได้รับข้อความตอบกลับมา แผ่นดิน! แผ่นดินอีกแล้ว! ฉันเบื่อชื่อของหมอนี่จริงๆ
Wanmai : ถึงบ้านก็ดีแล้ว
Wanmai : แล้วนี่ไปดูหนังกับใครมา
ฉันพิมพ์ข้อความส่งตอบเธอกลบไปอีกครั้ง ทั้งที่ในสมองอยากจะพิมพ์บอกให้เธอให้รู้แล้วรู้รอดว่าวันนี้ฉันไปเจออะไรมา แต่ก็ยังกลัว...กลัวว่าใบอ้อจะรู้สึกไม่ดีตาม มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากเธอร้องไห้ เมื่อสมัยก่อนที่เธอโดนผู้หญิงคนนั้นทำร้าย
ฉันเหลือบมองภาพถ่ายของหญิงสาวที่ใบอ้อไม่ชอบขี้หน้าอีกครั้ง ก่อนจะคว้าภาพถ่ายใบนั้นเก็บใส่ลิ้นชัก ใบอ้อไม่ชอบ ฉันเองก็ไม่ชอบ! ฉันไม่ต้องการให้ใครทำร้ายเพื่อนฉันให้เจ็บปวด เพราะใครที่มันทำ มันก็ต้องโดนความเจ็บปวดแบบนั้นกลับไปบ้าง
ดูเหมือนว่าข้อความที่ฉันส่งกลับไปหาใบอ้อ เธอยังคงไม่ได้อ่านมัน และนั่นทำฉันฉันรีบคว้าเศษเหรียญเดินออกจากห้องเพื่อลงไปหาซื้ออะไรหน้าตึกกิน
กึก..
เสียงเปิดประตูจากห้องตรงข้ามทำฉันเหลือบมองเล็กน้อยขณะใส่กลอนประตู ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง เปิดประตูออกมาท่าทางงัวเงีย ก่อนที่ท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไปเมื่อเห็นหน้าฉัน
“จะไปไหน?”
“....”
“ฝากซื้อบุหรี่ซองดิ”
แผ่นดินพูดหน้าเป็นราวกับไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ เขาไม่แม้แต่จะแสดงทีท่าเป็นกังวลกับสิ่งที่ฉันเจอเมื่อเย็นออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จะเรียกยังไงดีละ? ให้ตายสิ! ฉันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าหมอนี่เลยจริงๆ
และนี่คงเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดในชีวิตฉัน เพราะเมื่อต้นปีหมอนี่ดันย้ายมาอยู่ตรงข้ามกับห้องฉันพอดี ทำให้การเจอหน้ากันระหว่างเรามีบ่อยขึ้น แน่นอนว่าการมีปากมีเสียงของเราก็ดูจะเพิ่มตามขึ้นมาแบบติดๆ
ฉันเลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไรเขากลับไป ลึกๆ ข้างในรู้สึกรังเกียจและเกลียดผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เกลียดหลายๆ สิ่งที่เขาทำ หลายสิ่งที่เขาพูด โดยเฉพาะกับพวกการกระทำไร้ยางอายแบบไม่คิด
ฟึบ!
“หยิ่งอะไรนักหนาวะวันใหม่!” เขาพุ่งมือคว้าหมับข้อมือฉันพร้อมออกแรงกระชากไว้อย่างแรง
“อย่ามาโดนตัวฉัน!” ฉันรีบสะบัดมืออย่างทันควันเมื่อสัมผัสสกปรกของเขาโดนตัว และปรายตามองเขาอย่างนึกรังเกียจ
“สายตาแบบนั้นคือ?”
“....”
“ตอบดิ!”
“รังเกียจ”
“รังเกียจมากปะ?”
“...มาก” เขาทำหน้าเอือมๆ กับคำตอบที่ได้รับกลับไป และนั่นจึงทำให้ฉันรีบเป็นฝ่ายชิงพูดออกไปอีกครั้ง “เลิกยุ่งกับใบอ้อได้แล้ว!”
แผ่นดินหัวเราะออกมาเบาๆ นัยน์เฉี่ยวคมจับมาที่ดวงหน้าฉันก่อนจะเพิ่มเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังตลกอะไร
“หัวเราะอะไร!” ฉันตะคอกเสียงถามแบบไม่ชอบใจนัก ทำให้เสียงหัวเราะของเขาหยุดลงทันที
“ฉันยุ่งกับใบอ้อไม่ได้....ถ้างั้นก็แปลว่า….”
“....”
“ฉันสามารถยุ่งกับเธอได้คนเดียวงั้นดิ?”