งานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่เกาลี่ฉีสามารถปราบชนเผ่าหมานได้อย่างราบคาบ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ขุนนางในราชสำนักต่างมาแสดงความยินดีนี้กันเป็นจำนวนมาก
เกาลี่ฉีนั่งอยู่ในที่นั่ง ของตนเองที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ สายตาของสตรีน้อยใหญ่ต่างทอดมองไปที่เขาเป็นตาเดียว ชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้เข้าใกล้ตำแหน่งว่าที่องค์รัชทายาทมากที่สุด มีสายตาที่เย็นชา ไม่ได้ให้ความสนใจกับสตรีใดที่จ้องมองมายังตน แต่มีบางครั้งที่สายตาเย็นชานี้ มักจะทอดมองไปที่ๆ นั่งของสตรีผู้หนึ่ง
บางครั้งเขาแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เมื่อได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของสตรีผู้นั้น กำลังทอดมองมาที่ตนด้วยสายตายากจะเชื่อ
'สตรีแก่นแก้วคราวนี้รู้เสียทีว่าข้าคือผู้ใด'
หูยวี่ถิงที่มีตำแหน่งเป็นถึงบุตรีของอัครเสนาบดีแน่นอนว่าวันนี้นางย่อมต้องมาร่วมงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้เช่นกัน นั่นจึงทำให้นางได้พบเจอกับเกาลี่ฉีอีกครั้ง การแสดงออกที่ได้ทราบตัวตนที่แท้จริงของเกาลี่ฉี ไม่ผิดไปจากที่เขาได้คิดเอาไว้เท่าใดนัก
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือเกาลี่ฉีที่ไม่เคยสนทนาหรือเข้าใกล้สตรีใดมาตลอดห้าปี กำลังลุกขึ้นเดินตรงไปยังทิศทางของนาง จนทำให้ทุกสายตาต่างทอดมองมาที่นางเป็นตาเดียว
"เราได้พบกันอีกแล้ว ท่านผู้มีพระคุณ"
"ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว สตรีในห้องหอเช่นหม่อมฉันจะเป็นผู้มีพระคุณของท่านอ๋องได้อย่างไร"
"สงสัยข้าจะจำคนผิด"
เขาแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากก่อนที่จะลุกเดินกลับมายังที่นั่งของตนเอง แต่เพียงเท่านั้น ก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งท้องพระโรง ต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้ารู้จักกับท่านอ๋องด้วยหรือ" มารดาที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยถามนางขึ้น
"แน่นอนว่าไม่ใช่ ลูกจะไปรู้จักกับท่านอ๋องได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่"
การแสดงออกที่เป็นไปอย่างธรรมชาติของสองแม่ลูก ไม่ได้สร้างความสงสัยอันใดให้กับเกาลี่ฉีได้รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย
เสียงซุบซิบนินทายังคงถูกพูดถึงอยู่ไม่ขาดสาย จนเมื่อเสียงประกาศการมาของฮ่องเต้ ฮองเฮา ไทเฮาและอัครราชชายาทั้งสี่ จึงทำให้ทุกคนหยุดปากของตนเองลง
ตลอดทั้งงานเลี้ยงผู้คนต่างก็กล่าวถึงความสำเร็จนี้ของเกาลี่ฉี แต่ก็อดที่จะเอ่ยถึงตำแหน่งสำคัญที่ยังว่างอยู่ในตำหนักของเขา
"ถึงแม้ชื่อเสียงของท่านอ๋องตอนนี้จะเกรียงไกรมากเพียงใด แต่มันคงยังไม่พอที่จะชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมาเป็นของท่านอ๋องได้ หากว่ายังไร้ซึ่งทายาทอยู่เช่นนี้"
"ใช่แล้ว อายุของท่านอ๋องตอนนี้ก็เลยวัยที่จะมีคู่ครองมานานแล้ว"
"พระชายาคนก่อนที่หายสาบสูญไป คงจะยังสร้างบาดแผลให้ท่านอ๋องจนยากจะลืมเลือนได้ แต่หากเป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่ พวกเราที่เป็นขุนนางคอยสนับสนุนฝ่ายท่านอ๋องควรที่จะพูดสิ่งใดเสียหน่อย"
แน่นอนว่าบทสนทนาเหล่านี้ย่อมต้องดังเข้าหูของเกาลี่ฉี แต่เขายังคงสีหน้าเรียบเฉยคล้ายกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอันใดกับตน
เขายังคงยกจอกสุราขึ้นดื่ม โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างจนเป็นฮ่องเต้เสียเองที่รู้สึกร้อนพระทัยขึ้นมาแทน จนต้องต้องเรียกพระโอรสมาเอ่ยอันใดสักเล็กน้อยหลังเสร็จงานเลี้ยง
เมื่อได้อยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ฮ่องเต้จึงได้เปิดประเด็นของพระองค์ในทันที
"ฉีเอ๋อร์เจ้าก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ควรที่จะมีคนมาคอยดูแลได้เสียที" ฮ่องเต้ พิจารณาใบหน้าของพระโอรส ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า "พ่อรู้ว่าเจ้ายังทำใจเรื่องชายาคนก่อนยังไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็หายสาบสูญไปนานแล้ว เจ้าก็ควรที่จะปล่อยวางนางและเดินต่อไปได้เสียที"
แน่นอนว่าเรื่องราวของหวงลี่ผิงได้ถูกบิดเบือนความจริงไปมาก ชายาที่หายสาบสูญยังดีกว่าชายาที่สวมหมวกเขียวให้กับตนเป็นไหนๆ เรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีเพียงแค่ซุนฮองเฮาและคนในตำหนักของเกาลี่ฉีเท่านั้นที่รู้ความจริง แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นพระบิดา ก็ไม่เคยได้รับรู้ความเป็นจริงนี้เช่นกัน
"ลูกยังไม่มีสตรีที่พึงใจเสด็จพ่ออย่าได้ทรงกังวลพระทัย เมื่อถึงเวลาหากลูกได้พบเจอกับคนที่คู่ควร ก็จะตกแต่งนางมาอยู่ข้างกายอย่างแน่นอน"
"ฉีเอ๋อร์อย่าหาว่าแม่เร่งรัดเจ้าเลย แม่ก็แก่แล้วอยากจะอุ้มหลานในเร็ววัน ในตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงมีบ่อยครั้ง ที่แม่เห็นเจ้าทอดมองไปยังสตรีผู้หนึ่ง หากเจ้าพึงใจในตัวนาง แม่จะจัดการเป็นธุระเรื่องนี้ให้ดีหรือไม่"
ซุนฮองเฮาลอบสังเกตท่าทีของพระโอรส ก่อนที่จะลองเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เกาลี่ฉีเพียงพรูลมหายใจออกมาก่อนที่จะตอบว่า "ลูกกับนางได้พบเจอกันโดยบังเอิญในตอนที่เดินทางกลับมายังเมืองหลวงนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เกรงว่าเสด็จแม่คงจะเข้าพระทัยผิดแล้ว"
"เป็นเช่นนั้นหรือ ช่างน่าเสียดายนัก แม่ก็หลงคิดไปว่าเจ้าให้ความสนใจกับสตรีนางนั้นเสียอีก" ซุนฮองเฮาแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
"เสด็จแม่อย่าได้เศร้าพระทัยไปเลย หากวันใดที่ลูกพบกับสตรีที่พึงใจ ลูกสัญญาว่าจะนำนางมาให้เสด็จแม่ได้รู้จักเป็นแน่"
"เอาละๆ แม่ไม่เซ้าซี้เจ้าแล้ว เจ้าก็อยู่คุยกับเสด็จพ่อไปเถิด แม่จะกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักแล้ว"
ซุนฮองเฮาปลีกตัวออกมาเพื่อให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว เพราะรู้ดีว่าทั้งคู่คงมีเรื่องที่ต้องให้พูดคุยกันอีกมากมาย นางได้พูดสิ่งที่กังวลกับพระโอรสไปหมดแล้ว เกรงว่าต่อจากนี้ก็คงต้องให้เจ้าตัวได้เป็นผู้ตัดสินใจเอง เพราะนางคงไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายอะไรมากนัก
"ฉีเอ๋อร์พ่อเองก็ไม่อยากเร่งรัดเจ้านัก แต่ด้วยว่าตอนนี้ผู้ที่เหมาะสมในตำแหน่งองค์รัชชายาทคงจะเป็นเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากที่สุด แต่หากเจ้ายังไร้ซึ่งทายาทเช่นนี้ เกรงว่าขุนนางฝ่ายสนับสนุนเจ้า คงจะรู้สึกระส่ำระสาย เพื่อฐานอำนาจของเจ้าเอง เจ้าควรที่จะรีบตัดสินใจเรื่องนี้เสีย อีกสามเดือนต่อจากนี้ พ่อจะประกาศแต่งตั้งเจ้าอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงตอนนั้น แคว้นน้อยใหญ่ต่างก็ต้องมาแสดงความยินดีนี้เราจะประกาศแสนยานุภาพเพื่อกดข่มแคว้นเหล่านั้น ให้รู้ถึงความเกรียงไกรของเราจากงานนี้"
"ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เกาลี่ฉีทราบดีว่าถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจในการกวาดล้างเผ่าน้อยใหญ่มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หาใช่เพื่อต้องการตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ แต่เพราะต้องการกลบฝังความเศร้าที่หลงเหลืออยู่ในใจต่างหาก ถึงแม้จะอยู่สูงสุดฟ้า แต่หากไร้สตรีที่พึงใจคอยเคียงข้าง ก็คงเปรียบเสมือนชีวิตที่ไร้วิญญาณกระมัง
หลังจากที่หูยวี่ถิงได้พบกับเกาลี่ฉีในงานเลี้ยงครั้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย เกาลี่ฉีเองก็คล้ายจะลืมเลือนนางไปแล้วด้วยซ้ำ จนในวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับนางโดยบังเอิญ
"เจ้าบอกว่าเสด็จแม่ให้ข้าไปพบอย่างนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"มีเรื่องอะไรกัน" เกาลี่ฉีขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ด้วยไม่เข้าใจว่าพระมารดาต้องการพบเขาด้วยเรื่องอันใด โดยปกติแล้วซุนฮองเฮาจะไม่ค่อยเรียกพบเขาบ่อยครั้งนัก พระนางมักจะให้อิสระกับตนอยู่เสมอ เกรงว่าการเรียกเขาไปพบในครั้งนี้ คงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่แท้
เมื่อเขาเดินทางมายังตำหนักของซุนฮองเฮาด้วยความร้อนใจ ก็ได้แต่แสดงสีหน้าแปลกใจอย่างสุดประมาณ เพราะมิได้มีเพียงพระมารดา แต่ในตำหนักแห่งนี้ยังมีสตรีแปลกหน้าที่มีใบหน้างดงาม อยู่ภายในตำแหน่งอีกผู้หนึ่งด้วย ซุนฮองเฮาที่เห็นว่าพระโอรสได้มาถึงแล้ว ก็รีบเรียกเขาเข้าไปนั่งใกล้ตนด้วยความกระตือรือร้น
"ฉีเอ๋อร์เจ้ามาแล้ว มานี่เร็ว แม่หัดทำขนมเซาปิ่งที่เจ้าชอบอยู่พอดี และบังเอิญได้รู้ว่าคุณหนูใหญ่หูยวี่ถิงผู้นี้มีความสามารถในการทำขนมเซาปิ่งได้อร่อยยิ่งนัก แม่จึงได้เชิญนางมา และให้เจ้าได้ลองชิมด้วยตนเองว่าเป็นจริงดั่งที่คนเล่าลือกันหรือไม่"
เกาลี่ฉีได้ฟังเช่นนั้นก็ลอบส่งสายตาให้พระมารดาเป็นนัยๆ ว่าเขารู้ว่าพระมารดากำลังคิดอะไรอยู่ หากเป็นในยามปกติ เขาคงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจสตรีผู้ใด แต่แปลกที่ครั้งนี้เขาเดินเข้าไปหยิบขนมเซาปิ่งที่ถูกจัดวางอยู่ในจานขึ้นมาชิมอย่างไม่ใส่ใจนัก การกระทำของเขาถึงกับทำให้ซุนฮองเฮาลอบยิ้มออกมาอย่างพอพระทัย
"รสชาติไม่เลวถือว่านางมีฝีมือ"
ในขณะที่กล่าวออกมา เกาลี่ฉีก็หยิบขนมอีกชิ้นหนึ่งเข้าปาก ซึ่งนั่นเป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกพอใจกับรสชาติของมันเป็นอย่างยิ่ง
"ดี… งั้นวันหน้าก็ให้คุณหนูใหญ่หูทำให้เจ้ากินบ่อยๆ ดีหรือไม่"
"เกรงว่าจะเป็นการรบกวนนางเสียมากกว่า เสด็จแม่เรียกลูกมาพบในวันนี้ด้วยเรื่องเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ"
"แน่นอนว่าแม่คิดถึงอยากเจอหน้าเจ้า และมีอะไรอยากจะมอบให้เจ้าสักเล็กน้อย เจ้ารออยู่ที่นี่เดี๋ยวแม่จะไปหยิบมาให้"
การกระทำที่ตรงไปตรงมาของซุนฮองเฮา เป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพระนางต้องการให้เกาลี่ฉีและหูยวี่ถิงได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แม้แต่นางกำนัลหรือขันทีที่อยู่ในตำหนักก็ได้ถอยออกมาเพื่อเว้นระยะห่างนี้
เกาลี่ฉีที่มองวัตถุประสงค์ของพระมารดาออกตั้งแต่แรก จึงได้เดินเข้าไปพูดคุยกับหูยวี่ถิงอย่างตรงไปตรงมา
"เสด็จแม่คงคิดจับคู่เจ้าและข้า หากเจ้ารู้สึกไม่พอใจเอาไว้ข้าจะไปพูดคุยกับเสด็จแม่เอง"
"หาไม่ได้เพคะ" หูยวี่ถิงเอาแต่ก้มหน้าเอ่ยตอบเขา ความกล้าหาญที่เคยแสดงออกก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น
"ทำตัวตามสบายเหมือนตอนที่เจ้ายังไม่รู้จักฐานะของข้าเถิด เป็นเช่นนั้นข้ารู้สึกพอใจมากกว่า"
"หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ พระองค์เป็นถึงพระโอรสของซุนฮองเฮา หม่อมฉันจะกล้าเอ่ยวาจาตีเสมอพระองค์ได้อย่างไร หากทำเช่นนั้น ต่อให้หม่อมฉันมีสิบหัวก็คงจะไม่สามารถชดใช้ได้หมด"
"หึ… ช่างเถอะเจ้าอยากทำอะไรก็สุดแล้วแต่เจ้า" เกาลี่ฉียกจอกชาขึ้นดื่ม และไม่ได้กล่าวความใดกับนางอีก หูยวี่ถิงเองก็แสดงออกว่านางรู้สึกกดดันที่ ได้เผชิญหน้ากับเขา ทันใดนั้นก็ได้มีขันทีเดินเข้ามารายงานบางอย่าง ใบหน้านางจึงได้ลดความกดดันลง
"ฮองเฮาให้กระหม่อมมากราบทูลว่าขอให้ท่านอ๋องและคุณหนูใหญ่หูไปรอพระองค์ที่อุทยานดอกไม้พ่ะย่ะค่ะ"
เกาลี่ฉีฟังจบก็เดินออกไป หูยวี่ถิงเห็นเช่นนั้นก็เดินตามไปเงียบๆ
เมื่อทุกคนได้ออกไปแล้วซุนฮองเฮาที่นั่งฟังรายงานจากกงกงคนสนิทถึงสถานการณ์ของทั้งคู่พระนางก็ได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกับแสดงสีหน้าหนักใจออกมา
"ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่หูยวี่ถิง ยังไม่เป็นที่น่าสนใจมากพอ ที่จะดึงดูดความสนใจของฉีเอ๋อร์เอาไว้ได้ แต่ก็ยังดีที่นางยังสามารถเข้าใกล้เขาได้มากกว่าสตรีผู้อื่น อนาคตยังอีกยาวไกล จะเป็นเช่นไรนั้นก็ยากที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ได้ ข้าจะทำให้พวกเขาทั้งคู่ลงเอยกันให้ได้…เจ้าว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่"
ซุนฮองเฮาหันไปถามกงกงคนสนิทของตนเอง เขาค้อมศีรษะ พร้อมกับยื่นมือมารับฝ่ามือของซุนฮองเฮาให้เดินไปยังเบื้องหน้าด้วยความระมัดระวัง
"ย่อมไม่ยากเกินความสามารถของพระนางอย่างแน่นอน"
ซุนฮองเฮาริมฝีปากบิดโค้งขึ้นอย่างพอพระทัยกับคำกล่าวนั้น