เกาลี่ฉียกยิ้มขึ้น เมื่อได้ฟังคำรายงานขององครักษ์คนสนิทที่ให้ไปสืบทราบความเป็นไปของหูยวี่ถิง องครักษ์ผู้นั้นเล่าอย่างละเอียด ถึงตอนที่สองพ่อลูกได้พูดคุยกัน นั่นจึงทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก
"สตรีแก่นแก้วเช่นนั้น คงจะทำให้อัครเสนาบดีหูรู้สึกปวดหัวอยู่ไม่น้อย"
"ดูเหมือนว่าท่านอัครเสนาบดีจะโปรดปรานบุตรสาวคนโตนี้ของเขามากพอสมควรพ่ะย่ะค่ะ"
เกาลี่ฉีเพียงยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะไม่กล่าวความใดอีก ในตอนนั้นองครักษ์อีกผู้หนึ่งที่เขาให้ไปสืบความมา ก็ได้ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลงยังเบื้องหน้า
"กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมได้ไปสืบข่าวที่ท่านอ๋องต้องการทราบแล้ว พบว่าตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานี้ จางหยวนและพระชายา…" องครักษ์ผู้นั้นคล้ายกับรู้ตัวว่าตนเองได้กล่าวบางประโยคผิดไป จึงรีบเปลี่ยนคำพูดของตนเองทันที
"จางหยวนและหวงลี่ผิง คล้ายกับหายสาบสูญไป ไม่สามารถสืบทราบความเป็นไปอันใดได้ กระหม่อมพยายามจนสุดความสามารถแล้ว ขอท่านอ๋องทรงลงโทษด้วย"
"ในหมู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายข้า จางหยวนถือว่ามีความสามารถมากที่สุด ก็ไม่แปลกหากเขาต้องการที่จะซ่อนตัวตน เพื่อไม่ให้ผู้ใดติดตามร่องรอยของเขาได้ช่างเถอะไม่ต้องตามสืบอันใดอีกแล้ว…คงต้องถึงเวลาที่ข้าควรจะปล่อยวางนางลงเสียที"
ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่สนใจ แต่ก็ไม่เคยที่จะให้คนหยุดตามหานางได้แม้แต่เพียงสักวัน เขาเพียงอยากจะทราบความเป็นไปของนาง ถึงในใจจะเกลียดนางมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถสลัดสตรีที่เปรียบเสมือนรักแรกนี้ไปได้เสียที
ณ ที่แห่งหนึ่งของหุบเขาอันเวิ้งว้าง เสียงดาบกระทบกันดังต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย ต้นไม้ใบหญ้าถูกตัดโค่นด้วยฝีมือของผู้ที่มีพลังปราณแข็งแกร่ง ต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นจากการปะทะ ทำให้บริเวณโดยรอบราบเป็นหน้ากลอง
"อี้เฟยเหตุใดเจ้าถึงทรยศหักหลังท่านอ๋องเช่นนี้"
"นายของข้ามีเพียงคนเดียว หากเจ้าเพียงรู้จักสงบปาก วันนี้ก็คงไม่มาถึง ข้าจะถือว่าพวกเราเติบโตมาด้วยกัน จะให้ความเมตตาเจ้าได้ตายอย่างไม่ทุกข์ทรมานก็แล้วกัน"
ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งในมือของเขาก็ไม่ลดความพยายามฆ่าคนตรงหน้าลงไปได้เลย ดาบยังคงถูกกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่อง
"เจ้าก็รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านอ๋องทรงดีกับเจ้ามากเพียงใด แต่คนที่เจ้าเลือกจะภักดีและถวายหัวให้กลับเป็นอีกคนเสียนี่"
"แต่สิ่งที่ข้าทำก็ถือเป็นความหวังดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้ท่านอ๋องได้พบเจอกับสตรีที่มีความเหมาะสมหาใช่สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น"
"แต่เจ้าก็หาใช่ผู้ตัดสินว่าสิ่งใดเหมาะสมกับท่านอ๋องหรือไม่ เป็นพระองค์ต่างหากที่เป็นผู้เลือก"
เหอไป่ยี่หอบหายใจรีบกล่าวแย้งออกไปอย่างไม่เห็นด้วย ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายของเขาจะได้รับบาดเจ็บจนแทบจะไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะนำความจริงนี้ไปบอกกับเกาลี่ฉี ว่าผู้ที่อยู่ข้างกายของเขาแต่ละคนนั้นหาได้มีความจงรักภักดีอย่างเช่นที่เขาเข้าใจ
"อย่าได้กล่าวให้มากความ ฝีมืออย่างพวกเจ้าไม่สามารถทำอะไรข้าได้หรอก"
"ปากดีนักแล้วเจ้าจะได้รู้"
อี้เฟยและพรรคพวกพุ่งตรงเข้าใส่เหอไป่ยี่เพื่อหวังจะใช้จังหวะนี้ ปลิดชีพสหายองครักษ์ที่เติบโตมาด้วยกันให้จบสิ้นลงเสียที แต่เหอไป่ยี่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายรับมือกับพวกเขาเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็อ่อนแรงเต็มที นั่นจึงทำให้อี้เฟย วาดพลังปราณสีแดงขึ้นที่ฝ่ามือ ก่อนที่จะควบคุมให้มันพุ่งตรงไปที่ร่างของเหอไป่ยี่ ในตอนที่เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนพลังปราณนั้นทะลุร่างของเขาไป และองครักษ์อีกผู้หนึ่งก็ใช้จังหวะที่เขากำลังบาดเจ็บกระโดดถีบเหอไป่ยี่จนตกหน้าผา ร่างของเขาร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ ซึ่งกำลังทอดมองมาที่เขาอย่างสาสมใจ
"กลับกันเถิด"
พวกเขาหันหลังเดินจากไป หลังจากที่เห็นว่าเป้าหมายได้ถูกกำจัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
เกาลี่ฉีที่นั่งฟังรายงานจากองครักษ์ที่มารดาส่งมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยสายตาที่มาดร้าย รังสีสังหารถูกแผ่ออกมาสร้างความกดดันให้กับองครักษ์นับสิบที่คุกเข่ายังเบื้องหน้าจนรู้สึกหนาวสั่น
"ไป่ยี่ตกลงไปยังหุบเขาในขณะที่ออกตามล่าชนเผ่าหมานอย่างนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ เพราะเขาเอาตัวเองมารับคมดาบแทนกระหม่อม จนตนเองเป็นฝ่ายตกลงไปยังหน้าผาเสียเอง เป็นกระหม่อมที่ประมาทเลินเล่อ จนทำให้ไป่ยี่ต้องมาจบชีวิตลงเช่นนี้"
เกาลี่ฉีเงียบไปสักพัก เขารู้สึกเสียใจไม่น้อยเพราะเหอไปยี่คนนี้ ถือว่าเป็นคนสนิทที่เขาไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้ ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน ในปีนั้นเขาได้พบกับเด็กชายสภาพดูมอมแมมกำลังนอนคู้กายอยู่ข้างถนนถูกรังแกจากเด็กในละแวกนั้น แต่ถึงแม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายมากเพียงใด แต่ก็ไม่เคยร้องออกมาแม้แต่เพียงครึ่งคำ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจในตัวเด็กคนนั้นขึ้นมา จึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งคู่ก็ได้มีความสนิทสนมดุจพี่น้อง เป็นเขาที่สอนวิชาให้กับเหอไป่ยี่ด้วยตนเอง จากเด็กชายไร้หัวนอนปลายเท้ากลายเป็นผู้ที่มีพลังปราณสีแดงแต่กำเนิดที่น้อยคนนักจะสามารถมีได้ เมื่อเหอไป่ยี่ได้จบชีวิตลงเช่นนี้ ย่อมไม่แปลกที่เกาลี่ฉีจะรู้สึกเศร้าใจตามไปด้วย
"ออกตามล่าชนเผ่าหมานที่เหลืออยู่มาให้หมด เพื่อนำชีวิตของพวกมันมาสังเวยดวงวิญญาณให้กับไป่ยี่"
ดวงตาเกาลี่ฉีเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว เขาขังตนเองอยู่ให้ห้องนั้นเพื่อที่จะสงบจิตใจที่เดือดพล่านนี้ อี้เฟยที่เมื่อออกมาด้านนอกแล้ว ก็ได้ส่งพิราบสื่อสารออกไปเพื่อรายงานความเป็นไปให้กับคนผู้นั้นได้ทราบ
ภายในกระท่อมร้างที่ตอนนี้ได้มีร่างของชายผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจของเขาแทบจะปลิดปลิวไปได้ทุกเมื่อ จากร่างที่แน่นิ่งเริ่มมีการเคลื่อนไหวชายผู้นั้นพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพียงแค่เขาขยับกาย ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่วิ่งพล่านไปทั่ว จนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
"น…น้ำ ขอน้ำหน่อย"
"ตื่นแล้วหรือ"
เหอไป่ยี่อ้าปากขึ้น เมื่อชายผู้นั้นยกจอกน้ำไปจ่อที่ริมฝีปากของเขา ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ดื่มน้ำลงไปเพียงไม่นาน เขาพยายามรวบรวมสติกวาดมองไปโดยรอบ
ในใจของเขาเกิดความสงสัยขึ้น 'เหตุใดน้ำเสียงของบุรุษผู้นี้ถึงได้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก' เหอไป่ยี่พยายามจดจ้องไปที่ใบหน้าของคนผู้นั้น ในตอนแรกสายตาของเขาพร่าเลือนแต่เมื่อไม่นาน ภาพเบื้องหน้าได้แจ่มชัดขึ้น ก็ทำให้เขาตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
"จางหยวน เจ้าคนชั่วที่แท้เป็นเจ้าที่ช่วยเหลือข้าหรอกหรือ รู้หรือไม่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านอ๋องส่งคนออกติดตามหาเจ้าให้ทั่ว"
เหอไป่ยี่กัดฟันกล่าว พร้อมกับสายตาที่จ้องมองจางหยวนอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบ เขาจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาติดไปทางเย็นชาจนแทบจะไร้ความรู้สึก
"เจ้าต้องการอะไรถึงได้ช่วยเหลือข้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ ก็อย่าหวังว่าข้าจะยอมร่วมมือทำเรื่องเลวทรามทรยศหักหลังท่านอ๋องเป็นอันขาด"
จางหยวนลุกขึ้นมา พร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่จะกล่าว "ไป่ยี่เรื่องบางเรื่องบางทีคนเราก็ไม่สามารถเลือกได้"
"เจ้าจะพูดอะไรกันแน่"
เหอไป่ยี่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็ให้รู้สึกงุนงงเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็เงียบเพื่อที่จะรอฟังอีกฝ่ายได้กล่าวต่อจนจบ
"เจ้ารู้ไว้ว่าข้าไม่เคยคิดร้ายกับพระชายาเลย"
เหอไป่ยี่เงียบไปสักพัก เพื่อคิดตามในสิ่งที่จางหยวนบอก ก่อนที่จะเชื่อว่าคำกล่าวของเขาก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง เมื่อมีความรู้สึกดีให้อีกฝ่าย ก็ย่อมไม่คิดร้ายเป็นธรรมดา
"แล้วตอนนี้พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง"
"ข้าไม่รู้เช่นกัน…!!!"
"เจ้าหมายความอย่างไรที่ว่าไม่รู้ เป็นเจ้าที่พาพระชายาหนีมาไม่ใช่หรือ"
จางหยวนเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่จะกล่าวว่า "หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ข้าก็คิดว่าจะสร้างสถานการณ์ขึ้นมา และทำให้นางหายสาบสูญไปเสีย แต่ไม่คิดเลยว่า ถึงขั้นนี้แล้วคนผู้นั้น ก็ไม่ยอมปล่อยนางไป"
จางหยวนหลับตาลงอย่างเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง
"คำสั่งที่ข้าได้รับคือหลังจากสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายนางแล้ว ให้ทำทีพานางหนีมา แล้วก็กำจัดนางเสีย แต่ข้าก็ใช่ว่าจะทำตาม ด้วยว่าตนเองมีแผนการในใจอยู่แล้ว ที่ข้าคาดไม่ถึงคือ คนผู้นั้นได้ส่งคนติดตามข้ามาอีกนับสิบ ทำให้ยากที่จะทำตามแผนการที่วางเอาไว้ได้ แต่ดีที่ในจังหวะคับขัน นางได้ถูกกลุ่มคนแปลกหน้าช่วยเอาไว้ ข้าก็ได้แต่หวังว่านางจะมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้"
"เจ้ามันเห็นแก่ตัว ในเมื่อเจ้ามีใจคิดจะช่วยพระชายา เหตุใดถึงไม่บอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องตั้งแต่แรก เหตุใด ถึงยอมเดินตามแผนการที่เลวทรามนี้ใส่ร้ายพระชายาอีก"
จางหยวนส่งเสียง 'หึ' ในลำคอ ก่อนที่จะทอดมองเหอไป่ยี่อย่างจริงจัง
"เจ้าคิดว่าถึงข้าเอ่ยความจริงออกไป ท่านอ๋องจะเชื่อหรือ คนผู้นั้นเป็นใคร ดูตัวอย่างจากเจ้า… แค่เพียงระแคะระคายเรื่องนี้ขึ้นมา คนผู้นั้นยังไม่เปิดโอกาสให้เจ้ามีชีวิตต่อไปได้เลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องทำเสมือนว่าตนเองได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทำเช่นนี้คนที่ข้ารัก จะยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้"
เหอไป่ยี่นิ่งฟังสิ่งที่จางหยวนกล่าว และเขาก็กล่าวออกมาอย่างไม่ยินยอมว่า
"แล้วเจ้าจะยอมให้ท่านอ๋องถูกหลอกไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ ในกลุ่มของพวกเราเจ้าเปรียบเสมือนพี่น้องที่คลานตามกันออกมากับท่านอ๋อง เพราะมารดาของเจ้าเป็นแม่นมของท่านอ๋อง แล้วเช่นนี้เจ้าจะทนอยู่เฉยได้จริงๆ หรือ"
"เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก ชีวิตครอบครัวของข้าขึ้นอยู่กับการกระทำในครั้งนี้ แต่เอาเถิดการที่ข้าไร้ตัวตนหาใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ข้าได้รวบรวมหลักฐาน เพื่อที่จะทำให้ท่านอ๋องได้เห็นด้วยตาตนเอง เมื่อถึงตอนนั้น ข้ากลัวแค่เพียงว่าท่านอ๋องจะรับความจริงนี้ไม่ได้"
เหอไป่ยี่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย กับคำกล่าวของจางหยวน ถึงวันนั้นท่านอ๋อง คงจะต้องฟ้าถล่มดินทลายเมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดเป็นแน่…