" มาแล้วค่ะ กลับมากันแล้ว คุณทักกับนังใบ้มาแล้วค่ะคุณผู้หญิง" วารีรีบวิ่งเข้ามารายงาน
" กลับมาแล้วเหรอตาทัก แม่กับทุกคนรอกินข้าวพร้อมแกอยู่ "
ทักขินัยขมวดคิ้วทำหน้างง
" ก็ตาธรรมกับเมียมาด้วย จะกลับมาอยู่ที่นี่เลย "
" กลับมาที่นี่ "
" ใช่ ว่าจะเปิดบริษัทใหม่ที่นี่ อ้าวนั่นมากันพอดีเลย มาดูหลานเร็ว "
ศจีจูงมือทักขินัยเดินเข้าไปหาธรรมรงค์ลูกชายคนโต และจีน่าสะใภ้ลูกครึ่ง ที่กำลังอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยวัยขวบเศษ เดินลงบันไดมา ปล่อยพริบพันดาวยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น
" ไงทัก ไม่ได้เจอกันนานเป็นไงสบายดีไหม "
" อือก็เรื่อยๆ แม่บอกว่าพี่จะกลับมาอยู่ที่ไทย "
" ใช่ ที่นู่นค่าครองชีพแพง กิจการที่นู่นไม่ค่อยตอบโจทย์ลูกค้าเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยทำกำไร ก็เลยตัดสินใจกลับไทยดีกว่า "
" สวัสดีจ๊ะทัก มิร่าทักทายคุณอาสิคะ "
เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มหวานใส่ ทักขินัยยิ้มกว้างจับมือนุ่มเล็กเอาไว้ พรางคิดว่าถ้าเขามีลูกบ้างจะเป็นยังไงนะ
" ทักก็มีได้แล้วนะแต่งงานมาหลายปีแล้วนี่ "
"โอ้ย ถ้าจะมีก็รอหย่ากับนังใบ้ก่อน จะมีกับใครก็ได้ขอแค่ไม่ใช่นังใบ้ก็พอ ไม่งั้นหลานฉันออกมาจะได้เป็นใบ้เหมือนแม่ของมัน ฉันว่านะทางที่ดีมันอย่าเป็นแม่ใครเลยดีที่สุดสงสารเด็กที่จะมาเกิดเป็นลูกมัน จะต้องเป็นใบ้ "
" คุณแม่ " " คุณแม่ " " คุณแม่"
ทั้งสามคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองไปที่พริบพันดาวที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ จีน่าอุ้มลูกเข้าไปหา
" พริบ ลองอุ้มหลานไหมจ๊ะ "
้เด็กน้อยยิ้มหวานให้กางแขนรออุ้ม พริบพันดาวยังไม่ทันจะแตะถูกตัวเด็กน้อย ศจีก็รีบมาแย่งอุ้มตัดหน้า
" อย่าแตะต้องหลานของฉัน จีน่าเธอนี่สิ้นคิดจริงๆ เดี๋ยวมิร่าติดเชื้อใบ้พูดไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไงห๊า "
พริบพันดาวถึงกับน้ำตาคลอเมื่อถูกว่าขนาดนี้ ศจีทำเหมือนเธอเป็นตัวเชื้อโรคที่ทุกคนไม่ควรเข้าใกล้ เธอหมุนตัวจะเดินขึ้นด้านบน แต่จีน่ารั้งแขนเอาไว้
" อย่าถือสาคุณแม่เลยนะ ท่านห่วงมิร่ามากเลยระแวงไปต่างๆนาๆ อย่าไปสนใจคำพูดพวกนั้นเลย ไปกินข้าวกันเถอะ "
พอมาถึงโต๊ะอาหาร ที่นั่งก็เต็มหมด ทั้งที่ก่อนหน้าเก้าอี้ก็มีหลายตัว แต่ตอนนี้มันมีพอดีคน ทักขินัย ธรรมรงค์ ศจี จีน่า แต่ไม่มีเก้าอี้สำหรับเธอ
" ฉันจะกินข้าวกับลูกๆของฉันแกจะไปกินที่ไหนก็ไป นู่นในครัวกับพวกคนใช้นู่นที่ของแก "
ศจีเอ่ยปากไล่ พริบพันดาวเดินขึ้นข้างบนไปทันที เธอเองก็ไม่อยากจะร่วมโต๊ะด้วยสักนิด ทักขินัยมองตามแล้วลุกจากเก้าอี้
" จะไปไหนนั่งลง กินข้าวเสร็จแม่มีเรื่องจะคุยกับแก "
ทักขินัยจำใจต้องนั่งลง เขากินไปได้ไม่กี่คำก็อิ่มมันตื้อไปหมด ในหัวก็คิดถึงแต่พริบพันดาว เธอจะหิวหรือเปล่า เธอต้องกินข้าวแล้วก็ต้องกินยา
" เมื่อไหร่แกจะหย่ากับนังใบ้ "
" คุณแม่เมื่อไหร่จะเลิกพูดเรื่องนี้ซักที "
" ก็แกบอกเอง ว่าสัญญากับย่าแกไว้ว่าจะดูแลนังนั่นแค่4ปี ตอนนี้มันก็ครบแล้ว แกก็ควรหย่าได้แล้ว "
" เรื่องของผม ผมจัดการเองไม่ต้องให้คุณแม่มาบอก "
" นี่แก แกหาว่าฉันเสือกยังงั้นเหรอ "
" ผมไม่ได้พูดคุณแม่พูดเอง "
" แก ฉันรึก็อยากให้แกได้ดี มีเมียที่เชิดหน้าชูตาได้ ไม่ใช่มีเมียเป็นใบ้พาไปไหนก็มีแต่จะอายเขา ชาติตระกูลก็ไม่มีกำพืดรึก็เป็นแค่เด็กกำพร้า "
ทักขินัยไม่อยากจะฟังต่อ ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว สั่งป้าเจียงทำอาหารอ่อนๆเอาขึ้นไปให้พริบพันดาวข้างบน
" ป้าแยกเอาไว้ให้คุณพริบต่างหากแล้วค่ะ แอบเอาขึ้นไปไว้ในห้องให้ ก่อนหน้าที่พวกคุณจะกลับมาแล้ว ป้ารู้ว่าถ้าคุณผู้หญิงอยู่คุณพริบก็ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะ "
ทักขินัยนิ่งเงียบ ที่ป้าเจียงพูดมาถูกทั้งหมด ตั้งแต่คุณย่าจากไป พริบพันดาวก็ถูกศจีกีดกันอย่างหนัก ไม่ให้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าว ถ้าแม่เขาอยู่หน้าบ้าน เธอต้องหลบอยู่หลังบ้าน ก็ไม่รู้จะรังเกียจอะไรเธอหนักหนา
พริบพันดาวถอดพวงกุญแจออกจากกระเป๋า หยิบตุ๊กตากระต่ายเอาไปใส่ไว้ในในกล่อง เธอเก็บทุกอย่างที่เป็นกระต่ายออกหมด ทั้งตุ๊กตาของใช้เสื้อผ้า เก็บรวมไว้ในกล่องทั้งหมด เธอไม่ชอบมันอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นชอบเหมือนเธอ งั้นเธอก็จะเลิกชอบ รวมถึงผู้ชายที่ชื่อทักขินัยด้วย
เธอเปิดดูรูปภาพของคุณย่า แล้วก็คิดถึงท่านขึ้นมา ถึงเวลาที่เธอต้องไปจากที่นี่แล้ว เธอต้องหย่ากับเขาให้ได้
ก็อก ก็อก ก็อก
เธอเดินไปเปิดประตู เขามาทำไมกัน ทักขินัยเดินแทรกเข้ามาในห้อง เขามองไปที่อาหารในจาน มันยังอยู่เหมือนเดิม
" ทำไมไม่กินข้าว เธอต้องกินยา นี่มันก็เย็นมากแล้ว หรือรอให้ฉันมาป้อน "
เขาขยับเข้าไปใกล้ถาดอาหารหยิบช้อนขึ้นมา เธอชี้ไปที่ประตูทำไม้ทำมือให้เขาออกไป เขาหน้าตึงขมวดคิ้วแล้วลุกออกไป เขาเปิดประตูก่อนจะออกไปก็พูดขึ้นมา
" กินข้าวแล้วกินยาซะ ที่แม่ฉันพูดอะไรไม่ดีกับเธอไปอย่าได้ใส่ใจ ฉันขอโทษแทนแม่ฉันด้วย ท่านอยู่ในวัยทองอารมณ์ก็เลยหงุดหงิดบ่อย"
วันต่อมาพริบพันดาวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า เมื่อมาถึงร้าน แก้วกัญญาบอกว่าวันนี้ภูมินทร์ลา ส่วนเธอเองก็มีธุระจะเข้าร้านได้ช่วงบ่าย จึงเหลือแค่แพรไหมกับพริบพันดาว จะให้พริบพันดาวอยู่ร้านก็กลัวจะสื่อสารกับลูกค้าไม่รู้เรื่อง จึงให้พริบพันดาวไปส่งดอกไม้แทน แค่ส่งดอกไม้ไม่ต้องพูดอะไรส่งเสร็จก็กลับได้เลย ลูกค้าจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว ให้เธอไปส่งที่ห้างแห่งหนึ่งมีงานเปิดตัวสินค้าและช่อดอกไม้ก็จะถูกมอบให้กับพรีเซนเตอร์
หลังจัดช่อดอกไม้เสร็จ เธอก็ไปส่งดอกไม้ให้เจ้าของงานที่ห้าง เมื่อหันหลังกลับออกมา สายตาดันมองไปเห็นคนคุ้นเคย จึงอดที่จะหันกลับไปดูไม่ได้
" ขอเชิญคุณทักขินัยมอบช่อดอกไม้ให้พรีเซนเตอร์ของเรา คุณบุษบงด้วยค่ะ "
เสียงปรบมือเกรียวกราว ทักขินัยถือช่อดอกไม้ไปมอบให้บุษบง ช่อดอกไม้ที่เธอเป็นคนจัดเอง และนำมาส่งเอง นักข่าวพากันถ่ายรูป เธอมองไปบนเวทีเขายืนเคียงคู่กับบุษบงคนรักของเขา ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
" เหมาะสมกันเนาะ อีกคนก็หล่ออีกคนก็สวย "
" ใช่ๆ ข่าวลือว่าทั้งสองคบกันขนาดอยู่กินด้วยกันที่คอนโดหรูแล้วด้วย "
" มีคนเห็นทั้งคู่เข้าออกคอนโดเดียวกันบ่อยมาก มีข่าวซุบซิบลงคลิปด้วยแต่ลงได้ไม่นานคลิปก็ปลิว "
" ก็คงจะเป็นเรื่องจริงนั่นแหละ ไม่งั้นจะให้มาเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าตัวใหม่เหรอ คงจะช่วยดันคนรักตัวเอง มีข่าวลือว่าจะร่วมทุนสร้างภาพยนตร์ด้วยนะ "
" ฉันว่างานนี้คงไม่พ้นล็อคบทนางเอกให้เธอแน่นอน "
พริบพันดาวยืนฟังคนที่มาร่วมงาน พูดถึงทักขินัยกับบุษบง เธอไม่รู้เลยว่างานในวันนี้ เป็นการเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของบริษัท ที่สามีของเธอเป็นเจ้าของ และไม่รู้เลยว่าเขาให้บุษบงมาเป็นพรีเซนเตอร์
" ได้ข่าวว่าคุณบุษบงกับคุณทักขินัยเป็นคนพิเศษของกันและกัน ไม่ทราบว่าข่าวนี้จริงหรือเปล่าคะ "
พิธีกรสัมภาษณ์บนเวทีเริ่มถามคำถาม บุษบงยิ้มเขินอาย ก่อนตอบ
" เรื่องนี้ให้คุณทักตอบดีกว่าค่ะ "
พริบพันดาวเดินออกไปทันที ไม่อยากรับรู้เรื่องของเขากับคนรัก
" แค่ข่าวลือครับ ผมกับบุษบงเราเป็นแค่เพื่อนกัน เคยเรียนมหาลัยเดียวกัน ผมเคยเป็นพี่รหัสของเธอเราเลยสนิทกันก็แค่นั้น "
บุษบงหน้าเจื่อน เมื่อทักขินัยตอบไปแบบนั้น เธอได้แต่แสร้งยิ้มให้กล้อง ทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในใจเดือดพล่านสุดๆ ที่เขาตอบแบบนี้เพราะนังใบ้มันอยู่ที่นี่ใช่ไหม