4.

1555 Words
ผ่านไปหลายช.มฝนซาลง เสียงรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หน้าบ้าน พริบพันดาวทำไม้ทำมือขอบคุณภูมินทร์ พอถอดเสื้อคืนก็เห็นว่ามันทั้งเลอะทั้งเปียก คงเพราะเมื่อครู่ขับลุยน้ำขังแล้วดินโคลนกระเด็นมาเปื้อนเสื้อ เธอเลยทำมือบอกเขาว่าจะไปซักให้แล้วค่อยคืนวันหลัง ภูมินทร์พยักหน้า เอื้อมมือไปเช็ดคราบดินที่เปื้อนแก้มออกให้เธอ ทักขินัยกัดฟันกรอด สองมือกำแน่น จ้องมองไปที่หน้าบ้านไม่ละสายตา " พริบอยู่ที่นี่เหรอ บ้านหลังใหญ่มากเลยนะ " ภูมินทร์มองสำรวจเข้าไปในบ้าน พริบพันดาวส่งภาษามือบอกว่าเธอเป็นแค่คนอาศัย แต่เหมือนภูมินทร์จะไม่เข้าใจ เธอจึงต้องหยิบมือถือออกพิมพ์ข้อความบอกว่า " ฉันเป็นแค่คนรับใช้หน่ะ ป้าของฉันเป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่ " เธอไม่อยากให้ภูมินทร์รู้ว่าเธอเป็นใคร อีกไม่นานเธอก็จะหย่ากับทักขินัยแล้ว เลยยืมป้าเจียงมาเป็นป้าของเธอหน่อย ภูมินทร์พยักหน้า " เข้าบ้านเถอะ มอมแมมหมดแล้ว ขอโทษนะเมื่อกี้พาลุยน้ำทำให้พริบทั้งเลอะทั้งเปียกเลย " พริบพันดาวพิมพ์ข้อความตอบกลับไป " ไม่เป็นไร ภูก็เลอะเหมือนกัน ขอบคุณนะที่มาส่ง " " อือ เรากลับก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน " พริบพันดาวยืนมองภูมินทร์ขับมอไซค์ออกไปจนลับตา แล้วหมุนตัวกลับเข้าบ้าน พอจะเปิดประตูก็พบว่าถูกล็อค เธอเคาะประตูอยู่หลายครั้งก็ไม่มีใครมาเปิด จึงได้แต่นั่งลงที่ขั้นบันได ทักขินัยยืนมองด้วยสายตาเย็นชา ฮึ ทำไมไม่ไปอยู่กับมันซะเลยหล่ะจะกลับมาทำไม มียื่นมือถือให้ดูคงจะบอกไอ้หมอนั่นให้โทรหาสินะ แถมยังยืนส่งกันแบบอาลัยอาวรณ์อีก เฮอะ อย่าหวังจะได้เข้าบ้านเลย ทักขินัยเดินเข้าไปในห้องปิดไฟล้มตัวลงนอน แต่พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ เสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างแรง เขาลุกไปดูที่ระเบียง มองลงไปไม่เห็นพริบพันดาวแล้ว สงสัยจะไปหลบฝนที่อื่น เขาสั่งห้ามทุกคนเปิดประตูเด็ดขาดคงไม่มีใครขัดคำสั่งเขาหรอก เขาเข้าไปนอนต่อแต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่าง เจอป้าเจียงกับอำนวย ป้าเจียงรีบเข้ามาหาเขา " คุณทักคะข้างนอกฝนตกแรง ให้คุณพริบเธอเข้ามาข้างในเถอะค่ะ เธอตากฝนอยู่หลายชั่วโมงแล้ว อย่าใจร้ายกับเธอเลยนะคะ ที่เธอกลับช้าอาจจะติดฝนอยู่ที่อื่นก็ได้ " เธอไม่เข้าใจเมื่อเช้าพริบพันดาวยังออกไปกับทักขินัยอยู่ดีๆ ทำไมตอนกลับทักขินัยถึงได้กลับมาแค่คนเดียวแถมยังอารมณ์ไม่ดี ใครพูดอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แล้วยังให้ล็อคประตู สั่งห้ามใครเปิดให้พริบพันดาวเข้ามาอีก ไม่อย่างนั้นจะถูกไล่ออก ทักขินัยลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วหันหลังกลับขึ้นบันไดไป เสียงฟ้าร้องคำรามเสียงดังสายฟ้าสว่างวาบสาดส่องเข้ามาถึงในบ้านเสียงฝนกระหน่ำตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา พร้อมเสียงลมกรรโชกแรง ทักขินัยหันหลังกลับรีบลงจากบันไดสาวเท้าไปที่ประตู พอเปิดประตูออกก็พบกับความว่างเปล่า ใจเขากระตุกวูบ พริบพันดาวหายไปไหน เขาเดินออกไปหาเธอไม่สนว่าจะเปียกฝน เขาหาเธอจนทั่วแต่ไม่พบ ไม่มีวี่แววของเธอเลย อำนวยกับป้าเจียงไปเอาร่มมาให้เขา แต่เขาไม่สนใจ ทั้งสามช่วยกันตามหาพริบพันดาวจนรอบบ้านแต่ไม่พบ ทักขินัยรีบขึ้นไปเอากุญแจรถแล้วขับออกไปทันที พยายามมองหาเธอทั้งสองข้างทางแต่ไม่เจอเธอเลย ในใจก็รู้สึกผิดที่ลงโทษเธอ ไม่ให้เธอเข้าบ้าน เขากลับเข้าบ้านในเวลาเช้าด้วยสภาพที่อิดโรย เมื่อคืนเขาตามหาเธอทั้งคืนจนป่านนี้ก็ยังไม่เจอเธอ เขาลงจากรถสายตาก็เหลือบไปเห็นเธอนอนขดตัวอยู่มุมหนึ่งในโรงจอดรถ ทักขินัยทั้งดีใจทั้งโกรธ เขาตามหาเธอแทบเป็นบ้าทั้งคืน แต่เธอกลับมานอนอยู่ตรงนี้ ทำไมตอนที่เขาขับรถออกไปถึงไม่สังเกตเห็นนะ เขาเดินเข้าไปจับตัวเธอก็ตกใจ เธอตัวร้อนจัดหน้าตาซีดเซียว นอนขดตัวหนาวสั่น เขารีบอุ้มเธอขึ้นมา " เอารถออกไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย " โรงพยาบาล ทักขินัยยืนมองพริบพันดาวที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือแล้วออกไป หมอเข้ามาตรวจดูอาการอีกครั้งเธอก็ยังไม่ตื่น " เธอมีไข้สูง แกต้องหมั่นเช็ดตัวให้เธอบ่อยๆ ไข้ถึงจะลด นี่ก็หลายช.มแล้วเธอยังไม่รู้สึกตัวเลย ไม่รู้ว่าเธอหมดสติไปนานแค่ไหน ร่างกายของเธออ่อนแออยู่แล้วทำไมแกถึงปล่อยให้เมียตัวเองตากฝนจนป่วยหนักขนาดนี้ ถ้ามาส่งช้ากว่านี้ เฮ่อ! ฉันรู้ว่าแกไม่ได้รักเธอ แต่ช่วยดูแลเธอให้ดีกว่านี้หน่อยได้ไหมวะ อย่างน้อยก็เห็นแก่ย่าของแกที่จากไปก็ได้ ถ้าท่านยังอยู่แล้วเห็นเธออยู่ในสภาพแบบนี้ คงปวดใจน่าดู " ภาคินหมอเจ้าของไข้ พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทพูดเตือนสติทักขินัยก่อนออกไป ทักขินัยใช้หลังมือทาบที่หน้าผาก ไอร้อนยังคงแผ่ซ่าน เขาลุกขึ้นเอากะละมังใบเล็กใส่น้ำ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้พริบพันดาว ผ่านไปเป็นช.มไข้ลดลง พริบพันดาวลืมตาขึ้น มองเห็นฝ้าเพดานสีขาว ก้มมองดูตัวเองมีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขนซ้าย ทางด้านขวามีทักขินัยจ้องมองเธออยู่ หน้าตาเขาดูอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน " ตื่นสักที เธอหลับไปนานมากรู้ไหม " พริบพันดาวมองหน้าเขานิ่งเฉย ก่อนจะหันออกไปมองทางอื่น เธอจำได้ว่าเมื่อคืนฝนตกแรง พอกลับมาก็เข้าบ้านไม่ได้ ประตูบ้านถูกล็อคไม่ว่าเธอจะเคาะเท่าไหร่ก็ไม่มีใครมาเปิดให้ ถ้าไม่ใช่คำสั่งของเขาแล้วจะเป็นใคร เพราะเขาไม่ให้เธอกลับมาด้วย เธอเลยต้องขอให้ภูมินทร์มาส่ง โชคดีที่ภูมินทร์ไปทำบุญที่วัดนั้นและบังเอิญเจอเธอ เขาคงไม่อยากให้เธอนั่งรถกลับกับเขา คงกลัวคนรักของเขาไม่พอใจ ถึงได้ทิ้งเธอไว้ที่วัดให้กลับเอง แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องล็อคประตูไม่ให้เธอเข้าบ้านด้วย เขาก็น่าจะเห็นว่าฝนตกแรง แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดประตูให้เธอเข้าไป จนเธอต้องตากฝนหนาวสั่นไปหมด ลมก็พัดแรง ไหนจะเสียงฟ้าร้องที่น่ากลัวนั่นอีก เธอทำได้เพียงหาที่หลบฝน มองไปเห็นเพียงโรงจอดรถเท่านั้น หัวที่ปวดจนแทบระเบิด ความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจทำให้หมดสติไปตอนไหนก็ไม่รู้ เธอลุกขึ้นหยิบเอามือถือมาพิมพ์แล้วส่งให้เขาอ่าน " เราหย่ากันเถอะ " ทักขินัยขมวดคิ้วแววตาคลุกกรุ่น เขาลุกจากเก้าอี้ จ้องหน้าเธอก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหัวเราะ " คิดจะเรียกร้องความสนใจ " เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ทำไม้ทำมือบอกเขาว่าเธอพูดจริง เธอต้องการจะหย่า " ฉันไม่เข้าใจภาษาใบ้ของเธอหรอก หิวหรือยัง ฉันจะไปหาอะไรมาให้กิน " เธอได้แต่ส่ายหน้าน้ำตาคลอ เธอรู้ว่าเขาเข้าใจที่เธอบอก แต่เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะเก็บเธอไว้ทำไม ในเมื่อนี่มันก็ครบ4ปีที่เขารับปากกับคุณย่าแล้ว มันถึงเวลาที่เธอจะไปจากเขาได้แล้ว ทักขินัยออกไปนอกห้องไม่อยากคุยกับเธออีก เขาอุตส่าห์เป็นห่วงเธอแทบแย่ ตามหาทั้งคืนนั่งเช็ดตัวให้ทั้งวัน พอตื่นมาก็ขอหย่ากับเขา เธอมีหัวใจบ้างไหม เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบมวนแล้วมวนเล่า ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกทีบุหรี่ที่เขาสูบก็กองเต็มไปหมด " จริงรึ ก็สมควรนะ เป็นใบ้แล้วยังร่านออกไปกับผู้ชายอีก โอ้ยเวรกรรมอะไรของฉันถึงต้องอยู่ร่วมบ้านกับนังใบ้เนี่ย " " แต่ก็สมน้ำหน้ามันนะคะคุณผู้หญิง เห็นป้าเจียงบอกว่ามันไข้ขึ้นสูงจนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่แน่บางทีอาจจะตายแล้วก็ได้ " อัปสรเล่าเรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นให้ศจีฟัง ใส่สีตีไข่เพิ่มไปอีก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD