ร่างอรชร ในชุดกระโปรงยาวคลุมข้อเท้า กับเสื้อแขนตุ๊กตาสีเทาขุ่น กำลังยืนนิ่งเป็นหุ่น ดวงตาจับจ้องอยู่บริเวณบ้านไม้หลังกะทัดรัด สถานที่อาศัยแห่งเดียวของเธอ ความอาลัยอาวรณ์ และไม่อยากจากที่นี่ มันเอ่อล้นขึ้นมาจนจุกอก อยากจะปฏิเสธคำสั่งร้ายกาจของผู้ชายใจร้ายนั่นเหลือเกิน แต่แค่เธอขยับ ปากเล็กๆ ก็คล้ายถูกถ่วงเอาไว้ด้วยหินผา
ดวงตากลมๆ กะพริบถี่ ไล่หยาดน้ำตาที่เจียนจะหยดไหล เธอพยายามจะห้ามน้ำตาเม็ดใหญ่นี้แล้ว แต่มันก็อาบแก้มเป็นทางยาว หยดลงบนคอเสื้อบริเวณเนินอกจนเป็นรอยด่างด่วง ร่างทั้งร่างยืนสั่นเทิ้ม กลั้นสะอื้นอยู่ตรงนั้นด้วยเรียวขาสั่นจนร่างกายแทบโงนเงน
ต้องรีบยกมือปิดปาก เพราะเสียงร้องไห้มันดังขึ้นเรื่อยๆ ต้องข่มใจอย่างหนัก ในยามที่ความอ่อนแอและความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา เพราะกลัวเขาจะไม่พอใจ จึงต้องรีบกัดฟันทน เลิกร้องไห้ เลิกเสียใจ ใบหน้างามๆ แหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม ค่อยๆ ขยับกายหันหลัง ยกปลายเท้าก้าวห่างจากบ้านสุดรักด้วยความเชื่องช้าและยากเย็น
เธอเลือกยืนหันหลัง ตัวแข็งทื่ออยู่ข้างรั้วไม้ ไม่หันหน้ากลับไปมองบ้านแสนรักนั้นอีก กัดฟันข่มความเจ็บหน่วงๆ ที่ทำเอาเธอแทบแดดิ้นตาย และต้องสะดุ้งจนตัวโก่ง ใบหน้าไร้สีเลือด เมื่อตัวรถสปอร์ต บีบแตรลั่นตรงหน้า พร้อมกับการชะลอจอดนิ่งๆ เพื่อรอนำพาเธอไปประหารในลานกว้างแสนไกล
ปลายจมูกเล็ก สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด ก่อนจะก้าวเดินไปยังประตูรั้วด้วยอาการเหม่อลอย ในยามที่มือบางคว้าบานประตูไม้ เพื่อดึงให้เปิดออก ร่างทั้งร่างก็สั่นเทิ้ม การก้าวเท้าแต่ละครั้ง ต้องใช้แรงกายมหาศาลเหลือเกิน
สลิลลากะพริบตาถี่ๆ เมื่อประตูรถถูกคนด้านในโน้มตัวมาเปิดให้ จำต้องกัดฟัน สอดตัวขึ้นไปนั่งอย่างเชื่องช้า พยายามเหลือเกินที่จะไม่ทำท่าจะเป็นจะตายให้เขาเห็น หลังจากตัวรถเคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว เธอก็ได้แต่นั่งเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทาง ไม่ถามสักคำ ว่าคนขับรูปหล่อ ใจอำมหิต จะนำพาตัวเองไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์แห่งใด
อาการนิ่งเงียบของร่างบอบบาง ทำให้กรามแกร่งต้องขบกันดังกรอดๆ เขารู้จักลูกหว้าเป็นอย่างดี ยิ่งเจ้าตัวนิ่งมากเท่าไร นั่นคือเจ้าหล่อนจะเคียดแค้นชิงชังเขามากเท่านั้น แต่ก็สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว เพราะเขาก็เกลียดและขยะแขยงเธอ จนแทบจะอาเจียนใส่หน้า ผู้หญิงคนนี้ต้องรองรับความแค้นที่เขามี อยู่เป็นทาสเขาจนชั่วกัปชั่วกัลป์
“ฉันบอกคุณแม่ให้เธอแล้วนะ ว่าฉันจะพาเธอไปอยู่ที่คอนโดด้วย”
ชายหนุ่มเริ่มขยับปากบอกเล่า “แปลกเหมือนกันนะ คุณแม่ฉันไม่เห็นห้ามสักคำ ดูท่าทางท่านจะเลิกสนใจเธอแล้วกระมัง หรือไม่ก็ชิงชังจนไม่อยากเห็นหน้า เพราะเมื่อคืนนี้ ท่านก็ไม่ได้อ้อนวอนอะไร ปล่อยให้ฉันจุดไฟเผาบ้านเธอได้ตามสบาย” ขณะที่พูด หางตาก็ปรายมามองด้วยมุมปากยกยิ้ม ยิ่งเห็นใบหน้าซีดถนัดไม่ต่างจากไข่ต้ม ภีรภพก็ยิ่งชอบใจ เรื่องที่เขาเอ่ยปากเมื่อครู่ มันไม่จริงเลยสักเรื่อง โดยเฉพาะการพาตัวเธอไปอยู่คอนโดด้วย คนเป็นแม่ค้านหัวชนฝา แต่ท่านก็ห้ามไม่ได้ก็เท่านั้นเอง หากเรื่องอะไร เขาต้องบอกให้ผู้หญิงที่มีพี่ชายชั่วๆ รู้ด้วยไม่ทราบ เธอต้องเจ็บอย่างที่เขาอยากให้เจ็บ เจ็บเหมือนยัยกี้ ซึ่งต้องผูกคอตาย ทั้งๆ ในท้องมีลูก
“ต่อไปนี้ เธอมีหน้าที่ดูแลคอนโดของฉัน เป็นทั้งแม่บ้าน เด็กรับใช้ และผู้หญิงบนเตียง จำไว้ให้แม่นๆ ล่ะ”
“ค่ะ ลูกหว้ารู้ฐานะตัวเองเสมอ”
เธอผงกศีรษะยอมรับ ตวัดดวงตามองเพียงตึกรามที่เขาขับรถผ่าน มือทั้งสองข้างบีบประสานกันจนชื้นฉ่ำไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ขอบตาร้อนผ่าวจนน้ำตาพาลรินไหว แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้
ใช้เวลาร่วมชั่วโมง ตัวรถสปอร์ตก็เคลื่อนมาจอดหน้าตึกสูงระฟ้า รอบด้านได้รับการจัดสรรให้เป็นสวนสุขภาพหย่อนใจ แวดล้อมไปด้วยความร่มรื่น เวลาที่ต้องก้าวลงจากรถ แล้วยืนมองตึกสูงสุดลูกหูลูกตา สลิลลาแทบจะร้องไห้โฮ เธอไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่อยากเป็นนกน้อยในกรงมัจจุราช เธออยากเป็นเพียงไส้เดือนตัวเล็กๆ ได้ท่องเที่ยวบนผืนดินของบิดา
ต้องรีบกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความร้อนผ่าวเอ่อล้นให้จางหาย ปล่อยให้คนตัวโตซึ่งเพิ่งก้าวลงจากรถ ดึงแกมรั้งเธอเข้าไปสู่ด้านใน ดูเหมือนเขาจะพูดคุยทักทายกับรปภ. รักษาการอยู่ด้วยความคุ้นชิน ก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ตัวใหญ่ ซึ่งเธอให้นิยายามของมันว่า ประตูสู่นรกโดยแท้จริง ยืนกัดฟันทนเพียงไม่กี่นาที อุ้งมือร้อนผ่าวของเขา ก็รั้งเธอออก และเดินไปตามโถงกว้าง มุ่งสู่ชั้นในสุด
“นี่ห้องของเรา”
ชายหนุ่มเอ่ยบอก แล้วกระชับมือบางไว้หลวมๆ “เธออยู่ที่นี่นะ ทำตัวดีๆ ห้ามออกไปไหน ส่วนเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นนั้น ฉันให้คนจัดเตรียมไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว เข้าไปดูว่าชอบหรือเปล่า ถ้ามีอะไรที่เธอไม่ชอบ ก็บอกฉัน ฉันจะให้คนมาเปลี่ยนให้” ชายหนุ่มเอ่ยยาวเหยียด ขณะสอดคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง ดุนหลังร่างเล็กสู่ด้านในเรียบร้อย ก็ส่งคีย์การ์ดอีกใบให้
“ส่วนนี่ เธอเก็บไว้ แต่ต้องจำให้แม่นๆ ว่าจะออกไปไหน ให้รายงานฉันก่อน เข้าใจไหมลูกหว้า”
“เข้าใจค่ะ” หญิงสาวได้แต่ตอบรับเสียงเนือยๆ
“รู้ไหม เธอน่ะทำตัวน่ารักมาก อย่างนี้เราต้องอยู่ด้วยกันได้หลายปี”
ปากหยักกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขยับมือคว้าปลายผมนุ่มสลวยของคนตัวเล็ก มาดอมดม คลี่ยิ้มละลายใจให้ หลังจากนั้นก็รั้งประตูห้องมาปิดสนิทดังเดิม ยืนมองกรอบประตูเหล็กกล้าอยู่อย่างนั้น ร่วมนาทีนั่นแหละ ถึงได้สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ปรี่ไปยังลิฟต์ ด้วยเสี้ยวหน้าระรื่น ชวนให้นึกหมั่นไส้เหลือเกิน
ด้านคนตัวเล็ก เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางห้องกว้างโอ่โถง ซึ่งจัดแจงแบ่งเป็นส่วนสัด ดวงตาอาบรื้นมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ต่อให้ที่นี่ งดงามและน่าอยู่เพียงใด แต่มันก็เทียบไม่ได้เลย กับบ้านหลังเล็กของเธอ ในยามที่หันไปมองบานประตูซึ่งปิดแน่น รู้สึกเหมือนตัวเองถูกคุมขังอยู่ในคุกไม่มีผิด คุก! ซึ่งไม่มีสิทธิ์ก้าวไปไหน แม้จะเปิดประตูได้ก็ตาม
ปลายเท้าเล็ก เลือกเดินอย่างช้าๆ ผ่านหลากหลายห้อง จนกระทั่งมายืนอยู่บริเวณหน้าต่างกระจกกว้าง สามารถมองเห็นตึกสูงลิบลิ่วจนสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางความอ้างว้างและเดียวดายแบบนี้ เธอก็อดนึกถึงบุพการี และพี่ชายอันเป็นที่รักไม่ได้ ทำไมทุกคนถึงพร้อมใจกันทิ้งเธอไปหมด ทำไมต้องปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง ทำไมไม่พาเธอไปด้วย
อาการผ่อนลมหายใจทิ้งพรืดใหญ่ สลับกับใบหน้าหมองเศร้า และอาการเหม่อลอย คือสิ่งที่สลิลลาเป็นอยู่ในเวลานี้ เธอยืนนิ่ง มองทุกอย่างผ่านม่านตาชื้นฉ่ำ ยิ่งมองไปไกลสุดตา น้ำตาก็ยิ่งไหลอาบแก้ม จนร่างทั้งร่างยืนนิ่งไม่ไหวติง ค่อยๆ ล้มลู่ลงใกล้ๆ กับกระจกกว้าง นั่งนิ่งลงในท่าชันเข่า เรียวแขนสลักเสลากอดตัวเองไว้แน่น ไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็เริ่มดังแผ่วๆ
“แม่จ๋า...พ่อจ๋า...พี่วัฒน์ ทำไมทุกคนถึงใจร้าย ทิ้งให้ลูกหว้าต้องตกนรกทั้งเป็นแบบนี้”