บทที่3.2

1146 Words
หลายวันต่อมา วันนี้ฉันไม่มีเรียน แต่ต้องมามหาวิทยาลัยอย่างช่วยไม่ได้เนื่องจากอาจารย์นัดสอบชดเชย หากยังจำกันได้...ฉันมีควิซเก็บคะแนนวันเดียวกันกับที่ครามลากไปหลังตึก ต่อล้อต่อเถียงกับเขานานเป็นสิบนาทีจนเลยเวลาที่กำหนด อาจารย์จึงนัดมาสอบวันนี้แทน แต่คะแนนจะถูกลดทอนเหลือเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์จากคะแนนเต็ม ซึ่งตัวฉันที่ทำผิดก็ไม่อาจไปเรียกร้องความเป็นธรรมอะไรได้ แค่อาจารย์ให้โอกาสก็นับว่าบุญหัวแล้ว หลังสอบเสร็จ ฉันไม่ได้ขับรถกลับหอในทันทีเนื่องจากอากาศร้อนระอุมากเป็นพิเศษ จึงมานั่งเล่นที่หลังคณะระหว่างรอให้แดดร่มลมตกกว่านี้สักหน่อย หมับ! ...ทว่าระหว่างนั่งไถมือถือไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น พลันมีนักศึกษาหญิงแปลกหน้าสองคนพุ่งเข้ามาหาโดยไร้สัญญาณเตือน รู้อีกที สมาร์ตโฟนในมือก็ถูกปัดทิ้งอย่างไร้มารยาทแทนคำทักทาย ฉันรับรู้ถึงขุมพลังหนึ่งใต้ทรวงอก ทว่าไม่ได้แสดงออกอย่างเอิกเกริก เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก พรูออกอย่างเงียบงัน ก่อนก้มเก็บมือถือยัดใส่กระเป๋าครอสบอดี้อย่างไม่รีบร้อน เสร็จสิ้นจากตรงนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองพวกชั้นต่ำที่ยังยืนค้ำหัวกันไม่เลิกรา แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยประกายไฟยามจับจ้องฉัน เหมือนฉันคนนี้ไปพรากลูกพรากผัวจนเก็บซ่อนความอาฆาตแค้นไว้ไม่ไหว อะไรอีกก็ไม่รู้... “มีไร” หลังลอบพิจารณาปฏิกิริยาของผู้มาเยือนครู่หนึ่งก็ได้เวลาเปิดปากถาม ทว่าน้ำเสียงที่ใช้ห่างไกลจากความเป็นมิตรหลายส่วน พื้นฐานฉันไม่ใช่คนยอมใครอยู่แล้ว หากต้องสู้ก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งชน แต่ถ้าพอทนไหวก็พร้อมเคลียร์อย่างปัญญาชนที่ตระหนักรู้ได้ว่าอะไรควรไม่ควร แม้ใจจริงอยากสั่งสอนให้รู้ซึ้งว่าพวกไร้มารยาทไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนไป แต่เอาเถอะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากสร้างปัญหานักหรอก “มึงอย่ามาลอยหน้าลอยตา” ผู้หญิงผมยาว หรือก็คือคนที่เพิ่งปัดมือถือฉันตกพื้นเป็นคนกล่าวประโยคนี้ กดเสียง ถลึงตา ท้าวสะเอว อะไรจะพร้อมตบขนาดนั้น กลัวจนกีสั่นไปหมด อีกหน่อยน้องคงร้องไห้แล้วมั้งเนี่ย “...” “ตบสั่งสอนดีกว่าไหมแบบนี้ อย่ามัวแต่ยืนด่ามันเลย!” คนผมประบ่ารับบทเสริมทัพ ทั้งยังเขยิบเท้ามาด้านหน้า หวังใช้มือเล็ก ๆ กระชากเส้นผมฉัน ทว่าฉันที่รู้ทันหยัดตัวขึ้นจากม้านั่งเสียก่อน ส่งผลให้เจ้าตัวชะงักค้างโดยอัตโนมัติ...เมื่อเห็นว่าความสูงเราต่างกันแค่ไหน ตอนนั่งฉันอาจดูตัวเล็กตัวน้อยน่ารังแกก็จริง แต่เมื่อลุกขึ้นยืน กลับกลายเป็นว่าสองคนนั้นต้องแหงนหน้าขึ้นมองแทน “มีปัญหาอะไรก็พูดมา” เสียงของฉันแข็งกร้าวขึ้น แต่ไม่ถึงจุดกระโชกโฮกฮาก “ยังจะถาม สาบานสิว่าไม่รู้ วันศุกร์กูเห็นมึงที่สนามแข่งบลูไฟ” ผู้หญิงผมยาวที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนจนเก็บกลั้นความชิงชังไว้ไม่ไหวกระชากเสียงใส่เหมือนจงใจประกาศกร้าวให้นักศึกษาบางส่วนได้ยินประโยคนี้ “ก่อนเริ่มแข่งอยู่กับแดน พอแข่งจบก็ไปจับมือถือแขนกับคราม ทำตัวร่านอย่างกับกะหรี่ยังจะมาตอแหลอีก” ดูจากรูปการณ์ สองคนนี้คงเป็นแฟนคลับของแดนไม่ก็ของคราม หรืออาจอัปเลเวลาถึงขั้นเป็นคนคุยลับ...ที่ทนเห็นผู้ชายของตัวเองอยู่ใกล้ฉันไม่ไหว พอว้อแตกก็แปลงร่างเป็นนางร้ายในละคร ที่ต้องขอกระทบกระเทียบด้วยคำพูดต่ำตม ไม่สิ จริง ๆ คงอยากตบฉันจนตัวสั่น “อ๋อ” ฉันพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา ไม่ยอมให้อีกฝ่ายสาแก่ใจด้วยการแสดงความทุกข์ร้อนต่อคำพูดเหล่านั้น “เหตุผลเพราะอิจฉานี่เอง” “ใครเค้าจะอิจฉามึงวะ!” ผู้หญิงผมยาวสาวเท้าเข้ามาใกล้ “กูคุย ๆ กับแดนอยู่ และในอนาคตอาจจะขยับสถานะ แล้วมึงเป็นใครในความสัมพันธ์ของพวกกู ถึงได้เสนอหน้าเข้ามาขวางทาง ตีซี๊และทำเหมือนตัวเองสำคัญกับแดนมากจนต้องไปเชียร์เขาติดขอบสนาม” อ่า “แล้วทำไมไม่ไปถามเขาเอง” ฉันเสนอเสียงเรียบ อยากสงสารที่อีกฝ่าย (อาจ) กำลังตกเป็นเหยื่อในความสัมพันธ์ แต่ทำตัวแบบนี้แล้วเห็นใจไม่ลง “ถ้ากล้าถ่อมาหาเรื่องกันขนาดนี้ ทำไมไม่ลองเอาความกล้าที่มีไปถามผู้ชายของตัวเองดูล่ะว่าเพราะอะไรถึงถูกมองข้าม มันมีอะไรผิดพลาด ทำไมถึงเป็นฉันที่เขานึกถึงแทนที่จะเป็นแก” จะไม่บอกหรอกนะว่าแดนกับฉันเราเป็นเพียงเพื่อนกัน ไม่มีอะไรเกินเลย แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องอธิบายอย่างละเอียดให้คนที่ทำตัวต่ำ ๆ ใส่ตัวเองฟังเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ปัญหาของฉันนะ แค่ทนไม่ยกตีนถีบหน้าที่ทำมือถือฉันตก ทั้งยังดูถูกดูแคลนกันแบบนั้นก็นับว่าเป็นนางเอกมากพอแล้ว “มึงก็แค่เลิกยุ่งกับเขา เลิกอ่อยเขา อยากจะเอากับครามยังไงก็เรื่องของมึง แต่อย่ามาแตะต้องผู้ชายของกู! คนเขาไม่ได้มองว่ามึงสวยเลือกได้ แต่จะมองว่ามึงมันร่าน เที่ยวร่อนกีให้ผู้ชายแทงไปทั่วมากกว่า” “คำก็ร่าน สองคำก็กะหรี่ ไม่มีคำด่าที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ?” ฉันมองหน้ามันพลางเอียงคอ “นี่ ฟังนะ ถ้าฉันจะเป็นกะหรี่นอนร่อนเอวให้ผู้ชายเอาจริง ๆ เป้าหมายของฉันคงเป็นมหาเศรษฐีที่ยอมทุ่มทุนแบบไม่กลัวขนหน้าแข้งร่วงเพื่อเซ็กซ์ ชนิดที่ว่า...ครางแค่ครั้งสองครั้งแต่มีเงินซื้อกระเป๋าชาแนลได้เป็นสิบ ๆ ใบ” “...” “เพราะงั้น พวกเขาสองคนคงไม่ตอบโจทย์” อยากยัดเยียดให้ฉันเป็นกะหรี่นักก็จัดให้ จะได้รู้ว่าหากฉันจงใจทำตัวแรดร่านตามที่มันคิดจริง ๆ... ...แดนกับครามไม่ใช่ทาร์เก็ตฉันแน่ “ถ้าไม่ตอบโจทย์จริงอย่างที่มึงว่า งั้นก็เลิกยุ่งกับเขาสิ ไม่ใช่พล่ามแค่ปาก” ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมท่าเดียวหากฉันไม่รับปากว่าจะเลิกยุ่งกับแดน “เบอร์ก็ลบทิ้ง ไม่ต้องไปเจอ ไม่ต้องเสนอหน้า ถ้าทำได้ก็ตัดขาดกันซะ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD