‘ฉันตรงสเปกคุณไหม?’
‘เด็กเกินไป’
สิ่งนึงที่เธอไม่ชอบให้คนพูดเกี่ยวกับตัวเองก็คือประโยคเดียวกับคิระ
โดนบอกว่า ‘เด็กเกินไป’ ทีไรเลือดในกายมันเดือดพล่าน วิญญาณคุณหนูมาเฟียเข้าสิงอยากชักปืนออกมายิงแสกหน้าคนพูด แต่ติดตรงไม่กล้าและไม่ชอบการใช้ความรุนแรง
มือเรียวคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรหาพี่ชาย รอไม่นานก็รับสายราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอจะโทรหา
(ดูตัวเป็นไงบ้าง)
“เขาบอกว่าเทียร์เด็กเกินไปและไม่ใช่สเปกของเขา”
(หึ)
“พี่คาร์มินขำอะไร จะบอกว่าเทียร์เด็กจริงๆใช่ไหม”
(เปล่า ใครจะกล้าพูดว่าน้องสาวตัวเองเด็กกัน)
“ไม่ต้องเลย เทียร์รู้ว่าตัวเองโตแต่นิสัยยังปัญญาอ่อนเหมือนเด็กอยู่”
คาร์มินกลั้นขำไม่อยู่ หลุดขำออกมาอย่างอดไม่ได้ ที่คาร์เทียร์พูดมาคือเรื่องจริงแต่ก็ไม่ทั้งหมด
จริงๆแล้วคาร์เทียร์เป็นคนที่มีเหตุผลและใจเย็นมาก แต่อาจจะดื้อรั้นและไม่ยอมคนไปบ้าง กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าใครได้น้องสาวเขาไปเป็นแฟน คนนั้นโชคดีมาก
“พี่คาร์มินส่งลูกน้องไปเล่นงานเขาได้ไหม เขาว่าเทียร์เด็กเทียร์ไม่ยอมนะ”
(ไหนบอกไม่ชอบใช้ความรุนแรงไง)
“เว้นเขาไว้คนนึงแล้วกัน”
(สรุปการดูตัวผ่านไปด้วยดีไหม)
“เขาเย็นชามาก แทบไม่สนใจเทียร์เลย เหมือนเขาตั้งใจมานั่งจิบไวน์กินข้าวแล้วก็กลับ” เหมือนต่างคนต่างไปนั่งกินข้าวแล้วแยกย้ายกลับ ไม่เหมือนการดูตัวเลยสักนิด
“เทียร์ต้องแต่งงานกับเขาจริงๆเหรอพี่คาร์มิน”
(ก็คงต้องแบบนั้น เพราะตัวเลือกของฝั่งเรากับเขาต่างเหมือนกัน ไม่มีใครเลือกได้)
“จะแต่งงานทั้งทีก็อยากแต่งกับคนที่เทียร์รักและรักเทียร์ก็ไม่ได้ นี่อะไรไม่รู้ถูกจับคลุมถุงชน แถมเรียนเพิ่งจบแล้วมีผัวเลย เหอะๆ ชีวิตดี๊ดี” คุณหนูมาเฟียนั่งบ่นให้พี่ชายฟัง ครั้นจะโทรไปบ่นให้เพื่อนสนิทฟังก็ไม่ว่างเพราะกำลังทำงาน
เธอและพี่ชายสนิทกันถึงขั้นคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่เคยทะเลาะกันเพราะพี่คาร์มินตามใจเธอตลอด ส่วนโดนดุมีบ้างเวลาที่เธอดื้อเกินไปหรือไม่เชื่อฟังพี่คาร์มิน
เวลาพี่ชายของเธอดุน่ากลัวมาก แต่เวลาใจดีก็ใจดีมากเช่นกัน
“แต่ก็ทำได้แค่บ่นและระบายให้พี่คาร์มินฟัง สุดท้ายเทียร์ก็ต้องแต่งงานกับลูกชายตระกูลนั้นอยู่ดี”
(ใช่ มันคือหน้าที่ที่เทียร์ปฏิเสธไม่ได้)
“พี่คาร์มินพูดเหมือนเขาเลย เขาบอกว่าการแต่งงานกับเทียร์คือหน้าที่ แต่ก็ถูกของเขานั่นแหละ เทียร์เองก็แต่งงานกับเขาเพราะหน้าที่เหมือนกัน”
(…) คาร์มินฟังน้องสาวพูดเงียบๆ น้ำเสียงคาร์เทียร์ตอนพูดประโยคนี้บ่งบอกถึงอารมณ์ตอนนี้ได้ดี คำพูดฟังดูเหมือนไม่มีอะไรในใจ ทว่าน้ำเสียงที่แฝงอยู่มันกลับทำให้คนเป็นพี่รู้ได้ทันทีว่่าน้องสาวกำลังไม่โอเค
“ช่างมันเถอะค่ะ ก็แค่แต่งงาน”
(แต่งไปแล้วถ้าคิระทำอะไรให้เทียร์ไม่สบายใจมาบอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดการให้)
“สมกับที่เป็นพี่ชายของเทียร์” เธอพูดแล้วยิ้ม
“งั้นเทียร์ไม่กวนพี่คาร์มินละ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”
(อืม ฝันดีนะ)
“ฝันดีค่ะ” เธอวางสายจากพี่คาร์มินแล้ววางโทรศัพท์ลง หยัดกายขึ้นจากเตียงนอนเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมเข้านอน
ตอนนี้ดึกมากแล้ว แถมวันนี้รู้สึกเพลียและเหนื่อยมาก อาบน้ำเสร็จคงนอนเลย
•••
วันนี้บ่ายโมงครึ่งคิระจะไปรับเทียร์ไปลองชุดแต่งงาน ห้ามเลทพี่เขานะลูก…
แม่เธอส่งข้อความมาบอกตั้งแต่แปดโมง ส่วนเธอที่ตื่นขึ้นมาอ่านตอนสิบโมงเศษๆได้แต่นอนถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจบนเตียง
หากอ่านประโยคของแม่วนซ้ำใหม่ดีๆ แสดงว่าบ่ายโมงครึ่งของวันนี้เธอต้องนั่งรถคันเดียวกับคิระไปลองชุดแต่งงานใช่ไหม เธอเข้าใจถูกหรือเปล่า
และแล้วเวลาที่เธอไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง เธอตั้งใจเลทคิระเกือบสิบห้านาที ตวัดเท้าเดินออกจากล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมไปหาคิระที่มารอแล้ว ส่วนเขานั่งอยู่ในรถ
ก๊อก ก๊อก
เคาะกระจกรถเพื่อบอกเขาว่าเธอมาแล้ว มือเล็กเอื้อมไปเปิดประตูรถออกแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างๆว่าที่สามีแสนเย็นชา
“สวัสดีค่ะคุณว่าที่สามี” เธอตั้งใจยกมือไหว้เขา ดูเหมือนมีมารยาทแต่จริงๆกำลังปั่นเขาเล่นอยู่ต่างหาก หลังจากนั้นหันไปคาดเข็มขัดนิรภัย
“สายสิบห้านาที”
“สายแค่สิบห้านาทีเอง”
คิระหันไปมองคาร์เทียร์ที่พูดเหมือนสายสิบห้านาทีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากแต่สำหรับคนตรงต่อเวลาอย่างเขาถือว่าไม่ให้เกียรติคนที่รอแถมยังเสียเวลาอีกต่างหาก
“สายนาทีเดียวก็คือสาย”
เวลาคิระจริงจังกับอะไรสักอย่างดูน่ากลัวเหมือนกัน ทางที่ดีปล่อยเขาเย็นชาเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว อันที่จริงเธอทำอะไรเสร็จหมดแล้วแต่ตั้งใจลงมาช้าเอง ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่าคิระไม่ชอบคนแบบไหน
ดีเลย… เธอจะเป็นคนประเภทที่เขาไม่ชอบ
คิระจะได้ไม่อยากแต่งงานกับเธอ หันหน้าไปหาประตูรถฝั่งที่นั่งแล้วยิ้มคนเดียวเมื่อแผนการร้ายผุดขึ้นมาในหัว
“ฉันเป็นคนไม่ค่อยตรงต่อเวลา ถ้าจะแต่งงานกับฉันคุณก็รับข้อเสียตรงนี้ให้ได้” คิระจะทนเธอได้สักเท่าไรกันเชียว
รถหรูราคาแพงสีดำขลับหลายสิบล้านขับออกจากคอนโดมิเนียมคุณหนูมาเฟียสู่ถนน มุ่งหน้าไปยังร้านชุดแต่งงานชื่อดังที่ได้ทำการนัดจองคิวเอาไว้
“สวัสดีค่ะคุณคาร์เทียร์ คุณคิระ” เจ้าของร้านถึงกับลงมาดูแลทั้งสองคนด้วยตัวเองหลังจากรู้ว่าลูกค้าที่ทำการนัดจองคิวเพื่อลองชุดแต่งงานเป็นใคร
ยกให้เป็นลูกค้าVIPของร้านไปเลย…
วินาทีที่ทั้งคู่เดินผ่านประตูเข้ามา ออร่าความสวยหล่อชวนให้คนในร้านรวมถึงลูกค้าคนอื่นๆที่มีคิวนัดวันเดียวกันหันไปมอง ต่างคนต่างตกตะลึงในความสวยหล่อของทั้งสองคน เหมาะสมกันราวกับ ‘กิ่งทองใบหยก’ เลยทีเดียว
“ชุดที่ทางเราจัดเตรียมไว้ให้ล้วนเป็นชุดที่ตัดเย็บขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีลูกค้าท่านใดเคยลองสวมใส่มาก่อน” คิระและคาร์เทียร์จะเป็นลูกค้าคู่แรกที่ได้ลองสวมใส่
“ลองดูนะคะว่าถูกใจแบบไหน”
“ขอลองชุดนี้แล้วกันค่ะ” เธอชี้ไปยังชุดที่เตะตาตัวเองตั้งแต่แรกเห็น
“ได้เลยค่า เดี๋ยวจะให้คนนำไปไว้ที่ห้องลอง และช่วยสวมใส่ให้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้วคุณคิระล่ะคะ สนใจชุดไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
คิระชี้ไปยังชุดเจ้าบ่าวที่ต้องการลองสวมใส่ ไม่ได้ตั้งใจเลือกหรือมีชุดไหนถูกใจเป็นพิเศษ การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้สึกรัก เพราะฉะนั้นคงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่ใจกับอะไรแบบนี้มากเป็นพิเศษเท่าไรนัก
“สวยมากเลยค่ะคุณคาร์เทียร์”
เธอยืนมองตัวเองในชุดเจ้าสาวที่เลือกมาผ่านกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นทั้งตัว ชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตาปาดไหล่ ตรงอกเว้าลงเล็กน้อยพอสวยงาม กระโปรงยาวหลอมเท้าลากพื้น ตัวชุดประดับไว้ด้วยลูกไม้เพิ่มเสน่ห์ให้ชุดแต่งงานและคนสวมใส่
การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะครอบครัวไม่ใช่คนสองคน ยอมรับหลังจากสวมใส่ชุดเจ้าสาวนี้เธอมีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย มันคือชุดที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันอยากสวมใส่และเดินเข้าประตูวิวาห์กับคนที่ตนรัก
คุณหนูมาเฟียหลุดโฟกัสตัวเองไปมองว่าที่สามีที่เดินเข้ามาในห้องนี้
เขาอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเหมือนกับเธอ ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือ… ความหล่อ
คิระใช้คำว่า ‘หล่อ’ ได้เปลืองมาก แต่อย่างน้อยผู้ชายที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วยก็หล่อและยังหนุ่มยังแน่น ไม่ใช่ตาแก่หงำเหงือกที่เคยจินตนาการในหัว
“หล่อเหมือนกันนะเนี่ย…ว๊าย!” จังหวะก้าวขาหมายเดินไปหาคิระ ดันพลาดท่าสะดุดชายกระโปรงที่ยาวหลอมเท้าจนเซเข้าไปหาว่าที่สามีจอมเย็นชา สองมือจับแนบไหล่แกร่ง ในส่วนของริมฝีปากนั้น…
จุ๊บ!
“!!!!”