EP.2 The wedding

1792 Words
EP.2 The wedding เช้าวันต่อมา... ขณะที่ฉันกับยัยเกี๊ยวนั่งกินข้าวมือเช้าและเปิดทีวีดูไปพลาง ๆ "ข่าวร้อนข่าวด่วนวันนี้" "เด็กนักเรียนช่างไม้ยกพวกตีกันด้วยไม้หน้าสาม เจ็บหนักสิบกว่าราย" "ซีอีโอโรงแรมอ้างยืมนาฬิกาหรูเพื่อนสนิทไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแชร์ลูกโซ่ และยันไม่ได้รวยจากสิ่งผิดกฎหมาย" "ดาราดังหลอกขายแบรนด์เนมปลอม ลูกค้าลั่นเจอกันในชั้นศาล" "และปิดท้ายด้วยข่าว พิษรักแรงหึงหวงสนั่นโทลล์เวย์" - HOT NEW- "เมียหลวงหึงโหด จ้างนักแม่นปืนยิงสามีและกิ๊กสาวเจ็บหนักคารถเบนซ์สีดำเปิดประทุนขณะขับแล่นกินลมชมวิวบนโทลล์เวย์ สามีถูกกระสุนฝัง 6 นัด เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ กิ๊กสาวดวงยังไม่ถึงฆาต ถูกยิงสามนัด นัดสุดท้ายกระสุนฝังเข้าที่สร้อยพระทำให้ไปโดนขั้วหัวใจ แต่ทางแพทย์คาด...อาการเป็นตาย 50/50" "ด้านเมียหลวงรอให้ปากคำตำรวจ และย้ำว่าไม่คิดหนี...เพราะได้ชำระแค้นให้ตัวเองสำเร็จแล้ว" จบข่าวด่วนวันนี้... "เมียน้อย ??" ยัยเกี๊ยวชะงักไปทันทีที่หน้าจอขึ้นรูปของมิลิน เพื่อนร่วมคณะที่เราสองคนก็สนิท... "ขอให้จากร้ายกลายเป็นเบานะ" ฉันได้แต่พูดเบา ๆ อย่างสงสารเพื่อนตัวเอง เพราะฉันรู้มาก่อนและเห็นภาพมาแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมิลิน และภาวนาให้เธอรอดจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง "เรื่องนี้ใช่มั้ยที่แกเห็นเมื่อคืนนี้" ยัยเกี๊ยววางช้อนส้อมลงทันทีก่อนจะหันมองหน้าของฉัน ทันทีที่รูปของยัยมิลินจะขึ้นที่หน้าจอทีวี ในฐานะ ผู้บาดเจ็บสาหัส...และภรรยาน้อย "อื้ม...แต่ฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย" ฉันพยักหน้าทั้งน้ำตาคลออย่างใจหายกับข่าวนี้ "ถ้าฉันบอกไปพวกเขาก็คงจะ..." ฉันนึกสงสารมิลินจับใจกับภาพฝันที่เธอวาดเอาไว้ แต่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอใฝ่ฝัน "ฉันรู้นะว่าแกช่วยมันที่สุดแล้วนะต้องมนต์ แกอย่าคิดมากสิ" ยัยเกี๊ยวจับที่ไหล่ของฉันอย่างให้กำลังใจ และภาพเหตุการณ์ในข่าวนี้ ฉันเห็นมันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ ฉันเห็นว่าพวกเขากำลังร้องขอชีวิต ร้องขอต่อลมหายใจตัวเอง แต่ฉันพูดออกมาไม่ได้ เพราะโดนใครบางคนปิดปากเอาไว้ ใครบางคนที่โคตรจะน่ากลัว... และใครบางคนที่ว่า ก็คือเจ้ากรรมนายเวรของพวกเขาเองนั่นแหละ "แต่ก็สงสารมันนะ มันยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นเมียน้อยของแฟนตัวเอง" ยัยเกี๊ยวเองก็นั่งน้ำตาคลอและก้มหน้าอย่างนึกสงสารเพื่อนของตัวเอง "มันฝันอยากจะแต่งงาน อยากจะสร้างครอบครัว แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลย" ยัยเกี๊ยวพูดเหมือนกับฉันคิดเป๊ะ ๆ เลย "ฉันน่าจะพูดได้มากกว่านี้...ถ้าฉันทำได้" ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างเจ็บใจ "ไว้รีบเก็บของออกจากหอเสร็จ วันนี้เราไปเยี่ยมมันกันนะ" ยัยเกี๊ยวเองก็กอดปลอบใจฉันเช่นทุก ๆ ครั้ง เพราะวันนี้เป็นวันที่เราสองคนต้องย้ายออกจากหอพักของมหาลัยตามเงื่อนไขที่ทำสัญญาเอาไว้ "แกทำดีที่สุดแล้วน่า ฉันรู้ดี" ยัยเกี๊ยวพยายามเรียกกำลังใจให้ฉันที่หดหู่ เพราะว่าทุกครั้งที่ฉันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี ๆ ของคนใกล้ตัว ฉันแทบไม่อยากให้มันกลายเป็นจริงเลย แต่ก็อย่างที่ปู่เคยพูดว่า ไม่มีใครขวางกรรมของใครได้ และทุกกรรม ทุกการกระทำย่อมต้องได้รับการชดใช้อย่างยุติธรรมเสมอ ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ตาม เราไปเยี่ยมมิลินที่โรงพยาบาล แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะคุณพยาบาลและแพทย์ไม่อนุญาตให้เราเข้าเยี่ยม และมิลินเองยังคงอาการสาหัสอยู่ในห้องไอซียู เพื่อน ๆ ที่สนุกสนานในงานเมื่อวาน ต่างเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่ผิดจากงานปาร์ตี้เมื่อวานอย่างสิ้นเชิง แต่หมอก็ยังให้คำตอบเราไม่ได้ว่า มิลินจะรอดหรือไม่รอด จนในที่สุดเราก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ฉันกับยัยเกี๊ยวรูมเมทคนสนิทก็จำต้องแยกกันเป็นครั้งแรกเลย หลังจากที่เรียนและกินนอนด้วยกันมานานถึงสี่ปี "ไว้นัดเจอนะ" ฉันโอบกอดเพื่อนรักของตัวเอง "แกอย่ามาดึงดราม่าสิ แค่ย้ายออกจากหอเองนะ" เจ้าตัวคนพูดนั่นแหละที่ชิงร้องไห้ก่อนฉันซะอีก ทันทีที่ฉันสัมผัสกับตัวของเพื่อนรัก ด้วยฝ่ามือนั้น... มันทำให้ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างอีกครั้ง แต่ยัยเกี๊ยวเป็นคนเดียวที่ขอร้องกับฉันว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไร เธอไม่ต้องการให้ฉันพูดมันออกมา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะว่าการที่ฉันทำนายหรือมองเห็นบางสิ่งบางอย่างในอนาคต ข้อเสียของมันก็คือ ถ้ามองเห็นสิ่งไม่ดีและไปเตือนพวกเขา สิ่งไม่ดีนั้นมันก็จะเกิดกับตัวฉันเองในไม่ช้า ฉันกอดเพื่อนสนิทตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อกับบ้านใครบ้านมัน "เดี๋ยวแกก็ห่างฉันไปไกลแสนไกลแล้ว" ฉันมองเพื่อนรักของตัวเองอย่างอมยิ้ม ผ่านกระจกของรถแท็กซี่ที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่แยกกันออกไปคนละทาง "เพราะว่าเนื้อคู่ของแก อยู่ต่างแดนและไกลโพ้น" ฉันยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพที่แอบเห็นในตอนที่จับตัวของยัยเกี๊ยว และพบว่าเพื่อนของฉันกำลังจะได้เจอหนุ่มผมบลอนด์ ผู้ดีที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเพื่อนฉันไปในทางที่ดี @บ้าน "กลับมาแล้วค้าา" ฉันลากกระเป๋าลงจากรถแท็กซี่เดินเข้ามาในบ้านขนาดกลางของตัวเอง แต่ก็สะดุดตาเข้ากับรถเบนซ์สีเทาสุดเรียบหรูที่จอดอยู่ใต้ชายคาบ้าน "หรือว่าแม่จะซื้อให้เป็นของขวัญวันเรียนจบกันนะ" ฉันแอบมโนขึ้นภายในใจ และเดินวนรอบรถสุดหรูคันใหม่เอี่ยมนั้น...อย่างวาดฝัน... ติ๊ดตื้ออ เสียงรถเบนซ์หรูนั้นดังขึ้นจากสัญญาณกดรีโมท "น้าแหม่ม" ฉันเอ่ยทักอย่างคุ้นเคยกับคุณน้าฝรั่งหน้าสวยที่เดินออกมาจากประตูบ้านอย่างยิ้มแย้ม และกดรีโมทมาที่รถ...รถคันใหม่ของเธอนั่นเอง... "สวัสดีค่ะ" ฉันยกมือไหว้เธออย่างคุ้นเคย "เรียกน้าอยู่ได้ เรียกมัมสิลูก" เธอเดินเข้ามารับไหว้ก่อนจะโอบกอดฉันเดินเข้ามาในบ้าน ที่เต็มไปด้วยของกินเต็มโต๊ะอาหารไปหมด "อ้าว ยัยต้องมนต์ มาแล้วหรอ ?" เสียงของคุณแม่เดินออกมาจากห้องครัว "วันนี้แม่กับมัม ทำอาหารไว้รอฉลองให้กับบัณฑิตคนใหม่นะสิ" น้าแหม่มพูดขึ้นด้วยภาษาไทยที่โทนเสียงฝรั่งหน่อย ๆ ก็เธอนะเป็นฝรั่งแท้ ๆ รัสเซียแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเธอโตและมีสามีเป็นคนไทยแท้ และเธอก็เป็นเพื่อนสนิทของแม่ฉันอีกด้วย ทั้งที่จริงเธอมีสถานะเป็นภรรยาของเจ้านายพ่อ แต่เธอกลับไม่ถือตัวกับพวกเราเลย ...บนโต๊ะอาหาร... เราเริ่มทานข้าวร่วมกันอย่างครึกครื้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะว่าทั้งแม่และน้าแหม่มต่างกันใจดีกันทั้งคู่ "อันนี้ของขวัญสำหรับวันเรียนจบจ๊ะ ต้องมนต์" น้าแหม่มส่งช่อดอกไม้ และกล่องของขวัญมาให้ฉัน... "ขอบคุณนะคะน้าแหม่ม" ฉันยกมือไหว้เธอทันที ฟุ๊บบ เธอดึงช่อดอกไม้คืนทันที "บอกให้เรียกมัมไง เรียกมัม" เธอย้ำขึ้นอีกครั้งอย่างจริงจัง "นั่นนะสิ ฝึกเรียกมัมให้ชินสิลูก" แม่ก็พูดย้ำฉันอีกคน ฉันเม้มปากและก้มหน้าเล็กน้อย "ค่ะ มัม" ฉันพูดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะรับช่อดอกไม้และของขวัญจากน้าแหม่ม จริง ๆ เธอไม่ได้ชื่อแหม่ม แต่ด้วยความที่เธอเป็นคุณนายหน้าฝรั่ง ทุกคนจึงเรียกเธอจนชินติดปากว่า คุณนายแหม่มไปแล้ว บ้านของฉันเดิมทีเป็นสวนผลไม้ชื่อดังในต่างจังหวัด เราขายส่งผลไม้ไปทั่วสารทิศ จนถึงในช่วงที่เศรษฐกิจในเมืองไทยแย่ รุ่นที่เรียกว่าฟองสบู่แตก... ทำเอาธุรกิจที่บ้านของปู่ฉันก็แย่ไปด้วย...จนเกือบจะขายไร่ขายสวนกันเลย... แต่ปู่กับพ่อเล่าว่า เหมือนกับฟ้าประทานพรให้เรา ได้เจอกับนักลงทุนรายใหญ่ นั่นก็คือครอบครัวจีซัสนั้นเอง เพราะธุรกิจส่งออกผลไม้เราได้น้าแหม่มกับสามียื่นมือเข้ามาช่วยวางแผนการตลาด ช่วยเป็นทุนหลักให้ ซึ่งบริษัทของสามีน้าแหม่มก็เป็นบริษัทที่ผูกขาดให้เราส่งผลไม้ไปส่งออกถึงทวีปยุโรป และเราทั้งสองครอบครัวก็ดำเนินธุรกิจแบบนี้มาร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว หรือตั้งแต่สมัยยุคคุณปู่เลยทีเดียว ครอบครัวของจีซัสจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา และปู่สอนเสมอว่า คนที่ลืมบุญคุณคน จะไม่มีวันเจริญ เพราะอย่างนั้นไม่ว่าครอบครัวเขาต้องการอะไร ถ้าบ้านของฉันช่วยได้ก็จะไม่รีรอที่จะเสนอตัวเข้าไปช่วย ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีงามและมิตรภาพที่ยาวนาน ทำให้เราสองบ้านสนิทกันมากจริง ๆ หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ "เดี๋ยวคุยกับลูกไปนะแหม่ม เดี๋ยวฉันไปเตรียมของหวานให้" แม่ลุกจากโต๊ะและแตะที่ไหล่ของฉันเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัว "จ๊ะ ๆ" น้าแหม่มพยักหน้ากับแม่อย่างรู้กัน "จริง ๆ มัมมาคุยกับทั้งพ่อและแม่ของหนูไว้ก่อนหน้าไว้แล้วว่า" น้าแหม่มเริ่มพูดและจ้องมองมาที่แววตาของฉัน ผ่านแววตาสีฟ้าน้ำทะเลสวย ๆ ของเธอ เธอจับที่ฝ่ามือของฉัน และบีบอย่างเบา ๆ "ทางมัมได้หาฤกษ์ให้หนูกับตาจีซัสแล้วนะลูก แต่มัมอยากจะถามหนูว่าหนูจะสะดวกย้ายไปอยู่บ้านของเราแล้วรึยัง ?" น้าแหม่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูต่อฉัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD