บทที่1.2

1300 Words
“ไม่ได้คิดแบบนั้น เราน่ารักดี” คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาทันที แกล้งเหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาเพราะเขินจะแย่ไม่กล้าสบตาเลย ท่าทางแบบนี้คงมีแต่สาวมาติดเป็นพรวน อันตรายน่าดู “ถามเหมือนมีอะไร” “…” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเอื้อมมือม้วนปอยผมของฉันเล่น วินาทีแรกฉันตกใจ แต่วินาทีต่อมาก็ต้องใจสั่นกับพฤติกรรมนั้นของเขา พี่ไมเนอร์เป็นคนแบบไหนกันนะ “เห็นแว็บแรกพี่ก็สะดุดตาแล้ว” คำพูดเรียบง่ายแต่ซ่อนความหวานอยู่ภายในของเขาชวนให้ฉันหวั่นไหวเหลือเกิน แต่พยายามนิ่งไว้ไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันกำลังทรมานใจกับคำพูดแบบนั้นขนาดไหน “แกล้งชมหรือเปล่าคะ” เขาเก่งนะที่ทำให้บทสนทนาของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมันฟังดูเหมือนเรารู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากต่อเวลาเพื่อทำความรู้จักเขาอีกสักหน่อย “ไม่ได้แกล้ง พูดจริง ๆ ” มือของเขาที่ม้วนผมฉันเล่นอยู่นั้นผละออกไป เมื่อมีสายโทร.เข้าของใครบางคน “เออ ว่าไง” ดูเหมือนคนปลายสายจะเป็นผู้ชายแถมยังบ่นอะไรมากมายแต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ที่พอเดาออกว่าเป็นเพศไหนก็เพราะในนี้มันเงียบมาก ๆ “ก็มึงนัดกูห้าโมง พวกไอ้ฟิวส์ก็ยังไม่ไปจะมาเร่งเพื่อ!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดแต่ไม่จริงจังนักคงเป็นเพื่อนแน่ ๆ “เออ อีกสักพักกูเข้าไป” พูดจบเขาก็กดตัดสายก่อนจะเลื่อนมือถือพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปถึงใครบางคน ฉันไม่ได้แอบมองกลัวจะเสียมารยาทแต่เพราะหางตามันพอมองเห็นว่าทำอะไรอยู่ “มีไลน์ไหม” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นมือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดนั้นมาให้ “คะ” ฉันรับมันมาแบบมึนงง แต่ก็ยอมกดไอดีตัวเองลงไปอย่างไร้เหตุผล “ไว้พี่จะทักไปหานะ หาคนกินข้าวด้วย” เขาพูดแล้วก็ยิ้มหวานส่งมาให้ ก่อนที่จะเก็บเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกระเป๋ากางเกง “ระรินมาเร็วจังลูก” “เจ๊บ๊วย” ฉันรีบหันไปทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูจากรุ่นพี่ บวกกับความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาตอนนี้ “อีเนอร์มาจีบน้องกูเหรอ หยุดเลยมึง” “น้องเขาจีบกู” “อย่ามาพูดค่ะ เว้นน้องกูสักคนเถอะกูกราบมึงละ” แล้วพี่ไมเนอร์ก็หัวเราะลั่นกับพี่บ๊วยที่ยกมือไหว้ย่ออย่างสวยงาม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมายิ้มให้ฉันที่นั่งอยู่ก่อนจะบอกลาและเดินออกไป “อย่าไปยุ่งกับมัน พี่ขอเตือน” “ไม่ได้มีอะไรเลยค่ะพี่บ๊วย พี่ไมเนอร์เขาบังเอิญเจอระรินพอดี” ฉันรีบโบกมือไปมาเพื่ออธิบาย กลัวจะถูกเข้าใจผิด “ยังไงก็ช่าง แต่เพื่อนพี่มันร้ายค่ะหนู ใส ๆ แบบระรินไม่ควรเข้าใกล้” “โอเคค่ะ” ฉันรับปากไปเพราะคิดว่าพี่บ๊วยก็คงหวังดี พี่ไมเนอร์ก็น่าจะร้ายจริง ๆ เขาดูเจ้าชู้ไม่เบาเลย “อย่าไปหลงเสน่ห์มันเด็ดขาด” ฉันยิ้มแล้วพยักหน้าให้พี่บ๊วย แล้วพวกพี่ ๆ ก็เริ่มเข้ามากันในหอประชุม ฉันกับกายจึงเริ่มซ้อมเดินและซ้อมการแสดงคู่กันเหมือนทุก ๆ วัน ครืด~ Minor : ส่งสติกเกอร์ หลังจากซ้อมเสร็จเวลาทุ่มครึ่งฉันก็ต้องขับรถกลับบ้าน ระยะทางจากมหาวิทยาลัยถึงบ้านค่อนข้างไกลพอสมควรแต่เพราะพ่อกับแม่อยากให้กลับบ้านทุกวันจึงซื้อรถให้ใช้ ใจจริงอยากพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนเพราะมันเหนื่อยที่ต้องฝ่ารถติดทุก ๆ วัน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าขอ พ่อเพิ่งจะซื้อรถให้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองขืนบอกว่าอยากย้ายไปอยู่คอนโดฯ คงโดนบ่นแน่ “วันนี้กลับเร็วจัง ไม่มีซ้อมเหรอลูก” “วันนี้เลิกเร็วค่ะ” ฉันตอบผู้เป็นแม่แล้วยิ้มให้ท่าน ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร แม่รีบหยิบจานสลัดผักกับผลไม้มาให้ เพราะรู้ว่าช่วงนี้ฉันต้องเข้าประกวด มื้อเย็นจึงเป็นของที่ควบคุมน้ำหนักทุกวัน และฉันจะไม่บอกใครว่าแอบทานของอร่อยมาแล้วจากตลาดหลังมหาวิทยาลัย เพราะถ้ารู้ถึงหูแม่คือแย่แน่ แม่เป็นคนที่เข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ท่านชอบที่ฉันได้ขึ้นเวทีประกวดมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้บังคับแต่ก็แสดงเจตนาว่าท่านชอบและอยากให้ทำสิ่งนั้น “วันประกวดแม่จะชวนพ่อเขาไปดูด้วย” “พ่อจะว่างเหรอคะ ไม่เห็นพ่อมีเวลาว่างให้เราเลย” ฉันจิ้มผลไม้เข้าปาก รู้สึกอิ่มจนจุกแต่ต้องแกล้งทานเพราะกลัวว่าแม่จะสงสัย “แม่บอกพ่อแล้ว ต้องว่างสิ” พ่อของฉันเป็นแพทย์ที่รักษาโรคทางจิตเวช อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาโรคทางนี้มาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ท่านยังได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกด้วยเลยทำให้เวลาสำหรับครอบครัวน้อยลงไปทุกที “กำลังใจล้นขนาดนี้ จะทำให้ดีที่สุดค่ะ” หลังจากทานเสร็จฉันก็ขอตัวขึ้นห้องพักผ่อน อาบน้ำแต่งตัวเข้านอน เพิ่งเห็นว่ามีข้อความจากใครบางคนที่ส่งเข้ามาตอนหกโมงเย็นแต่ฉันไม่ได้สนใจดู เพิ่งรู้ว่าพี่ไมเนอร์ทักมาหากัน แต่มีเพียงสติกเกอร์ตัวเดียวที่ยืนโบกมือให้ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ส่งสติกเกอร์ ฉันยิ้มกับมือถือแล้วส่งสติกเกอร์คล้ายกันนั้นกลับไป ไม่ถึงนาทีเขาก็เปิดอ่านมันก่อนจะส่งข้อความกลับมา Minor : กินข้าวหรือยัง ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คุมน้ำหนักอยู่ค่ะ Minor : กลัวพี่ชวนทานข้าวเหรอถึงตอบแบบนี้ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่ ฉันรีบตอบข้อความนั้นไปเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด ลืมสิ้นคำเตือนของพี่บ๊วยที่บอกว่าอย่าหลงเสน่ห์ของพี่ไมเนอร์ เพราะตอนนี้ฉันนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อย่างกับคนบ้า ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ทานแล้วค่ะ วันนี้ Minor : งั้นวันหลังก็ได้เนอะ ก่อนจะทานข้าวอย่าลืมคิดถึงหน้าพี่นะ ฉันยิ้มกว้างมองข้อความนั้นของพี่ไมเนอร์โดยไม่รู้ตัว รู้ว่าเขาหยอดคำหวานตามประสาของผู้ชายเจ้าชู้แต่ก็ห้ามตัวเองยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นใครจะไม่ยิ้มบ้างล่ะเจอแบบนี้ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คิดถึงแล้วอิ่มเหรอคะ จะได้ไม่อ้วน Minor : เปล่า จะได้ไม่ลืมชวนพี่ทานด้วยกันไง พี่ไมเนอร์หยอดคำหวานอยู่เรื่อย ๆ เราคุยกันยาวจนเกือบชั่วโมงก็บอกลากันก่อนเข้านอน ความรู้สึกเหมือนตอนที่กำลังแอบชอบใครตอนมัธยมเลย มันมีความกระตือรือร้นแบบนั้น แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้เพราะได้ยินพวกรุ่นพี่คุยกันมาเรื่องพี่ไมเนอร์มาเหมือนกัน เขาคุยและเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าตกหลุมรักผู้ชายแบบเขา ก็เท่ากับเอาหัวใจไปทิ้งลงกลางทะเล คุยเพื่อความสนุกไม่เหงาคงไม่เป็นอะไรหรอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD