“ไม่ได้คิดแบบนั้น เราน่ารักดี”
คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาทันที แกล้งเหลือบมองเขานิดหนึ่งก่อนจะหันกลับมาเพราะเขินจะแย่ไม่กล้าสบตาเลย ท่าทางแบบนี้คงมีแต่สาวมาติดเป็นพรวน อันตรายน่าดู
“ถามเหมือนมีอะไร”
“…” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเอื้อมมือม้วนปอยผมของฉันเล่น
วินาทีแรกฉันตกใจ แต่วินาทีต่อมาก็ต้องใจสั่นกับพฤติกรรมนั้นของเขา พี่ไมเนอร์เป็นคนแบบไหนกันนะ
“เห็นแว็บแรกพี่ก็สะดุดตาแล้ว” คำพูดเรียบง่ายแต่ซ่อนความหวานอยู่ภายในของเขาชวนให้ฉันหวั่นไหวเหลือเกิน แต่พยายามนิ่งไว้ไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันกำลังทรมานใจกับคำพูดแบบนั้นขนาดไหน
“แกล้งชมหรือเปล่าคะ”
เขาเก่งนะที่ทำให้บทสนทนาของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมันฟังดูเหมือนเรารู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้วภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากต่อเวลาเพื่อทำความรู้จักเขาอีกสักหน่อย
“ไม่ได้แกล้ง พูดจริง ๆ ” มือของเขาที่ม้วนผมฉันเล่นอยู่นั้นผละออกไป เมื่อมีสายโทร.เข้าของใครบางคน “เออ ว่าไง”
ดูเหมือนคนปลายสายจะเป็นผู้ชายแถมยังบ่นอะไรมากมายแต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ที่พอเดาออกว่าเป็นเพศไหนก็เพราะในนี้มันเงียบมาก ๆ
“ก็มึงนัดกูห้าโมง พวกไอ้ฟิวส์ก็ยังไม่ไปจะมาเร่งเพื่อ!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดแต่ไม่จริงจังนักคงเป็นเพื่อนแน่ ๆ “เออ อีกสักพักกูเข้าไป”
พูดจบเขาก็กดตัดสายก่อนจะเลื่อนมือถือพิมพ์อะไรสักอย่างลงไปถึงใครบางคน ฉันไม่ได้แอบมองกลัวจะเสียมารยาทแต่เพราะหางตามันพอมองเห็นว่าทำอะไรอยู่
“มีไลน์ไหม” เขาเอ่ยพร้อมกับยื่นมือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดนั้นมาให้
“คะ” ฉันรับมันมาแบบมึนงง แต่ก็ยอมกดไอดีตัวเองลงไปอย่างไร้เหตุผล
“ไว้พี่จะทักไปหานะ หาคนกินข้าวด้วย” เขาพูดแล้วก็ยิ้มหวานส่งมาให้ ก่อนที่จะเก็บเครื่องมือสื่อสารของตัวเองลงกระเป๋ากางเกง
“ระรินมาเร็วจังลูก”
“เจ๊บ๊วย” ฉันรีบหันไปทางด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูจากรุ่นพี่ บวกกับความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาตอนนี้
“อีเนอร์มาจีบน้องกูเหรอ หยุดเลยมึง”
“น้องเขาจีบกู”
“อย่ามาพูดค่ะ เว้นน้องกูสักคนเถอะกูกราบมึงละ”
แล้วพี่ไมเนอร์ก็หัวเราะลั่นกับพี่บ๊วยที่ยกมือไหว้ย่ออย่างสวยงาม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมายิ้มให้ฉันที่นั่งอยู่ก่อนจะบอกลาและเดินออกไป
“อย่าไปยุ่งกับมัน พี่ขอเตือน”
“ไม่ได้มีอะไรเลยค่ะพี่บ๊วย พี่ไมเนอร์เขาบังเอิญเจอระรินพอดี” ฉันรีบโบกมือไปมาเพื่ออธิบาย กลัวจะถูกเข้าใจผิด
“ยังไงก็ช่าง แต่เพื่อนพี่มันร้ายค่ะหนู ใส ๆ แบบระรินไม่ควรเข้าใกล้”
“โอเคค่ะ” ฉันรับปากไปเพราะคิดว่าพี่บ๊วยก็คงหวังดี พี่ไมเนอร์ก็น่าจะร้ายจริง ๆ เขาดูเจ้าชู้ไม่เบาเลย
“อย่าไปหลงเสน่ห์มันเด็ดขาด”
ฉันยิ้มแล้วพยักหน้าให้พี่บ๊วย แล้วพวกพี่ ๆ ก็เริ่มเข้ามากันในหอประชุม ฉันกับกายจึงเริ่มซ้อมเดินและซ้อมการแสดงคู่กันเหมือนทุก ๆ วัน
ครืด~
Minor : ส่งสติกเกอร์
หลังจากซ้อมเสร็จเวลาทุ่มครึ่งฉันก็ต้องขับรถกลับบ้าน ระยะทางจากมหาวิทยาลัยถึงบ้านค่อนข้างไกลพอสมควรแต่เพราะพ่อกับแม่อยากให้กลับบ้านทุกวันจึงซื้อรถให้ใช้
ใจจริงอยากพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนเพราะมันเหนื่อยที่ต้องฝ่ารถติดทุก ๆ วัน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าขอ พ่อเพิ่งจะซื้อรถให้ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองขืนบอกว่าอยากย้ายไปอยู่คอนโดฯ คงโดนบ่นแน่
“วันนี้กลับเร็วจัง ไม่มีซ้อมเหรอลูก”
“วันนี้เลิกเร็วค่ะ” ฉันตอบผู้เป็นแม่แล้วยิ้มให้ท่าน ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร
แม่รีบหยิบจานสลัดผักกับผลไม้มาให้ เพราะรู้ว่าช่วงนี้ฉันต้องเข้าประกวด มื้อเย็นจึงเป็นของที่ควบคุมน้ำหนักทุกวัน และฉันจะไม่บอกใครว่าแอบทานของอร่อยมาแล้วจากตลาดหลังมหาวิทยาลัย เพราะถ้ารู้ถึงหูแม่คือแย่แน่
แม่เป็นคนที่เข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ท่านชอบที่ฉันได้ขึ้นเวทีประกวดมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้บังคับแต่ก็แสดงเจตนาว่าท่านชอบและอยากให้ทำสิ่งนั้น
“วันประกวดแม่จะชวนพ่อเขาไปดูด้วย”
“พ่อจะว่างเหรอคะ ไม่เห็นพ่อมีเวลาว่างให้เราเลย” ฉันจิ้มผลไม้เข้าปาก รู้สึกอิ่มจนจุกแต่ต้องแกล้งทานเพราะกลัวว่าแม่จะสงสัย
“แม่บอกพ่อแล้ว ต้องว่างสิ”
พ่อของฉันเป็นแพทย์ที่รักษาโรคทางจิตเวช อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาโรคทางนี้มาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ท่านยังได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอีกด้วยเลยทำให้เวลาสำหรับครอบครัวน้อยลงไปทุกที
“กำลังใจล้นขนาดนี้ จะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
หลังจากทานเสร็จฉันก็ขอตัวขึ้นห้องพักผ่อน อาบน้ำแต่งตัวเข้านอน เพิ่งเห็นว่ามีข้อความจากใครบางคนที่ส่งเข้ามาตอนหกโมงเย็นแต่ฉันไม่ได้สนใจดู เพิ่งรู้ว่าพี่ไมเนอร์ทักมาหากัน แต่มีเพียงสติกเกอร์ตัวเดียวที่ยืนโบกมือให้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ส่งสติกเกอร์
ฉันยิ้มกับมือถือแล้วส่งสติกเกอร์คล้ายกันนั้นกลับไป ไม่ถึงนาทีเขาก็เปิดอ่านมันก่อนจะส่งข้อความกลับมา
Minor : กินข้าวหรือยัง
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คุมน้ำหนักอยู่ค่ะ
Minor : กลัวพี่ชวนทานข้าวเหรอถึงตอบแบบนี้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่
ฉันรีบตอบข้อความนั้นไปเพราะกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด ลืมสิ้นคำเตือนของพี่บ๊วยที่บอกว่าอย่าหลงเสน่ห์ของพี่ไมเนอร์ เพราะตอนนี้ฉันนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อย่างกับคนบ้า
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ทานแล้วค่ะ วันนี้
Minor : งั้นวันหลังก็ได้เนอะ ก่อนจะทานข้าวอย่าลืมคิดถึงหน้าพี่นะ
ฉันยิ้มกว้างมองข้อความนั้นของพี่ไมเนอร์โดยไม่รู้ตัว รู้ว่าเขาหยอดคำหวานตามประสาของผู้ชายเจ้าชู้แต่ก็ห้ามตัวเองยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นใครจะไม่ยิ้มบ้างล่ะเจอแบบนี้
ระริน ไม่ใช่ ละลิน : คิดถึงแล้วอิ่มเหรอคะ จะได้ไม่อ้วน
Minor : เปล่า จะได้ไม่ลืมชวนพี่ทานด้วยกันไง
พี่ไมเนอร์หยอดคำหวานอยู่เรื่อย ๆ เราคุยกันยาวจนเกือบชั่วโมงก็บอกลากันก่อนเข้านอน ความรู้สึกเหมือนตอนที่กำลังแอบชอบใครตอนมัธยมเลย มันมีความกระตือรือร้นแบบนั้น แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้เพราะได้ยินพวกรุ่นพี่คุยกันมาเรื่องพี่ไมเนอร์มาเหมือนกัน
เขาคุยและเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า ถ้าตกหลุมรักผู้ชายแบบเขา ก็เท่ากับเอาหัวใจไปทิ้งลงกลางทะเล คุยเพื่อความสนุกไม่เหงาคงไม่เป็นอะไรหรอก