หลังจากวันนั้นฉันกับพี่ไมเนอร์ก็คุยกันผ่านข้อความทุกวันเป็นเวลาเกือบเดือน มีบ้างที่เขามาดูซ้อมประกวดของฉันแต่ก็มาในฐานะรุ่นพี่ มากับเพื่อนสโมสรนักศึกษาบ้าง จะเรียกว่าตั้งใจมาดูก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คงมาทำธุระของเขามากกว่า
“ตั้งแต่เพื่อนลงประกวดดาวคณะนี่มีออร่าขึ้นเลยน้า” เสียงของยัยจินเอ่ยแซว ยัยน้ำค้างก็ยิ้มพลางหัวเราะตาม
“กว่าจะได้ขนาดนี้ก็หมดไปเยอะนะคะ” ฉันตอกกลับพวกมันทั้งที่จริงก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง แต่ช่วงนี้แทบไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเพราะรุ่นพี่สั่งเอาไว้ อย่างกับเก็บตัวประกวดนางงามระดับประเทศ
“ฉันต้องไปทำบ้างแล้วมั้ง หนุ่มๆ ทั้งรคณะจะได้ตามจีบเหมือนมันบ้าง”
“ถามว่าเพื่อนเราเล่นด้วยไหม” ยัยน้ำค้างพูดต่อ
“ไม่จ่ะ หรือมีคนในใจแล้วก็ไม่รู้” ยัยจินแกล้งเบะปากใส่ฉันเหมือนคนกำลังหมั่นไส้
จริงอยู่ว่ามีพวกรุ่นพี่ทั้งในและนอกคณะมาพูดคุยเชิงจีบ แต่ฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้ซ้อมหนักจนรู้สึกเหนื่อยแทบไม่เหลือเวลาให้คิดอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนที่สนใจ
จะเรียกว่ามีคนในใจก็ไม่ถูก เพราะฉันเว้นระยะห่างจากพี่ไมเนอร์เสมอ จากคำแนะนำของรุ่นพี่หลายคนที่เป็นห่วง แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
“ไม่เถียง แปลว่าแกแอบคุยกับใครอยู่ใช่ไหม บอกฉันมานะ” ยัยจินยื่นมือมาหยิกแขนฉันจนเป็นรอย ทำหน้าเหมือนแม่ตอนบ่นฉันเลย
“ไม่มี!”
“อย่ามาโกหกนะ ฉันแอบเห็นแกยิ้มใส่มือถือด้วย ออ ก็ว่าล่ะเมื่อเช้า ยิ้มแก้มปริเชียว”
“อย่าไปแกล้งมัน” ยัยน้ำค้างเหมือนจะช่วยแต่มันก็หัวเราะชอบใจ
เราคบกันมาเกือบสามเดือนแล้ว แรกๆ ตอนคบกันก็พูดเพราะอยู่หรอก ฉันกับเธอเวลาเจอกัน แต่ตอนนี้นะเหรอ แทบไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น ถ้าได้ยินล่ะก็หมายถึงพวกมันกำลังประชดหรือไม่กำลังหาเรื่องแซว
“เป็นรุ่นพี่คนไหนบอกมา!”
ฉันส่ายหน้าไปมากับความอยากรู้ของยัยจิน ไม่รู้ว่ามันเห็นฉันยิ้มตอนไหน เพราะปกติฉันมักจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเวลาที่คุยกับพี่ไมเนอร์ เพราะเขาชอบหยอดกันอยู่เรื่อย ล่าสุดเมื่อเช้าชวนไปดูหนังแต่ฉันปฏิเสธไปแล้วเพราะมีซ้อมจนดึก
“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ” ฉันบอกแล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หินอ่อน เพื่อที่จะหนีการถูกจับผิดของพวกมัน
“ไม่อยากรู้ก็ได้ หิวแล้ว”
เรามาทานข้าวที่โรงอาหารของคณะนิเทศ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายแล้วทำให้คนค่อนข้างน้อย เช่นเดียวกับร้านอาหารที่ปิดไปหลายๆ ร้าน โชคดีหน่อยที่มีร้านประจำของฉันและเพื่อน
‘ร้านพี่มดยิ้ม ก๋วยเตี๋ยวขลุกขลิก'
ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านดังของคณะเราเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะวันไหนก็เรียกเด็กทั้งในและนอกคณะมาต่อแถวทานยาวเหยียด ทุกทีจะเห็นปิดก่อนใครแต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือเปล่าที่มาช้าก็ยังได้ทาน
“เอาเหมือนเดิมเลยค่ะ” ฉันบอกแล้วยิ้มให้ลูกจ้างของร้านนี้ที่สนิทกันจนจำได้ว่าฉันต้องสั่งอะไร
“เอาเหมือนน้องเขาเลยครับอีกหนึ่ง”
อยู่ๆ เสียงของทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นด้านหลัง แถมยังรู้สึกว่ามันอยู่เหนือศีรษะฉันขึ้นไป พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็น พี่ไมเนอร์ ทันใดนั้นหัวใจของฉันที่เต้นเป็นปกติอยู่นั้นมันก็รู้สึกได้ว่ากำลังเต้นแรงและหนักหน่วงกว่าทุกที
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้รุ่นพี่แต่กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาเป็นนาที
“ไหนบอกว่าจะชวนมากินข้าวไง” เขาพูดแล้วก็ยิ้มหวานส่งมาให้ ทำเอาหัวใจฉันมันอ่อนปวกเปียกไปหมด
หันซ้ายหันขวามองเพื่อนก็เห็นว่าพวกมันกำลังซื้อข้าวของตัวเองไม่ได้สนใจตรงนี้แต่พี่ไมเนอร์ดันหันไปมองด้วยแล้วก็เอ่ยปากถามอย่างสงสัย
“มากับแฟนเหรอ”
“ปะ...เปล่า มากับเพื่อนค่ะ”
พอฉันตอบเขาก็ยิ้มก่อนจะยื่นเงินให้แม่ค้าไป แต่จังหวะที่เขาโน้มตัวไปข้างหน้านั้นตัวเขาก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ฉันด้วยจนหน้าแทบซุกอยู่ตรงแผงอกกว้างภายใต้ชุดนักศึกษานั้น ได้กลิ่นหอมจากๆ จากตัวเขาเล่นเอาใจสั่น
“ของน้องเขาด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“วันนี้เลี้ยง วันหลังไปเลี้ยงพี่ด้วยนะ” เขาบอกพร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจอีกเช่นเคย ก่อนจะหยิบเอาชามของตัวเองแล้วหมุนตัวเดินออกไป ทิ้งให้ฉันยืนนิ่งอยู่คนเดียว
มาทิ้งระเบิดให้หัวใจเต้นโครมครามแล้วก็จากไปอย่างนี้เลยเหรอ แต่ก็ดีแล้วขืนอยู่นานกว่านี้คงได้หัวใจวายตายแน่ แล้วพวกเพื่อนมันก็จะถามไม่เลิก โชคดีที่ร้านพวกมันอยู่ตรงกันข้าม เลยไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
----------------------
มาแล้วค่าพี่ไมเนอร์คนชอบอ่อย