ตอนที่ 1
หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รับรู้ว่าตัวเองต้องเข้าประกวด ทุก ๆ เย็นฉันจะต้องมาซ้อมเดิน ซ้อมตอบคำถามและทำการแสดงกับกาย จนเราสองคนสนิทกันมากขึ้น
ฉันเลือกการแสดงเป็นเล่นเปียโน ส่วนกายจะร้องเพลงสากลคู่กัน เวลาซ้อมพวกเราจึงต้องใช้หอประชุมของคณะที่มักจะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และจัดละครเวทีบ่อย ๆ แต่หากว่าวันไหนที่ไม่มีกิจกรรมมันก็จะเงียบมาก แถมยังมืดจนน่ากลัวเลย
โชคดีที่พี่บ๊วยพาพวกรุ่นพี่จะมาอยู่เป็นเพื่อน ชมการแสดงของพวกเราทุกวัน เลยทำให้มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ แล้วยังมีบางวันที่ยัยจินกับน้ำค้างมาดูฉันซ้อมด้วย
“ยัยระริน วันนี้พวกเราไม่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนนะ ฉันต้องกลับบ้านส่วนยัยน้ำค้างก็ไปทำงาน”
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนวิชาสุดท้าย พวกเราลงจากตึกมาที่ลานจอดรถเพื่อที่จะแยกย้ายกลับหอ แต่มีแค่ฉันที่ต้องอยู่รอซ้อมเพราะปกติฉันต้องกลับบ้านหลังเลิกเรียน ช่วงนี้จึงกลับบ้านดึกบ่อย ๆ แต่เพราะมีรถที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญตอนสอบติดเลยไม่ลำบากเท่าน้ำค้างที่มันต้องใช้มอเตอร์ไซค์เดินทางดึกดื่นหลังเลิกงานกลางคืน
“ไม่เป็นไร ฉันรู้แล้ว”
“ขอรุ่นพี่สิ อย่ากลับดึกมาก” น้ำค้างบอกด้วยความเป็นห่วง
“อืม วันนี้แค่ซ้อมเดิน กับการแสดงนิดหน่อย คงไม่ดึกมากหรอก”
อย่างที่บอกว่าฉันเคยผ่านการทำกิจกรรมแบบนี้มาบ้างแล้วมันเลยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าถามถึงความสมัครใจกับความมั่นใจที่น้อยนิดคงเลือกไม่ทำอะไรแบบนี้ดีกว่า
“กลับถึงบ้านแล้วก็บอก”
“จ้า คุณแม่” ฉันแกล้งว่ายัยจินเพราะมันเป็นพวกขี้บ่นกับฉันเหมือนเป็นแม่คนหนึ่งเลย
“เดี๋ยวแม่จะหยิกหูให้”
ฉันหัวเราะร่ากับท่าทางของยัยจินก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันตรงนั้น ส่วนฉันต้องเดินกลับเข้ามาในคณะเพื่อรอให้ถึงเวลานัดหมายกับพวกรุ่นพี่ที่เป็นพี่เลี้ยง แต่ดูเค้าว่าฝนกำลังจะตกจึงต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าจะรอที่ลานกิจกรรมไปเป็นที่หอประชุมของคณะแทน
ฉันเข้ามาด้านในที่เงียบสงบและมืดจนแอบน่ากลัว แต่พอเข้ามาด้านในกลับเห็นว่ามีคนเปิดไฟอยู่แล้วเพียงไม่กี่ดวง อาจจะเป็นรุ่นพี่ที่มารอก่อน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเพราะตอนนี้ไม่เห็นใครเลยสักคน
“เข้ามาทำไม”
ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อมีมือของใครบางคนมาจับที่ไหล่จากทางด้านหลัง พอหับขวับไปมองถึงได้โล่งใจที่เขาไม่ใช่ผี
แปลกแต่จริงที่ไม่เคยเห็นผีแต่ฉันกลัวยิ่งกว่าอะไร
“ตะ...ตกใจหมด”
พอตั้งสติได้คิดว่าหัวใจที่มันเต้นระส่ำจะหยุดลง แต่เปล่าเลยเพราะมันยังคงเต้นแรงกว่าเดิมเพราะคนที่อยู่กับฉันคนนี้คือรุ่นพี่หน้าตาดีในวันนั้น คนที่ชื่อว่า ‘ไมเนอร์’
แม้จะอยู่ในความมืดสลัวแต่ออร่าความหล่อเหลาของเขาก็ยังสว่างจ้าจนฉันรู้สึกราวกับถูกต้องมนตร์บางอย่างจากสายตาคมคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งตัว
“ออ มาซ้อมใช่ไหม พี่จำเราได้แล้ว”
“ค่ะ...”
“ยังไม่มีใครมานะ” เขาบอกแล้วหันซ้ายหันขวาช้า ๆ เหมือนกำลังมองหาคนอื่น “มาคนเดียวเหรอ”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน พวกบ๊วยมันมีสอบอยู่”
ฉันพยักหน้าให้กับคำพูดของเขาก่อนจะเดินตามพี่ไมเนอร์ไปยังเก้าอี้แถวกลาง ๆ ที่มีไฟสว่างพอ นึกสงสัยอยู่ว่าทำไมเป็นเขาที่มาอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมาดูเลยสักครั้ง
“พอดีพี่มาหาของในหอประชุมน่ะ กำลังจะออกไปแต่เจอเราพอดี” เขาบอกราวกับว่าอ่านความคิดของฉันได้ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะส่งยิ้มหวานมาให้อย่างเป็นกันเอง
ทำไมเขาน่ารักจัง
“ออ ค่ะ รินรอซ้อมเห็นหอประชุมเปิดไฟเลยเข้ามา ถ้าปกติจะไม่กล้าเข้าเพราะมันมืด” ฉันบอกแล้วยิ้มให้เขา
เราสองคนนั่งข้างกัน พี่ไมเนอร์เป็นคนที่ดูเหมือนจะพูดมากแต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่ขนาดนั้น เขาคงจะพูดมากแค่กับคนที่สนิทกันเท่านั้น
“เราชื่อระริน ใช่ไหม”
“ค่ะ พี่ก็ชื่อไมเนอร์ ใช่ไหม” ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ทั้งที่รู้ดีเพราะอยากรู้ชื่อเขาตั้งแต่แรกเจอ ได้ยินรุ่นพี่พูดถึงบ่อยจนอยากเห็นหน้าเขาอีก แค่ไม่เคยเห็นพี่ไมเนอร์มาที่นี่ หรือแม้แต่ในคณะก็ไม่เคยเจอ
เท่าที่รู้มาเขาเป็นสโมสรนักศึกษา แถมยังเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขางานยุ่งและไม่ค่อยเข้าคณะเท่าไร หรือเข้ามาตอนเรียนแต่ฉันไม่เคยโชคดีได้เจอ
“รู้จักชื่อด้วยเหรอ” เขาเอียงหน้ามองแล้วยิ้ม
วินาทีที่เราสบตากันราวกับโลกมันหยุดหมุนไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ทำไมสายตาของเขาถึงมีอิทธิพลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจขณะนี้ ยิ่งรอยยิ้มเชิงสงสัยนั่นยิ่งทำให้รู้สึกเขิน
“ถ้าไม่รู้จักชื่อเลยจะกล้าเดินเข้ามานั่งด้วยเหรอคะ” ฉันพูดพลางหัวเราะ
“เออ เนอะ แล้วนี่เราเรียนอยู่สาขาอะไร”
“โฆษณาค่ะ พี่ล่ะคะ”
“เหมือนกัน”
“หา!” ฉันเบิกตาโพลงเพราะตกใจกับคำตอบของเขา
เรียนสาขาเดียวกันแต่ไม่เคยเห็นพี่ไมเนอร์เลยสักครั้ง เขาต้องเป็นคนแบบไหนถึงไม่เห็นหน้าในคณะเลย
“ตกใจอะไร” เขายิ้ม
“ก็ไม่คิดว่าจะเรียนสาขาเดียวกัน เพราะไม่เคยเห็นหน้าพี่” พูดจบฉันก็หลบสายตาคู่นั้นกลับมา รู้สึกว่ามันอันตรายต่อหัวใจเหลือเกิน
“ไม่ค่อยมีเรียนแล้ว อยากจบสามปีครึ่งแต่จบไปก็คงเบื่อข้างนอกเปล่า ๆ ” เขาพูดกลัวขำ “คิดยังไงมาประกวดดาวเดือน”
“รินไม่เหมาะใช่ไหม” ฉันพูดพลางหัวเราะเบา ๆ “ก็รุ่นพี่เขาเลือกก็ต้องทำไง”