“เป็นอะไรยัยระริน หน้าแดง”
“หา!” ฉันรีบยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองที่มันยังร้อนไม่หาย นี่ขนาดว่าตัวเขาไม่ได้อยู่บริเวณนี้แล้วนะ “ร้อน”
“ไม่สบายหรือเปล่า” น้ำค้างถามแล้วมองหน้าฉันด้วยความเป็นห่วง “แกซ้อมหนักทุกวันขนาดนี้”
“คงมีนิดหน่อยเดี๋ยวกินยาเอา”
“ประกวดอาทิตย์หน้านี้แล้ว สู้ๆ นะ ถ้าติดหนึ่งในสามจะเลี้ยงเบียร์ลังนึง” ยัยจินว่า
“ร้านไหนเขาให้เข้า”
“โอ๊ย ไม่ยากค่ะสาวๆ มีอยู่ร้านนึงกินยันหว่างยังได้เลย” มันพูดอวดแล้วก็ตักข้าวคำโตเข้าปากด้วยความหิว
จินเป็นคนน่ารักแต่มันชอบทำตัวห้าวๆ พูดมาก แถมยังแซวผู้ชายเหมือนไม่จริงจัง แล้วมันก็บ่นว่าจีบใครไม่ติดก็เพราะท่าทางมันเล่นๆ แบบนี้ไงใครเขาจะคิดว่ามันเอาจริง
“งั้นก็จัดไป” น้ำค้างว่าแต่ถูกยัยจินสวนกลับ
“ไหนแกบอกว่าไม่ดื่ม”
“ก็ไปเที่ยวกับพวกแก”
“เดี๋ยวไปทำงานร้านเหล้าก็หัดดื่มกับเขาบ้างนะ” จินบอกเพื่อนแล้วก็หันมาหาฉันต่อ “แกต้องติดหนึ่งในสามเท่านั้นงั้นไม่เลี้ยง”
“คงไม่ได้เสียเงินแล้วมั้ง คณะอื่นเขามีแต่สวยๆ” ฉันบอกแล้วขำกับตัวเอง
“เท่าที่ดูแกก็ไม่แพ้ใครเลยนะ อย่ามาด้อยค่าตัวเอง คนกดไลค์ให้แกเยอะสุดด้วย” ยัยจินเอ่ยแล้วน้ำค้างก็พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าคะแนนจะตกก็อยู่ที่วันนั้นแกทำได้ดีแค่ไหน”
รูปที่ทางสโมสรนักศึกษาลงทางเพจของมหาวิทยาลัยนั้นยอมรับว่าถ่ายออกมาดูดีเลยทีเดียว คนก็แห่เข้ามาชมมากดไลก์รูปของฉันกันหมดไม่คิดว่าตัวเองจะไปถูกตาต้องใจใครขนาดนั้น บางคนถึงกับหาเฟสบุ๊คแล้วทักมาคุยเลยก็มี แต่ฉันก็ตอบไปตามมารยาทไม่ได้สานต่อกับใคร
“ไม่เชียร์ด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ไปสมัครงานใหม่ก็เพื่อแกเลยนะ กลัวต้องเริ่มงานวันนั้น” ยัยน้ำค้างบอกแล้วยิ้มให้ มาคิดดูว่าถ้าวันนั้นยัยน้ำค้างไม่ปฏิเสธอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้ที่มายืนจุดนี้ เพราะเพื่อนฉันมันน่ารักมากๆ
ส่วนยัยจีนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะไปแล้วถึงไม่ถูกคัดตัวถ้ามันไม่ถูกเลือกไปตรงนั้นก่อนคงเป็นอีกตัวเลือก แต่ช่างเถอะในเมื่อมันกลายเป็นฉันแล้วก็ต้องทำมันให้เต็มที่
ช่วงเย็นวันนี้ก็อีกเช่นเคย ฉันต้องมารอซ้อมพวกจินกับน้ำค้างก็ไม่ว่างมาดูฉันถึงต้องมารออยู่ที่หอประชุมคนเดียว ไม่รู้โชคชะตานำพาหรืออะไรเพราะวันนี้ฉันเจอพี่ไม่เนอร์อีกแล้ว ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามารอแต่มันกคิดไปแล้ว
“เจอกันอีกแล้ว” ฉันพูดเบาๆ แล้วยิ้มให้คนตรงหน้า เพราะเขาเดินมาจากอีกทางพร้อมกับถือกล้องตัวหนึ่งมาด้วย
“พี่จะเอากล้องมาคืนเพื่อน แล้วนี่พวกมันยังไม่มาเหรอ”
ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบพี่ไมเนอร์ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะชวนฉันไปนั่งในหอประชุม เขาเดินไปเปิดไฟไม่กี่ดวงแล้วเลือกที่นั่งตรงกลางระหว่างรอรุ่นพี่
“พี่ไมเนอร์ทำงานอะไรในสโมเหรอคะ” ฉันชวนคุยตอนที่เขานั่งลงข้างๆ
ชอบจังผู้ชายตัวหอม มันไม่ใช่กลิ่นฟุ้งเตะจมูกแต่มันหอมจางๆ ทุกครั้งที่เขาขยับตัว
“พี่อยู่ฝ่ายกิจกรรม”
“แล้วก็อยู่ชมรมฟุตบอลด้วยเหรอ” ฉันถามเพราะคุ้นๆ ว่าเขาเคยบอกครั้งหนึ่งตอนที่เราคุยกันผ่านข้อความทุกวัน แต่พอมานั่งคุยกันใกล้ๆ แบบนี้มันไม่ค่อยชินเลย ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“อืม ซ้อมเกือบทุกวันนะ ไม่ไปดูบ้างเลย” เขาพูดแล้วหันมามองหน้าจนฉันต้องรีบเบือนหน้าหนีกลับไปที่หน้าเวทีแทนเพราะไม่กล้าสบตาเขานานหัวใจเต้นโครมครามจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“รินซ้อมทุกวันไง”
“ออ ลืมไป” พี่ไมเนอร์เอ่ยแล้ววินาทีต่อมาเขาก็ทำให้ฉันตกใจ เมื่อมือใหญ่ของเขาขยับมาวางบนศีรษะของฉัน “เหนื่อยไหม”
บอกตามตรงฉันหวั่นไหวกับการกระทำและเสียงเข้มของเขาที่ดังออกมาแบบนั้นมาก ราวกับตกลงไปในเหวลึกที่มองไม่เห็นทางออกเห็นแต่ตัวเขาอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“นิดหน่อยค่ะ” ฉันหันไปยิ้มให้เขาขณะที่หัวใจก็เต้นแรงและเร็วไปด้วย
พอเราหันมาสบตากันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นราวกับเขามีแรงดึงดูดมหาศาล สายตาคู่นั้นมันสื่อถึงความต้องการบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่รู้จักชื่อ
ครืด~
ก่อนที่ความรู้สึกประหลาดนั้นมันจะก่อตัวจนทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิด เสียงหนึ่งก็ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ได้ ฉันรีบล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดรับสาย พี่ไมเนอร์ก็ขยับตัวนั่งท่าเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาแทบจะขยับมาชิดตัวฉัน
“คะพี่บ๊วย”
(หนูลูก พี่จะบอกว่าเย็นนี้งดซ้อมนะคะ พอดีอาจารย์มีสอบไม่บอกกันล่วงหน้า ระรินไปซ้อมเปียโนที่บ้านเนอะ อย่างอื่นหนูก็ผ่านหมดแล้ว)
“ออ ได้ค่ะ”
(งั้นแค่นี้นะ พรุ่งนี้เรามาซ้อมหนักอีกวันแล้วพี่จะให้หยุดเสาร์อาทิตย์ไปเลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราจะล้าเอา)
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่”
พี่บ๊วยวางสายไปแล้วฉันจึงเก็บมือถือของตัวเองเข้ากระเป๋าสะพายก่อนจะหันไปบอกคนข้างตัวที่นั่งเงียบอยู่เหมือนรอให้ฉันบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
“วันนี้งดซ้อมค่ะ” ฉันบอกพี่ไมเนอร์ที่มองไปยังหน้าเวทีนิ่งๆ ไม่รู้คิดอะไรอยู่
บางครั้งเขาก็ดูร่าเริงผิดปกติแต่บางทีก็เหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดมากๆ ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาอะไรมากมาย รู้แค่เรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันในช่วงที่เราคุยกันเท่านั้นว่าตัวเขาอยู่ไหนทำอะไรตลอดเวลาที่เขาพิมพ์ข้อความพวกนั้นคุยกัน
“งั้นเราก็ว่างไปดูหนังกับพี่แล้วสิ” เขาถามแล้วทำเป็นจะยิ้มก็ก็ยิ้ม
“...” ฉันเงียบเพราะคิดคำตอบไม่ออก ใจหนึ่งมันก็อยากไปอีกใจก็ยังไม่กล้าพอ
“เงียบแปลว่าไม่อยากไป”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ไปก็ได้นะกำลังเบื่อๆ” ฉันรีบบอกเพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องสนใจความรู้สึกเขาขนาดนั้นด้วย
คำที่รุ่นพี่บอกไว้ ไหนจะเรื่องที่ได้ยินผ่านหูว่าพี่ไมเนอร์ไม่เคยคบใครจริงจังเลยสักคนมันก็วนเวียนอยู่ในความคิด แต่ใจมันเรียกร้องว่าอยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง จิตใจทั้งด้านมืดและด้านสว่างมันตีกันรวนไปหมด
“แต่ถ้าเราไม่อยากไปพี่ก็ไม่บังคับนะ ถ้าเราไว้ใจอยากไปกับพี่เมื่อไหร่ค่อยไปก็ได้” เขาบอกเหมือนไม่คิดอะไรพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เอารถพี่ไปหรือรถหนู” ฉันตัดปัญหาด้วยการถาม
เขายิ้มแล้วยื่นมาขยี้ผมของฉันจนยุ่งก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมของตัวเอง
“เอารถพี่ไป จอดอยู่ลานหลังคณะ”
“ค่ะ”
———————-
เก่งนะคะคุณพี่ ลูกสาวชั้นหลงทางแล้ว