Chapter 2
สุดรัก...สุดร้าย (2)
หากไม่ติดว่าหมอนั่นคือ ศาตรา ลูกชายมหาเศรษฐีที่เขารู้จัก เขาอาจลุกไปตะบันหน้าไอ้ไก่อ่อนนั่นจนล้มกลิ้งข้าวเม่า แต่เพราะสถานะทางสังคม คนแบบเขาจำต้องคีพลุค เขาไม่อาจทำลายภาพพจน์ตัวเองได้
แก้วไวน์ถูกบีบจนแน่น แรงบีบยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนมือแกร่งเกร็งสั่น เขาไม่รู้ตัวว่านั่นคืออาการของการหวงแหนสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง...ในบางคน...พิษรักแรงหวงอาจทำให้บ้าบิ่นในสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นมาได้ สำหรับภูดิศแล้ว เขาลืมตัวว่าวัตถุในมือที่กำลังออกแรงบีบเคล้น
จนเต็มแรงนั้นไม่ใช่ก้อนดินที่จะแตกสลายคามือได้ง่าย ๆ ท่ามกลางในหัวที่มีเสียงตะโกนก้อง ใจเขาพร่ำซ้ำ ๆ
เขาและภริตาผูกพันกันแน่นแฟ้น ตลอดสิบเจ็ดปีมานี้คือความพันผูก ไม่มีใครจะพรากหล่อนไปจากเขาได้ เพียงแค่คิดว่าวันข้างหน้าจะมีใครสักคนมาดูแลหล่อนแทนเขา เขาก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกคล้ายกำลังถูกฉุดลงใต้น้ำ พะอืดพะอมอยากอาเจียน ความรู้สึกแสนเลวร้ายจากความสูญเสียในอดีตถาโถมเข้ามา...เขาไม่ไหวแล้ว
โพล๊ะ!
เสียงเหมือนอะไรบางอย่างถูกทุบจนแตกละเอียด...ทุกคนต่างมองหาที่มา...ภูดิศยกมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดขึ้นมาตรงหน้า เขาเห็นเศษแก้วน้อยใหญ่ทิ่มตำอยู่ทั่วอุ้งมือ...บนโต๊ะ...สีแดงคล้ำนั้นไม่รู้ว่าเลือดหรือน้ำไวน์กันแน่ มันปะปนกันไปหมด
“คุณภูมิ!”
หลายคนต่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น...หากแต่เจ้าตัวยังคงนิ่งเฉย สีหน้าเขาราบเรียบคล้ายไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดนั้น เลือดที่ยังคงไหลซึมออกมาตามรอยแผล ทำให้มีคนปราดไปบอกพนักงานว่าให้รีบโทร.เรียกรถพยาบาล
ท่ามกลางเสียงฮือฮาอื้ออึง...ภริตาหยุดเคลื่อนไหวแล้วหันไปมอง เห็นคนกำลังรายล้อมอยู่รอบกายภูดิศ...เกิดอะไรขึ้นกับเขา...คิดพลางยันกายออกห่างจากคู่เต้นรำ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหา สองมือแหวกฝ่าวงล้อมเข้าไปตรงกลาง
“คุณอา!”
ภริตายกมือขึ้นปิดปาก แววตาคู่สวยเบิกกว้าง...เลือดแดงสดเต็มอุ้งมือทำให้ใบหน้าหน้าสวยซีดเผือด รู้สึกเสียววาบไปถึงปลายเท้า ไม่กล้ามองบาดแผลนั้น
“เขาเป็นอะไรคะ โดนอะไรมา!”
มองไปที่ใครต่างก็ส่ายหัว ไม่มีใครให้คำตอบหล่อนได้ แม้กระทั่งตัวเขาเอง เขายังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำแม้จะถูกคาดคั้นด้วยสายตาขี้สงสัยหลายสิบคู่ จนกระทั่งพนักงานวิ่งถือผ้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น ทุกคนไม่ใช่หมอจึงงก ๆ เงิ่น ๆ ทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงพันผ้าไปรอบ ๆ มือเพื่อช่วยห้ามเลือดเอาไว้ก่อน ระหว่างที่รอรถพยาบาล
รอได้ครู่ใหญ่เสียงหวอก็ดังมาแต่ไกล คนเจ็บถูกนำ
ตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำแผล...พรุ่งนี้คงกลายเป็นข่าวให้ถูกพูดถึง แม้ภริตาจะชาชินกับการกลายเป็นคนในข่าว แต่หล่อนก็เป็นกังวล ไม่อยากให้ภูดิศถูกพูดถึงในทางที่ไม่ดี แน่นอน...เหตุที่เกิดขึ้นวันนี้หลายคนคงตั้งคำถาม อาจมีคนหาว่าเขาไม่ปกติ คนที่จ้องจะโจมตีเขาอยู่แล้ว
ดึกมากแล้ว...แสงไฟในคฤหาสน์ส่วนตัวของภูดิศยังคงส่องสว่าง ตรงมุมรับแขกแสนโอ่โถงยามนี้เต็มไปด้วยญาติ ๆ ของภูดิศที่แจ้นมาถึงที่นี่หลังทราบข่าวไม่ค่อยดี ท่ามกลางสายตาที่รายล้อม คนเจ็บตีสีหน้าเบื่อหน่าย รู้สึกว่าชักจะวุ่นวายกันมากไปแล้ว
เขาไม่ชอบให้ใครมาแสดงความเป็นห่วง โตแล้ว ไม่ใช่เด็กที่ต้องให้คนมานั่งปลอบประโลม
ภริตาเองก็อึดอัดไม่ต่างกัน สายตาทุกคู่ยามโฟกัสมายังเธอนั้น บอกให้รู้ว่าพวกเขาคิดเช่นไร
เพราะเธอมันคือตัวซวย...อ่านใจพวกเขาได้แบบนี้จริง ๆ
“เธอไปกับเขาแท้ ๆ แต่ทำไมจึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้”
“นั่นน่ะสิ ทำไมไม่ดูแลเขา”
“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าแก้วมันแตกเอง...บางที...มันอาจเป็นเรื่องไสยศาตร์ก็ได้"
เขาทำเป็นติดตลก ไม่เข้ากับสีหน้าที่ราบเรียบของตัวเองเลยสักนิด
"ตลกมากนักเหรอ พวกเราไม่ตลกด้วยหรอกนะตาภูมิ ก็ไม่ได้ว่าอะไรหากนายจะเข้าข้างหนูอุ่นจนออกนอกหน้า"
"เอาเถอะ กลับกันไปได้แล้วครับ ผมอยากพักผ่อน!”
เจ้าของบ้านโพล่งแทรกขึ้นมาเมื่อภริตากำลังตกเป็นเป้า ร่างสูงลุกพรวดขึ้นพลางชักสีหน้ารำคาญ เดินแทรกผ่านทุกคนไปโดยไม่สนใจรับความเป็นห่วงใด ๆ ทั้งสิ้น
“ตาภูมิ พวกเราต่างแหกขี้ตากันมาที่นี่ด้วยความเป็นห่วงนะ หัดมีมารยาทบ้างสิ จะเป็นตายยังไงสุดท้ายก็ไม่พ้นญาติพี่น้องอยู่ดี”
หนึ่งในนั้นตะโกนไล่หลัง เช่นเคย...เขายังคงหยิ่งผยอง ไหล่ผึ่งผายไหวเล็กน้อยคล้ายไม่รู้สา เขาทำเป็นโบกไม้โบกมือคล้ายกับไล่แมลงหวี่อันแสนน่ารำคาญ
“เธอก็เหมือนกันน่ะอุ่น ขึ้นห้องไปนอนได้แล้ว”
คำสั่งนั้นทำให้ภริตาละล้าละลัง เหตุเพราะต้องการอยู่รอให้ทุกคนกลับก่อน กลัวจะถูกหาว่าเสียมารยาทที่เจ้าของบ้านไม่มีใครอยู่ส่งแขกเลยสักคน...ท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังตึงเครียด ภูดิศก็หายตัวขึ้นข้างบนไปเสียแล้ว หลายคนต่างส่ายหัวให้กับความโอหังนั้น...เขาหยิ่งยโสเกินไป ใช้ชีวิตแบบตัดขาดกับญาติพี่น้องทุกคน
“พอจะบอกได้มั้ยคะ อยู่ดี ๆ ก็บีบแก้วเล่นทำไม”
คำถามดังอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของภูดิศ...บนเตียงกว้าง ชายหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนที่ซ้อนกันอยู่หลายใบ มีภริตานั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน
เขาส่งสายตาแทนคำตอบ สีหน้าของเขา การมองของเขา..คล้ายจะบอกว่าหล่อนทำผิด และเขาก็โกรธมาก ๆ ด้วย ภริตาอ่านใจเขาได้แบบนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดีว่าทำให้เขาโกรธด้วยเรื่องอะไร...ทั้งที่พยายามแล้ว พยายามที่จะเป็นคนน่ารักที่อยู่ในโอวาทเสมอมา
ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่พูดหล่อนก็จะไม่เซ้าซี้ มือนุ่มจับมือข้างที่พันผ้าไว้จนทั่วมาพิจารณา ดูเหมือนเขาจะใช้มือข้างขวาไม่ได้ไปอีกหลายวัน แค่นี้หล่อนก็ใจคอไม่ดี เมื่อ
เห็นเขาบาดเจ็บแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะค่ะ อุ่นไม่รบกวนคุณอาแล้ว”
นั่นคือความเคยชินตลอดสิบเจ็ดปีมานี้ ตั้งแต่จำความได้ เขาก็ให้หล่อนเรียกแบบนี้ แม้ใคร ๆ จะเข้าใจว่าหล่อนอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาวบุญธรรมของเขา และตอนนี้ทุกคนต่างจับตามอง ใคร...ที่จะก้าวเข้ามาเป็นแม่เลี้ยงให้กับเธอ คือคนที่ภูดิศเลือกจะแต่งงานด้วย หลายคนเห็นว่าเขาควรหาแม่ของลูกได้แล้ว อายุอานามอีกไม่นานก็จะเหยียบสี่สิบอยู่รอมร่อ
ดูเหมือนคีติกาจะมาแรง เธอคนนั้นสนิทสนมกับเขามากกว่าใคร จะว่าเป็นคนรู้ใจก็ไม่ผิดนัก ภริตามองไม่เห็นใครที่จะเหมาะสมกับเขามากกว่าคนที่กำลังนึกถึงอีกแล้ว
ระหว่างที่กำลังจะขยับกายลุกออกจากเตียงนอน เขาก็กางแขนทั้งสองข้างมาด้านหน้า...ภาษากายที่ทำให้ ภริตารู้ได้ทันที...หล่อนคลี่ยิ้มเป็นเด็กเล็ก ๆ นานแค่ไหนกันนะที่ไม่ได้ทำแบบนี้
อาจจะเป็นปีได้แล้วกระมัง คิดยามขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ร่างนุ่มเอนกายซุกซบนอนลงไปอย่างว่าง่าย พาดแขนกอดเกี่ยวอกแกร่งเอาไว้...คล้ายโหยหา...เขาโอบรัดร่างอุ่นจนเต็มอ้อมกอด
นั่นคือความคุ้นเคยและคุ้นชินตลอดสิบเจ็ดปีมานี้...นับตั้งแต่วัยเยาว์หล่อนจะหลับไปในอ้อมกอดนี้เสมอ มาห่างกันก็เมื่อหนึ่งปีมานี้...คล้ายกับเขาคิดเหมือนที่หล่อนคิด...หล่อนโตแล้ว บางสิ่งที่เคยทำก็ควรเลิกมันไปเพื่อความเหมาะสม นั่นทำให้ระยะห่างมีมากขึ้น
คราวนี้จึงรู้สึกปร่าแปร่ง ความรู้สึกไม่ต่างไปจากยามเขาจูบลาก่อนเข้านอน...ภายใต้วงแขนกว้าง...ภริตานอนนิ่งใจสั่นไหวอีกแล้ว ความรู้สึกนี้ แบบนี้ มันคืออะไร หล่อนได้แต่ครุ่นคิดถึงมัน
ทุกครั้งยามที่กระโจนเข้าหาอ้อมกอดนี้ หล่อนจะหลับก่อนเขาเสมอ แต่คืนนี้ไม่ใช่ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอ เปลือกตาที่ปิดสนิท บอกหล่อนให้รู้ว่าเขากำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา หากแต่ก็ยังคงกอดหล่อนเอาไว้ ทำเหมือนหล่อนเป็นหมอนข้างนุ่ม ๆ บนเตียงของเขา
หล่อนค่อย ๆ ยกแขนออกจากกายแกร่ง ยกมือขึ้นสูง ทาบหลังมือเข้ากับหน้าผากของเขา อยากพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ไข้ขึ้นเพราะพิษบาดแผล อุณหภูมิของร่างกายที่ยัง
ปกติ ค่อยทำให้หล่อนเบาใจ
เมื่อนั้นจึงค่อย ๆ ขยับกายออกจากอ้อมกอดอบอุ่น พาร่างลงจากเตียงอย่างเบาที่สุด...คืนนี้หมดหน้าที่ของหล่อนแล้ว...คิดขณะค่อย ๆ หันหลังให้เขาเพื่อกลับห้อง นอนของตน
หากแต่ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อข้อมือเล็กถูกคว้าเอาไว้ ปากเขาก็เอ่ยออกมาทั้งที่ยังหลับตา
“จะไปไหน...”
คำถามนั้นแสนเบาหวิว แค่คำเดียวสั้น ๆ ที่ทำให้หล่อนต้องหันกลับไปทางเก่า จับจ้องใบหน้าคมคร้ามเพราะคิดว่าเขาตื่น แต่เปล่าเลย เขายังคงนอนนิ่ง และหลับตาอยู่อย่างนั้น คล้ายกับว่าที่คว้าข้อมือหล่อนไว้นั่นคืออาการของคนละเมอ
แทนคำอ้อนวอน...เขาดึงรั้งข้อมือเล็กให้ถลากลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง คราวนี้หล่อนสูญสิ้นอิสรภาพ เพราะถูกสองแขนแข็งแรงรวบกอดเอาไว้จนแน่น...มันแน่นกว่าครั้งก่อนจนรู้สึกได้ หากแต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา ภริตาสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ยังคงราบเรียบ จนเชื่อว่าเขาทำลงไปเพราะไม่รู้ตัว
ไม่อาจรู้หรอกว่ามันคือเล่ห์มารยา หรืออาการของคนละเมอกันแน่ มันช่างแนบเนียนจนหล่อนแยกไม่ออก
ไฟในห้องที่ยังคงส่องสว่าง ทำให้แววตากลมโตสบกับภาพถ่ายที่ถูกใส่กรอบตั้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง...คนสองคนขนาบซ้ายขวา เด็กชายหน้าตาน่าชังนั่งอยู่ตรงกลาง เป็นภาพครอบครัวแสนอบอุ่นที่ทำให้คนมองคลี่ยิ้มออกมาได้ แต่...มันก็อยู่ได้ไม่นาน
หล่อนคิดย้อนกลับมาถึงตัวเอง หล่อนไม่มีโมเม้นท์นั้น ภาพถ่ายครอบครัวแสนอบอุ่น...เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าสวยก็ฉายความเศร้าออกมา และถ้อยคำของแสงเดือนก็แวบเข้ามาวนเวียน
คนรับใช้ของเขาเคยหลุดปาก...มารดาของหล่อนยังมีชีวิตอยู่ ภูดิศนั้นรู้ดี และเมื่อหล่อนเฝ้าวนเวียนถามหาความจริง คนในบ้านของเขาก็เหมือนจะเป็นใบ้ ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับหล่อนอีก คล้ายกับกลัวว่าหากพูดออกมาแล้วจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อีก ทุกคนดูเหมือนจะกลัวภูดิศมาก และนี่คือปริศนาที่ทำให้หล่อนเฝ้าตามหาที่มาที่ไปของตัวเอง