Chapter​ 3 ความลับ​ (1)

1642 Words
Chapter​ 3 ความลับ​ (1) สิบเจ็ดปีก่อนหน้า... วิชัยยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง​ บ้านไม้หลังนั้นกำลังถูกลามเลียจากฤทธิ์ของเปลวเพลิง​ แววตาตื่นตกใจเพ่งมองเข้าไปในนั้น...ที่ตรงนั้น...ไฟร้อนกำลังแผดเผาอย่างบ้าคลั่ง​ เขารู้สึกแสบร้อนไปตามใบหน้าและลำตัว​ ท่ามกลางเสียงเผาไหม้และทำลายล้าง​ ใจเขาเต้นแรงเพราะความตื่นกลัว​ ท่ามกลางคำถาม...ใครจุดไฟเผาบ้านหลังนี้ เขาเตรียมจะพรวดพราดเข้าไปตามเจ้านายในบ้านหลังนั้น​ หากแต่ว่าก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยชายในชุดซาฟารี "คุณรออยู่ตรงนี้นั่นแหละ​ เดี๋ยวพวกผมเข้าไปดูท่านประธานเอง" "ให้ผมเข้าไปดีกว่า​ เพราะคุณภูมิกำลังต้องการความช่วยเหลือ!" "มันอันตรายเกินไปสำหรับคุณ!" หนึ่งในนั้นชี้แจง​ เขาคือผู้เสียสละที่จะฝ่าเปลวเพลิงเข้าไป​ ยามนี้ไฟร้อนค่อยๆ​ กัดกินเนื้อไม้เข้าไปเรื่อยๆ​ ทุกคน ต่างร้อนรน​ ห่วงเจ้านายไม่ต่างกัน "ท่านประธาน!" ยังไม่ทันดาหน้ากันเข้าไป​ ร่างสูงในชุดดำก็ก้าวเดินเร็ว ๆ​ ออกมา...ในวินาทีเฉียดฉิว​ที่ภูดิศเดินพ้นออกมาจากตรงนั้น เศษไม้ที่ไหม้ไฟก็ร่วงครืนตามหลัง​ มันเฉียดร่างชายหนุ่มแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น ภูดิศหันไป​มอง...ถือว่าเขายังโชคดีที่ออกมาทัน​ สองแขนกระชับร่างเล็ก ๆ​ ในอ้อมกอดจนแน่น ทุกคนต่างผ่อนลมหายใจโล่งอก​ เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มกลับออกมาในสภาพเดิม​ครบสามสิบสอง​ สายตาทุกคู่โฟกัสไปที่หน้าหล่อ ๆ​ กลัวจะเสียโฉมเพราะเปลวเพลิงเสียแล้ว "อุแว้ ๆ" เพราะเสียงทารกร้อง​ ทุกคนจึงเพิ่งสังเกตเห็น​ นายของตนไม่ได้ออกมาเพียงลำพัง​ แต่ในอ้อมกอดนั้นยังโอบอุ้มร่างน้อย ๆ​ ที่กำลังแผดเสียงร้องไม่หยุด เดาเอาว่าน่าจะเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นาน "คุณภูมิ! เกิดอะไรขึ้นครับ" วิชัยมีสีหน้าเลิ่กลั่ก​ เขาไม่รู้ว่าเจ้านายอุ้มลูกใครมา​ และกำลังจะทำอะไรต่อไป​ หากแต่ภูดิศไม่ตอบ​ เขาพยัก พเยิดให้บอดี้การ์ดเดินไปเปิดประตูรถ...เช่นกัน...ไม่มีใครสนใจว่าบ้านหลังนั้นกำลังถูกไฟไหม้จนแทบจะพังอยู่รอมร่อ "ไปจากที่นี่กันได้แล้ว​ ก่อนที่ตำรวจจะแห่กันมา" "คุณภูมิครับ​ จะเอาเด็กไปไหน!" วิชัยยังคงอยากรู้​ เขามองตามร่างเจ้านายที่อุ้มเด็กขึ้นไปนั่งบนรถ​ แต่ก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน​ และก็ไม่กล้าซักไซ้อีก​ รู้ดีว่าเจ้านายเกลียดการเซ้าซี้มากแค่ไหน ท่ามกลางความมืด​ กลุ่มเปลวไฟยังคงลุกโชน​ ยามล้อรถกำลังพาเขาเคลื่อนที่ห่างออกมาจากตรงนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ​ ภูดิศอดที่จะหันไปมองเป็นครั้งสุดท้าย​ไม่ได้...เขาบดกรามจนเป็นสันนูน​ แววตาแดงก่ำสั่นระริก​ เมื่อได้รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอิทธิพลของใครบางคน... ภูดิศทะลึ่งพรวดขึ้นมาจนสุดตัว...ฝัน...เขาฝันถึงอดีตอีกแล้ว​ และทุกครั้งมันจะทำให้เขาต้องสะดุ้งตกใจตื่น​ และการที่เขาพรวดพราดลุกนั่งพร้อมกับหายใจถี่แรง​ ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ​ เตียงต้องถลาลุกขึ้นมาดู "ฝันร้ายเหรอคะ" เขาเหลือบตามองคนถาม...จ้องหน้าหล่อนราวกับมีเรื่องในใจ...ก่อนจะผ่อนลมหายใจแรง ๆ​ แล้วเหลียวมองไปรอบ ๆ​ ​ห้อง​ พยายามสลัดเรื่องราวในฝันออกไป เก้าอี้ตัวนั้นทำให้เขาสงสัย...หล่อนไปนั่งอยู่ตรงนั้นทำไม "อย่าบอกนะอุ่น​ เธอนั่งเฝ้าอาจนไม่ได้นอนทั้งคืน" "ทำไมคิดแบบนั้นคะ" "ก็นั่นไง​ เธอลากมันมา ทำเหมือนกับกำลังเฝ้าไข้คนป่วย" ภริตาหันไปมองตามสายตาเขา​ หล่อนคลี่ยิ้มใส่ตาคนบนเตียง "อุ่นเพิ่งนั่งเฝ้าคุณอาเมื่อเช้าค่ะ​ กลัวว่าจะไข้ขึ้น​ ก็เลย...คอยเช็ดตัวให้" นั่นคือความห่วงใยที่มาจากใจจริง​ หล่อนไม่รู้หรอก ว่า​ การกระทำนี้​ แบบนี้​ มันทำให้​ความรู้สึกเก่า ๆ​ ของเขาค่อย ๆ​ เปลี่ยนไป​ ยามที่ตาสองตากำลังจับจ้อง​ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี ภริตาเดินไปเปิดประตู...คนที่ยืนอยู่หน้าห้องไม่ใช่ใคร​ ศรุต​ เลขาคนสนิทของภูดิศ​ คนที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปี คือผู้ชายเพียงคนเดียวที่สอบผ่านด่านหินของภูดิศ​ ​หักหน้าสาว ๆ​ หลายคนที่อยากได้งานนี้​ ภูดิศเป็นคนคัดเลือกเลขาด้วยตัวเอง ศรุตเพิ่งมารู้ทีหลัง​ สาว ๆ​ พวกนั้นสอบตกตั้งแต่ด่านแรก​ เหตุเพราะทำข้อสอบง่าย ๆ​ ไม่ได้​ นั่นคือการเขียนคำว่า​ คะ​ และ​ ค่ะ​ ให้ถูกต้องกับรูปประโยค...ใครจะคิด​ว่าภูดิศจะ ออกข้อสอบแบบนี้ขี้นมา​ บางคนอาจไม่ซีเรียสที่ใช้ผิด​ แต่ท่านประทานของเขาค่อนข้างเข้มงวด​เป็นอย่างมาก มันจึงเป็นเหตุผลที่ใคร ๆ​ ก็ขำ​เวลาเขาบอกเหตุผลที่ได้งาน​ แต่ภูดิศมักย้ำเสมอ​ เพราะศรุตมีคุณสมบัติที่ดีพร้อม​ ไม่ใช่ได้มาเพราะสาว ๆ​ พวกนั้นสอบตก "โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ​ ฉันรอนายทั้งคืน​ มัวไปมุดหัวอยู่ไหนมา! " เสียงตำหนิข้ามหัวภริตามากระแทกหน้าศรุต​ จนสองหนุ่มสาวต่างสบตากันแล้วยิ้มเจื่อนออกมา...ภริตาหลุบตาลงต่ำ​ เห็นศรุตลากกระเป๋ามาถึงสองใบ "เขาหงุดหงิดที่อาบน้ำไม่ได้ค่ะ​" ภริตากระซิบกระซาบ หากแต่ศรุตนั้นหาได้สะทกสะท้าน​ เพราะเขาสนิทกับภูดิศจนรู้ซึ่งนิสัยใจคอไปเสียแล้ว ภริตาชะเง้อมองหาผู้ช่วย​ หล่อนกำลังคิดว่าเหตุใดคนในบ้านจึงปล่อยให้ศรุตลากกระเป๋าขึ้นมาเพียงคนเดียวแบบนี้ "พี่คิมลากกระเป๋ามาเองเหรอคะ​ เด็กในบ้านไปไหนกันหมด" "ก็มาส่งหน้าห้องนี้นั่นแหละ​ เพิ่งพากันกลับลงไป" ภริตาหันไปมองคนบนเตียง​ หล่อนเองก็ไม่รู้ว่าภูดิศจะให้ศรุตนอนห้องไหน​ ที่แน่ ๆ​ เลขาหนุ่มจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้านายจะหายดี เรียกว่าเอางานมาทำที่บ้านเลยก็ว่าได้ "ไปทำอะไรของเธอเถอะ​อุ่น​ อามีผู้ช่วยแล้ว" นั่นแหละเขา​ บทจะไล่ก็ไล่​ บทจะอ้อนก็อ้อน​ เขาเป็นแบบนี้มานานนม​ จนภริตาชินในความเข้าใจยากของผู้ชายคนนี้​ และยังมีผู้หญิงอีกคนที่คบกับเขาได้​ รู้ใจกันทุกเรื่อง...คีติกา และเขาไม่ชอบคนดื้อดึง​ เมื่อเอ่ยปากแบบนี้หล่อนก็ต้องออกไปก่อน​ ​ปล่อยเขาไว้กับเลขาเพียงลำพัง​ และที่หล่อนไม่อยากรบกวนเพราะทุกนาทีของภูดิศนั้นมีแต่เรื่องธุรกิจ​ เขาอาจจะอยากคุยกับเลขาเกี่ยวกับงาน ศรุตยิ้มให้ภริตาที่เดินผ่านหน้าออกไปข้างนอก...เมื่อคล้อยหลังเจ้าหล่อน​ เขาลากกระเป๋าเข้ามาเก็บในห้องเข้านายทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน​ แล้วปิดประตูตามหลัง "คุณภูมิเห็นข่าวหรือยังครับ" นั่นคือเรื่องแรกที่ศรุตอยากบอกเจ้านาย​ เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เล่นโซเชียลที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน "ข่าวเพี้ยน ๆ​ ของฉันน่ะเหรอ​" ศรุตล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ​ เปิดไปที่หน้าไอดีที่ชอบลงข่าวคนดัง...แน่นอน...เรื่องของภูดิศถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง​ หลาย ๆ​ คนตั้งเป้าว่าเขาจงใจทำร้ายตัวเอง "ผมไล่อ่านเม้นท์ดูแล้ว​ มีหลาย ๆ​ คนพูดถึงเรื่องความไม่ปกติของคุณภูมิ​" ภูดิศเหลือบตามองเลขา​ ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มข้างหนึ่ง "นายก็พูดมาตรง ๆ​ สิ​ คนพวกนั้นหาว่าฉันบ้า เสียสติตั้งแต่พ่อแม่ตาย​" "เอ่อ...คุณพูดเองนะครั​บ​ ผมแค่บอกว่าคุณถูก กล่าวหาว่าไม่ปกติ...ลองเสพข่าวดูบ้างนะครับคุณภูมิ​ จะได้รู้ว่าสังคมพูดถึงคุณว่ายังไง" "ไร้สาระชะมัด​ เอาเก็บไปเถอะ" ภูดิศดันโทรศัพท์ที่ถูกยื่นมาจนใกล้หน้า​ให้ออกห่าง​ เขาไม่เคยใส่ใจอยู่แล้วว่าใครจะพูดถึงตนในแง่ไหนบ้าง "ฉันไม่สนคำพูดของคนพวกนั้นหรอก​นายก็รู้ ถ้าพูดแล้วทำให้เงินในบัญชีค่อย ๆ​ หายไป​ เมื่อนั้นฉันถึงจะแคร์​ ฉะนั้นเลิกเอาเรื่องไร้สาระมาใส่หัวฉันได้แล้ว" ศรุตเลิกเซ้าซี้​ ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ห่วงเจ้านายไม่น้อย​ รู้ว่ารอบข้างนั้นมีทั้งคนรักแล้วก็คนเกลียด​ บางทีญาติกันแท้ ๆ​ ก็ยังไว้ใจกันไม่ได้ เหตุที่เกิดขึ้นนั้น​ เขาพยายามจะเชื่อเจ้านาย​ ทำเป็นเชื่อว่าแก้วใบนั้นมันแตกเอง​ แม้นายของเขาจะถูกพูดถึงในทางเสียหายก็ตาม​ แต่เขาก็พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างเสมอ​ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภูดิศขยับกายลงจากเตียง​ เดินไปหยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง​ เขาแหวกม่านออกจากกันแล้วทอดสายตามองออกไปด้านนอก...เห็นคนสวนกำลังรดน้ำพรวนดินให้กับเหล่าแมกไม้​ ศรุตได้ยินเสียงถอนหายใจ "นายก็รู้ สิ่งที่ฉันต้องจัดการตอนนี้​มันสำคัญมากกว่าเรื่องคนจะมองว่าฉันเป็นคนยังไง​ สิ่งที่ฉันแคร์​ นั่นก็คือความรู้สึกของคนใกล้ตัว"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD