“ย้า” ปราบกระโดดออกมาจากพุ่มไม้หลังสุด เจ้าขาเบียดวิ่งอย่างทุลักทุเลมาข้างหน้า มือโบกข้างลำตัวสร้างความสมดุลให้ร่างกายจึงไม่ล้มจับกบก่อนจะถึงหน้ากล้อง จากนั้นก็เท้าเอวโยกไปโยกมาตามจังหวะ
“ทายาย้า” ปิ่นมุกกระโดดออกมาเป็นคนที่สอง ยิ้มสดใส ใครได้มองก็ต้องยิ้มตาม หนูน้อยวิ่งกระโปรงกระเด้งไปกระเด้งมา จนกระทั่งมายืนข้างๆ ปราบก็เต้นยึกยักส่ายเอว
“ทาลาล้า”
เด็กๆ อีกแปดคนที่เหลือทยอยกระโดดออกมาทีละคนจนกระทั่งครบแก๊ง จากนั้นทุกคนก็เต้นในจังหวะง่ายๆ เย็นๆ เหมือนไอศกรีม เครื่องแต่งกายทำให้ภาพที่ออกมาดูละมุนและน่ากินเพราะความนุ่มฟูของกระโปรง
“อ๊ายกีมมมมม” ปิ่นมุกได้รับบทให้ร้องนำในคำแรก เพราะปราบไม่ยอมพูดมากไปกว่าหนึ่งคำ
“หัวใจฉันเป็นอย่างไอศกรีม” ปกป้องร้องต่อ
จากนั้นทุกคนก็ร้องพร้อมเต้นไปด้วยกัน “รสนมหวานเย็นอย่างไอศกรีม ละลายเมื่อเราใกล้กัน...”
“รสอะไรนะ” เต๋าเต้ยร้องคนเดียวตรงนี้ เอียงตัวยกมือป้องหู เลื่อนตาดำไปมองทางซ้าย เป็นการแอคติ้งแบบมืออาชีพ จากฝีมือการสอนของลีดา ญาติสนิทที่อายุมากกว่าตนเองไม่กี่ปี
“มะพร้าวน้ำหอม” พลอยใสในชุดกระโปรงสีเขียวพาสเทล ประดับลูกมะพร้าวเล็กๆ ที่ผมสองจุกตอบเสร็จก็หมุนตัวสองรอบ จบที่ท่ากระดกขาหนึ่งข้าง
“รสอะไรนะ” เต๋าเต้ยชี้ไปยังไอศกรีมคนต่อไป
“องุ่น” แพรสวยในชุดสีม่วงตอบ จับกระโปรงถอนสายบัว
“ช็อกโกแลตสิ” นะโมแทรก ยืนกระดิกขากอดอกเต๊ะท่า
“สตรอว์เบอร์รี” น้ำมนต์ส่งจูบ ขยิบตา
“มะนาว” ทาโร่ทำท่ายิงยืนแล้วเต้นต่อ
“ชีส” นีโม่เอานิ้วโป้งสองข้างชี้ที่ตัวเอง
“คนนี้ล่ะ” เต๋าเต้ยชี้ไปที่ปราบ
เด็กน้อยทำหน้าขมขื่นเหมือนกินของเปรี้ยวจัดก่อนจะอ้าปากทำตาโตอย่างสดชื่น
“ยะกำ” ปิ่นมุกวิ่งมาจิ้มแก้มปราบและตอบแทนน้อง
“วานิลลา” เต๋าเต้ยในชุดสีครีม มีดอกวานิลลาติดผม ตบหน้าอกตัวเองแล้วหมุนตัวเหมือนสาวน้อยเต้นบัลเลต์
เสือสมิงอีกเก้าตัวชี้มาที่เต๋าเต้ย ร้องคำสุดท้ายเสียงดัง “หวานจัง...”
“สุดยอด ยอดเยี่ยมที่สุด” เอิร์ธกล่าวชม จากนั้นก็ถ่ายใหม่อีกสามครั้งเผื่อเก็บมุมสวยๆ
โฆษณาตัวนี้ถูกตัดต่อออกมาอย่างเพอร์เฟกต์ ร้านไอศกรีมของพยัคฆ์ได้รับความนิยมสำหรับคนที่มาเที่ยวแถวนี้ นอกจากรสชาติของไอศกรีม โฆษณาที่ดึงความสดใสน่ารักของเด็กๆ ออกมาพรีเซนต์แล้ว สิ่งหนึ่งที่คนมานั่งในร้านเห็นแล้วต่างชื่นชอบก็คือภาพถ่ายเบื้องหลังของแก๊งเสือสมิงก่อนแต่งหน้า โดยเฉพาะเสือหิวกับเสือโหยที่ยืนคนละด้านของเฟรม
ปกป้อง...มีคิ้วข้างเดียว และขนกระจุกเล็กๆ ตรงตำแหน่งคิ้วอีกข้าง
ปิ่นมุก...ผมหน้าม้ากุดติดตีนผม
แต่เด็กๆ โกรธกันได้ไม่นาน เดี๋ยวก็กลับมาดีกัน หรือดีกันได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ตีกันอีก มันวนเวียนอยู่แบบนี้ซ้ำๆ
*********
หลังจากการถ่ายโฆษณาตัวนั้นสองเดือน เด็กๆ ก็หมดสนุก ส่วนผู้ใหญ่โล่งอก เพราะในที่สุดก็จะเปิดเทอมเสียที
พลอยใสกับแพรสวยขึ้นชั้นป.3 ปกป้องขึ้นป.1 นะโมกับน้ำมนต์อยู่อนุบาลสอง คนที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นปิ่นมุกเพราะรอวันนี้มานาน อยากไปโรงเรียนอย่างพี่ๆ ถึงขนาดรบเร้าให้ภูผากับเฟย่าไปซื้อชุดนักเรียนให้ใส่อยู่กับบ้าน
นี่จะเป็นวันแรกที่ได้เข้าอนุบาลหนึ่ง
“พ่อจ๋า ต้องทามแบบนี้น้า” ปิ่นมุกดึงถุงเท้าขึ้นมาครึ่งแข้ง ทั้งซ้ายและขวา
“แบบนี้มันก็จะไม่เห็นลายหมีนะครับ” ภูผาชี้บนหมีที่สกรีนบนถุงเท้า ก่อนจะพับลงมาให้เห็นหมีชัดเจน รวมทั้งลูกไม้ตรงชายถุงเท้าจะได้อยู่ในที่ทางของมัน
“เหยอ แต่กะโปกทามถุงเท้าฉูงๆ” ปิ่นมุกยังไม่เชื่อพ่อ หนูน้อยดึงมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“พี่พลอยกับพี่แพรก็พับแบบนี้นะคะ นี่ไง” เฟย่าขยายรูปในโทรศัพท์ให้ดูลูกสาวดู
“โอ๊ะโอ ต้องฉั้นๆ เนอะ พ่อจ๋า ฉั้นๆ ฉิ กะโปกใฉ่ผิด ไม่เก่งเยย” ปิ่นมุกยื่นขาให้ภูผาพับใหม่ และหันไปอ้าปากรับข้าวที่ย่าเดินตามมาป้อนด้วย
“พี่ปกเป็นผู้ชายต้องใส่ยาวๆ ค่ะ มันเป็นกฎระเบียบของโรงเรียน” เฟย่าอธิบาย แล้วเอี้ยวตัวไปหยิบเป้สีชมพูมาสะพายหลังให้ ในนั้นมีขวดนม แพมเพิส ผ้าห่มผืนเล็กซึ่งใช้มาตั้งแต่เกิด และเสื้อผ้าสำรองหนึ่งชุด
“เป็นกบยะเบียบเหยอ” เคี้ยวข้าวเสร็จก็เอียงคอถามแม่
“ค่ะ ที่โรงเรียนจะมีข้อตกลงให้เด็กๆ ทำตาม” เฟย่ารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากในการอธิบายคำศัพท์ง่ายๆ แต่ก็ต้องพยายามต่อไปเพราะลูกกำลังอยู่ในวัยช่างซักช่างถาม
“ย่าจ๋า น้องปึ่มต้องไปเยียนหนำฉือแย้ว ไม่ได้ช่วยขายข้าวแย้วนะ ย่าอยู่กับปาบนะ” เอียงหัวไปมองพรพิมลซึ่งติดหลานเอามากๆ
“จ้า ขยันๆ เรียนนะ ตั้งใจฟังครูล่ะ” พรพิมลป้อนข้าวอีกคำ
เด็กนักเรียนตัวน้อยมัดผมสองข้าง แต่ละข้างใช้ยางเกือบยี่สิบวงเพื่อให้ได้ผมชี้ออกจากหัวเหมือนเข็มนาฬิกา ชุดนักเรียนก็มีผ้ากันเปื้อนใส่พร้อม ปิ่นมุกเดินเคี้ยวข้าวหมุบหมับไปหาปราบที่กำลังนั่งกระโถนแหงนหน้ามองจอทีวีที่แม่เปิดยูทูบให้ดู
“มี่” ปราบชี้ไปที่ช่องยูทูบสุดโปรด
“เฉือฉมี พูบใหม่ชิ เฉือ-ฉะ-หมี” ปิ่นมุกสอนน้องพูด
“มี่” ปราบชี้อีก
“เก่งฉุบๆ เยย ปี้ปึ่มไปเยียนหนำฉือก่อน ปาบเป็นเดะดีนะ แหวะ เหม็มขี้” ปิ่นมุกกำลังจะหอมแก้มน้อง แต่ปราบปล่อยปลาวาฬลงกระโถนพอดี
“ฮะๆๆๆๆ” ปราบหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าบิดเบ้ของปิ่นมุก
“หนีเลยนะยายน้องปิ่น” เฟย่าส่ายหัวแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ปะ ไปฉ่งน้อง เดี๋ยวโยงเยียนเยิก” มือขาวอวบจับแขนภูผาพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
“อิ่มแล้วเหรอ กินไปสองคำเอง” พรพิมลท้วง
“ย่าบอกให้กินฉองคำ” ปิ่นมุกบอก แล้วนั่งลงหยิบรองเท้านักเรียนมาใส่ “ฉวยฉุบๆ”
“ยังจะสวยอีก นั่นมันใส่ผิดข้าง” เฟย่าท้วง
“เหยอ” พอรู้ว่าพลาดก็รีบแก้ไขด่วน
“ถ้าปวดอึก็บอกครูนะ” พรพิมลกำชับ ปกติปิ่นมุกจะอึตอนเก้าโมงเช้า เธอฝึกให้หลานอึตั้งแต่เช้ามาสัปดาห์หนึ่งแล้วแต่ไม่สำเร็จ พยัคฆ์บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ครูอนุบาลเขาชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว เรียกได้ว่าเจอทุกวันเลยทีเดียว
“จ้ะ ฉวัดดีจ้ะ” เด็กน้อยยกมือไหว้พร้อมกับถอนสายบัว เลียนแบบพลอยใสกับแพรสวยเวลากลับจากโรงเรียน
พ่อแม่และย่ายิ้มอย่างเอ็นดู เฟย่าเดินไปส่งภูผากับปิ่นมุกขึ้นรถ ภาวนาในใจขอให้วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเถิด ตนเองได้ไหว้วานพลอยใสกับแพรสวยไว้ว่าวันแรกให้มาดูน้องหน่อย เพราะน้องยังไม่ชิน รวมทั้งบอกปิ่นมุกว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจให้ขึ้นบันไดไปหนึ่งชั้นก็จะเจอห้องเรียนของพี่แฝดเลย หรือไม่ก็ให้เดินไปหาปกป้องซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับปิ่นมุกแต่เป็นห้องริมสุด
“โยงเยียนของเยาน่าอยู่ คุมคูใจดีทุกคน เดะๆ ก็ไม่ชุกชน เยาทุกคนชอบไปโยงเยียน ชอบไปชอบไปโยงเยียน”
“เก่งมากๆ” ภูผาชมลูกสาวระหว่างขับรถ
“ปี้พอกับปี้แพฉอนน้องปึ่ม ฉอนเยอะมากๆ” เด็กน้อยหันมาบอกพ่อ
“เดี๋ยวพ่อเดินไปส่งให้ที่ห้องเรียนเลยนะ” ภูผาจอดรถ และเดินมาปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาร์ซีตให้ปิ่นมุก จากนั้นก็เอาเป้มาสะพายให้
“จ้ะ” พยักหน้าหงึกๆ พอเดินไปถึงห้องก็เห็นคนอื่นๆ พากันร้องไห้ ปิ่นมุกมองอย่างงงๆ หน้าเริ่มเสีย
“น้องปิ่นเป็นเสือสมิง เป็นสาวน้อยสวยมากที่เก่งสุดๆ น้องปิ่นก็เลยไม่ร้องไห้ ใช่ไหมคะ” ภูผาพยายามใช้จิตวิทยาเด็กมากล่อม
“จ้ะ แย้วก็จะได้เป็นฉาวน้อยฉวยมากที่ฉุดของโยงเยียนแบบปี้พอ ปี้แพ แย้วก็ปี้เต่าเต่าด้วย”
“น้องปิ่น” พลอยใสซึ่งมาถึงโรงเรียนพอดีเดินมาบีบแก้มน้องอย่างมันเขี้ยว
“น้องปิ่นคนสวย” แพรสวยเดินมาถึงก็หอมแก้มน้องอีกข้าง
“ปิ่นปิ๊น” ปกป้องแวะเรียก แต่พอเห็นวสุเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นลูกชายของวายุที่เป็นเพื่อนของพ่ออีกทีเดินแซงก็รีบวิ่งไปประกบ
“ถ้าน้องปิ่นคิดถึงพ่อกับแม่ก็ขึ้นมาหาพวกเราที่ห้องปอสามนะ ขึ้นบันไดมาชั้นเดียว” พลอยใสบอกน้อง
“อือ ปิ่นขึ้นกะไดเก่งแหยะ” ปิ่นมุกพยักหน้า
จากนั้นครูประจำชั้นซึ่งยืนรออยู่หน้าห้องก็พาปิ่นมุกเข้าห้องเรียนไปนั่งที่โต๊ะซึ่งจัดไว้เป็นกลุ่มๆ
สิ่งที่เด็กๆ ทำในห้องเรียนวันแรกคือร้องไห้ มองไปนอกห้องเรียน ซึ่งผู้ปกครองพากันผลุบๆ โผล่ๆ แอบมองลูก พ่อแม่หลายคนเลยทีเดียวที่ไม่ยอมกลับบ้าน ปิ่นมุกเองก็มองหาภูผา เริ่มคิดถึงบ้าน นั่งน้ำตาคลอตลอดเวลา
และพอเก้าโมงนาฬิกาในร่างกายก็ทำงาน เด็กน้อยปวดอึมาก แอบวิ่งออกจากห้องในช่วงที่ครูหันไปหยิบสื่อการสอน
พอถึงห้องริมสุดที่เห็นปกป้องเข้าไปเมื่อเช้า ปิ่นมุกก็ตะโกนเรียกหน้าห้อง
“กะโปก น้องปึ่มปวดขี้”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ กะโปก น้องปึ่มปวดขี้” เพื่อนๆ ในห้องหัวเราะ และพูดเลียนแบบน้อง
ปกป้องหน้าบึ้ง นั่งนิ่งไม่ยอมเดินออกมา
“กะโปก เย็วฉิ น้องปึ่มปวดขี้”
“เร็วสิคะ ไหน ใครชื่อกะโปก” ครูประจำชั้นช่วยถาม พยายามกลั้นขำแต่ก็กลั้นไม่อยู่ ทำให้เพื่อนๆ ในห้องหัวเราะดังขึ้นอีก
“จะยาดแย้วนะ” ปิ่นมุกตะโกนท่ามกลางเสียงหัวเราะ
“หนูจ๋า เข้ามาชี้เลยค่ะ คนไหนกะโปก” ครูประจำชั้นเดินมาจูงปิ่นมุกเข้าไปในห้องเรียน
“นี่ กะโปก ไปย้างตูดให้น้องปึ่มกัน” ปิ่นมุกดึงแขนปกป้องเหย็งๆ
“ไม่ เหม็น อี๋” ปกป้องดึงแขนออกจากน้อง
ครูได้กลิ่นตุๆ จึงรีบพาปิ่นมุกไปเข้าห้องน้ำเอง ส่วนปกป้องก็ถูกเพื่อนล้อตั้งแต่ตอนนั้นว่าต้องล้างก้นให้ปิ่นมุก