เขาจ้องมือซ้ายที่ฉันยื่นไปตรงหน้าอย่างเฝ้าระวัง ค้างเติ่งอยู่แบบนั้นราว ๆ ห้าถึงหกนาทีจนแน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายแล้วจึงค่อย ๆ ขยับร่างกายที่ยังอยู่ในท่าสัตว์สี่ขาเข้ามาใกล้...ใกล้กระทั่งฉันรับรู้ได้ถึงระดับลมหายใจของอีกฝ่าย ลมหายใจที่มีแต่กลิ่นเหม็นคาวของเลือดชวนพะอืดพะอม...
แต่อาจเพราะประสาทสัมผัสตรงปลายจมูกเริ่มคุ้นชินกับกลิ่นนี้ได้ในระดับหนึ่งแล้วจึงไม่คลื่นไส้อาเจียน
สวบ...
และวูบนั้น ใจฉันเริ่มชื้นเมื่อเห็นว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ทว่ากลับมีรูปร่างเฉกเช่นผู้ใหญ่ค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้นจากพื้นซีเมนต์ แม้สายตาที่เขาใช้มองค่อนไปในทางหวาดระแวงมากกว่าจะเชื่อใจ แต่ส่วนปลายของกรงเล็บสีดำก็สัมผัสโดนปลายนิ้วของฉันจนได้...ถึงแม้ว่าจะเป็นการสัมผัสแบบเฉียดฉิวก็ตาม
การแสดงออกในลักษณะนี้ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี
“แบบนี้ถือว่าตกลงนะ” ฉันยิ้ม ทำเหมือนไม่กลัวตายทั้งที่ใจสั่นระส่ำแทบสิ้นสติ เอาจริง ๆ ฉันตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงสนใจในตัวชายปริศนาคนนี้นัก
คนปกติที่ไหนจะอยากผูกมิตรกับฆาตกร
คนดี ๆ ที่ไหนจะมามัวใจเย็น...ทั้งที่เพิ่งเกือบตายเพราะเขาถึงสองครั้งสองครา
นั่นสิ ฉันแปลกใจและกังขาในนิสัยของตัวเองไม่น้อย แต่เอาเถอะ...
“...” เจ้าของกรงเล็บสีดำทะมึนเมื่อเห็นว่าฉันระบายยิ้มอย่างเป็นมิตรก็ทำท่าจะเขยิบมาใกล้
ทว่า...
เปรี้ยง!!
ไม่ทันจะได้คำตอบของการกระทำดังกล่าว เสียงคำรามของท้องฟ้าที่รุนแรงจนบ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนพลันทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก รีบผละตัวออกห่างคล้ายตกใจ รู้ตัวอีกทีการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วก็พาตัวเขาไปนั่งขดอยู่มุมห้องเสียแล้ว
“นายกลัวเสียงฟ้าผ่าเหรอ?” ฉันถาม แต่เมื่อคู่สนทนาไม่โต้ตอบ เพียงยกสองแขนกอดเข่าประหนึ่งนั่นเป็นกลไกป้องกันตัวที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้ ฉันจึงพยักหน้าเบา ๆ พลางหยัดตัวขึ้น “เดี๋ยวมานะ รอแป๊บหนึ่ง”
กล่าวจบก็เดินจากมา มุ่งหน้ากลับเข้าไปในห้องนอนที่ยังคงสงัดเงียบเช่นทุกที เป้าหมายคือตู้เสื้อผ้าที่ฉันเก็บผ้านวมเพิ่งซักไว้ในนั้น
ในครั้งที่ฉันยังอายุไม่กี่ขวบก็กลัวเสียงฟ้าผ่า ฟ้าร้องอะไรทำนองนี้เหมือนกัน แต่ครั้นลองเข้าไปซ่อนในผ้าห่มผืนหนา ฉันค้นพบว่าความอบอุ่นจากกลิ่นแดดอุ่น ๆ บนเนื้อผ้า กอปรกับกลิ่นหอมอ่อนจางจากน้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยบรรเทาอาการหวาดผวาได้ดีในระดับหนึ่ง บางครั้งฉันถึงขั้นหลับปุ๋ยทั้งที่ยังซุกตัวอยู่ในนั้นเลยทีเดียว
ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลกับคนอื่นไหมนะ ก็คงต้องลองดู...
สิ้นความคิด ฉันเตรียมลงไปยังชั้นใต้ดินเพื่อนำผ้าห่มผืนนี้ไปให้เขา แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้หยุดยืนอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง จนมีโอกาสได้สำรวจสภาพตัวเองแบบเต็ม ๆ ตาอีกครั้ง
ทั้งรอยแดงช้ำรอบลำคอจากการถูกบีบ ไหนจะคราบเลือดสีแดงเข้มสดใหม่ที่เลอะเต็มชุดนอนสีขาว...สารรูปแบบนี้...บวกกับหน้าตาแสนจืดชืด หากคนที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมาเห็นคงคิดว่าเป็นวิญญาณผีสาวที่ถูกฆาตกรรมอย่างน่าสยดสยองเป็นแน่
“โดนขนาดนี้ยังอยากจะใจดีกับเขาอีกเหรอไมอา” ฉันถามเงาสะท้อนของตัวเอง เงาที่ทั้งเนื้อทั้งตัวยังสั่นระริกเพราะความกลัว...ทว่าความอยากรู้อยากเห็น ความรู้สึกที่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้กลับมีมากพอ ๆ กับความกลัวเสียอย่างนั้น “พิลึกคนแฮะ”
ค่อนขอดแบบติดตลกไปหนึ่งทีก็พรูลมหายใจยาวเหยียด จากนั้นจึงลงไปหาชายปริศนาที่ชั้นใต้ดินอีกครั้ง พบว่าเขายังคงขดตัวอยู่มุมห้องเหมือนเดิม
ฉันหยุดฝีเท้าลงตรงหน้า ยื่นผ้านวมลายพังก์ร็อกซึ่งเป็นสไตล์ที่ฉันชื่นชอบขัดแย้งกับภาพลักษณ์ไปให้
“...” หากแต่อีกฝ่ายไม่ไหวติง จนป่านนี้แล้วสายตาที่เขามองก็ยังห่างไกลจากความเป็นมิตร
สรุปที่เราแตะนิ้วกันเมื่อหลายนาทีก่อนหมายความว่ายังไงกันแน่นะ?
“โอเค” ในเมื่อเขาไม่ตอบสนอง ฉันเลยย่อตัวลง จัดการคลุมผ้าห่มผืนหนาให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
แรกเริ่มเขาผงะ คล้ายว่าการกระทำของฉันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับเขาอย่างมาก และอาจไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต แต่สักพักก็เริ่มเรียนรู้ว่าควรปฏิบัติยังไงกับคนที่ไม่ได้คิดร้ายกับตัวเองจึงสงบลง ปล่อยให้ฉันจัดการในส่วนนี้ต่อ “โซ่ที่ล่ามข้อเท้านายมันไม่ได้เอาออกง่าย ๆ เดี๋ยวขอเวลาสักวันสองวันนะ ถ้าหาจุดจ่ายไฟได้ ฉันจะได้ช่วยนายอย่างปลอดภัย นายก็จะไม่ต้องโดนช็อตอีก โอเคไหม?”
บ้านหลังนี้เป็นแบบสองชั้นก็จริง แต่พื้นที่ไม่ได้กว้างขวาง ลำพังห้องรับแขกที่อยู่ติดกับครัว ห้องนอนของฉันกับพ่อ รวมถึงชั้นใต้ดินซึ่งพื้นที่ใช้สอยน้อยก็แทบเต็มกลืน จึงไม่คิดว่าจะมีห้องอื่นที่พ่อซ่อนไว้อีก
นอกจากชั้นใต้ดินที่ไม่เคยย่างกรายลงมา ยอมรับว่าฉันรู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้ มั่นใจว่าเท่าที่เห็นคือทุกอย่างที่มี แต่ตอนนี้ความมั่นใจเริ่มสั่นคลอนแล้ว
“...อือ” ในที่สุดชายคนนั้นก็ส่งเสียงเฉกเช่นคนปกติ ไม่ใช่การคำรามเหมือนสัตว์ป่า แต่นัยน์ตาคมกริบยังมีความระแวงอยู่บ้าง
“งั้นอยู่ในนี้ไปก่อนนะ ถ้าสะดวกจะมาอีก...”
นี่ก็ตีสี่ครึ่งแล้ว
วันนี้เป็นวันเสาร์...
นับตั้งแต่มีคนหายตัวไป หมู่บ้านได้ริเริ่มพิธีกรรมทุกวันเสาร์ของแต่ละสัปดาห์ ช่วงสิบโมงจนถึงเที่ยงวันจะมีการล่ากวางตัวผู้และตัวเมียในป่าละแวกบ้าน ก่อนจะจัดการเชือดทิ้งตรงบริเวณแท่นปูนหน้าหมู่บ้านช่วงโพล้เพล้ของวันเดียวกัน เป็นความเชื่อของทางฝั่งผู้สูงอายุที่ว่าการสังเวยชีวิตกวางเพศผู้กับเพศเมียจะทำให้ปีศาจหยุดออกอาละวาด
แต่ทำมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมนะ
คนในหมู่บ้านยังคงทยอยหายสาบสูญไปทีละคน
ถึงจะมองว่าไร้สาระที่ต้องเข้าร่วมพิธีกรรมบ้า ๆ นี่ทุกวันเสาร์ แต่เพราะเป็นกฎข้อบังคับจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุผลนั้นฉันจึงต้องรีบกลับเข้าห้องไปพักผ่อนให้เต็มที่ยังไงล่ะ
“...”
ฉันลุกขึ้น เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูไม้เก่าคร่ำครึ แต่ก่อนทำการปิดแล้วคล้องโซ่เหมือนอย่างที่พ่อทำก็พลันนึกขึ้นได้ว่า...
“นาย...อยากกินอะไรไหม?” ถามทั้งที่ลางสังหรณ์กระซิบบอกให้ฉันหันไปมองโครงกระดูกพวกนั้น
“อยาก” เขาตอบรับทันที พลางเหลือบสายตาที่แสนจะคมกริบและดุดันไปทางศพไร้ศีรษะซึ่งสภาพร่างกาย ณ ขณะนี้เริ่มเขียวคล้ำ “ไม่ชอบคนแก่”
“...”
“เด็กผู้หญิง...ขอเด็กผู้หญิง"
“คะ? ดะ...เด็กผู้หญิงเหรอ?” จริง ๆ แล้วหูฉันไม่ได้ฝาดจนฟังสิ่งที่เขาพูดผิดเพี้ยนไปหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทวนถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง...
ลำพังสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในตอนนี้ก็น่าสะพรึงจนสติแทบแตกแล้ว อย่ามาพูดหรือทำสายตาเหมือนตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีอยู่จริงได้ไหม
แม้ว่าทางกายภาพของเขาจะมีความก้ำกึ่งชวนให้เคลือบแคลง จนอดจินตนาการถึงสิ่งที่ฉันมองว่าไร้สาระอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว...คำตอบที่เมกเซนส์ที่สุดก็หนีไม่พ้นความผิดปกติทางพันธุกรรม การทดลองที่ผิดพลาด หรืออะไรก็ตามที่มีข้อพิสูจน์เป็นชิ้นเป็นอันได้
“เธอ” ในขณะที่ฉันอ้ำอึ้งเพราะไม่สามารถหาบทสรุปได้ โทนเสียงทุ้มต่ำที่ทั้งแหบพร่าและชวนให้คนฟังเสียวสันหลังวาบก็ดังขึ้น
หลุดจากภวังค์แล้วฉันจึงมองตรงไปที่เขาซึ่งยังขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา รวม ๆ แล้วก็น่ารักดีอยู่หรอก ถ้าไม่พบว่านัยน์ตาสีแปลกที่หาได้ยากในมนุษย์ทั่วไปกำลังพิจารณาฉันเป็นพิเศษ
เป็นสายตาที่ทั้งเยือกเย็นและร้อนระอุในเวลาเดียวกันเลย
มีด้วยเหรอ...คนที่ทำให้ฉันรู้สึกราวกับจับไข้เพียงเพราะถูกมอง...
“...คะ?” ฉันขานรับและเผลอขยับฝีเท้าไปด้านหลังให้พ้นระยะกรอบประตู
เสี้ยวหนึ่งก็หวั่นใจ กลัวเขาพุ่งเข้ามาทำร้ายเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก
แต่อีกเสี้ยวกลับโล่งอก เนื่องจากตอนที่เขาหมดสติอยู่ ฉันมีโอกาสได้สำรวจสภาพโดยรวมของห้องนี้ จนพบว่าพื้นที่ใช้สอยของเขามีจำกัด และไม่สามารถขยับมาจนถึงบานประตูได้ แม้ว่าโซ่เส้นนั้นยาวพอให้มาถึงได้ก็ตาม
ฉันรู้เพราะเห็นว่าบนพื้นซีเมนต์ของห้องนี้มีการทำสัญลักษณ์เป็นวงกลมคล้ายการกางอาณาเขต ซึ่งเมื่อนึกย้อนถึงตอนที่เขาพุ่งเข้ามาหาฉันจนโดนกระแสไฟฟ้าเล่นงาน ทำให้ฉันได้ข้อสรุปว่าเมื่อเขาทำการล้ำเส้นที่กำหนด โซ่บริเวณข้อเท้าจะปล่อยกระแสไฟฟ้าสู่ร่างกายทันที
นั่นหมายความว่าวัน ๆ หนึ่ง นอกจากถูกขังในชั้นใต้ดินคับแคบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันแล้ว เขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้อย่างที่ใจต้องการ ได้แต่ขยับซ้าย ขยับขวา ขยับมาด้านหน้า ในพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเท่านั้น
เดาว่าพอโดนช็อตจนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมา...เขาเลยยิ่งระแวงฉัน ไม่กล้าไว้ใจเพราะกลัวโดนทำร้ายอีกนั่นเอง
“...ขอแบบเธอ”