บทที่2.2

1729 Words
“ยะ อย่ามาตลกนะ!” ฉันโพล่ง มือข้างหนึ่งกระวีกระวาดคว้าบานประตู ทำท่าจะปิดแล้วรีบกลับขึ้นห้องไปชำระร่างกายเตรียมเข้านอน ทว่าเสี้ยววินาทีก่อนบานประตูจะปิด ช่องว่างเล็ก ๆ ทำให้ฉันเห็นวิธีการมองของเขาคนนั้นพอดิบพอดี ซ้ำยังชัดแจ๋วจนน่าใจหาย ไม่ใช่การมองธรรมดา เพราะในขณะที่สองตายังตอกตรึงเพียงฉันเหมือนหมุดตัวหนึ่ง เขายังตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองช้า ๆ อีกด้วย... ให้ตาย...สรุปแล้วฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรเนี่ย? Third Person Describe. “ฮือ ฮึก อย่าทำหนู อย่า ฮึก!” “หุบปาก” มาร์คกระซิบเสียงเหี้ยมขณะนำเชือกเส้นหนาที่ตัวเองพกติดตัวมามัดข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาววัยสิบแปดปีบริบูรณ์ ซึ่งเขาเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่าเธอคือเด็กวัยรุ่นผู้เหลือรอดคนที่สามของหมู่บ้าน แต่ถูกคนในครอบครัวจับซ่อนไว้ เพราะเชื่อเรื่องปีศาจกินคนที่พักหลังมานี้ออกอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ด้วยรู้ว่าคนที่หายสาบสูญมากกว่าครึ่งล้วนเป็นเด็กสาววัยกำลังโตทั้งสิ้น เลยกลัวว่าลูกสาวของตนจะเป็นเหยื่อรายต่อไป จึงสั่งไม่ให้เธอออกมาเผชิญหน้ากับใครคนไหน จนทำให้คนในหมู่บ้านเชื่อกันว่าตอนนี้เด็กผู้หญิงวัยราว ๆ นี้เหลือเพียงลินดา และไมอา...ลูกสาวของมาร์คเท่านั้น “นะ หนู...กรี๊ด อุ๊บ” เด็กสาววัยสิบแปดกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แต่เสียงแห่งความทุกข์ทรมานเปล่งออกมาเพียงนิดเดียว ฝ่ามือหยาบใหญ่ของมาร์คก็ยกปิดริมฝีปากเล็กไว้ ให้เสียงที่แสดงออกถึงความทุรนทุรายนั่นดังอู้อี้ภายใต้ฝ่ามือหนา ขณะที่มืออีกข้างล้วงเอาคีมคีบเหล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจัดการหนีบเข้าที่บริเวณนิ้วกลางของมือซ้ายเด็กสาว ค่อย ๆ ออกแรงอย่างเนิบช้า...กระทั่งนิ้วดังกล่าวถูกตัดขาดออกจากโคน สายน้ำสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นจนเปรอะมือเธอและเขา รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าในละแวกใกล้เคียง เป็นภาพที่หากใครมาเห็นคงเป็นลมล้มพับ แต่กับมาร์ค เขามองภาพนั้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะเด็กคนนี้ไม่ใช่รายแรกที่เขาออกล่าเพื่อนำกลับบ้าน...แล้วโยนให้ไอ้สัตว์พิลึก ๆ ที่เขาขังไว้ในชั้นใต้ดินกิน “ลุงไม่ฆ่าหนูตอนนี้หรอก” มาร์คก้มมองร่างเด็กสาวที่ร้องไห้จนหมดสติไป ก่อนจะนำยาฆ่าเชื้อราดในจุดที่เลือดสาดกระเซ็น บางส่วนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสายฝนที่ยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย เรียบร้อยแล้วก็ทำการลากร่างบอบบางที่กำลังจะกลายเป็นเหยื่อรายที่สิบเอ็ดเข้าไปในถ้ำลับซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก ถ้ำที่เขาเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้และไร้ร่องรอยการมาเยือนของสิ่งมีชีวิต มาร์คไม่ลงมือฆาตกรรมเหยื่อ แต่จะตัดนิ้ว ทำร้ายร่างกาย หรือทรมานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เหยื่อพวกนั้นกลัวจนไม่กล้าแหกปากร้องเป็นหนที่สอง เหตุผลที่ไม่ฆ่าเพราะสัตว์ตัวนั้นที่เขาซุ่มเลี้ยงมาประมาณสองปีค่อนข้างเลือกกิน ซ้ำยังชอบของสดใหม่ หากนำของที่ตายแล้วไปให้ กลิ่นเลือด ความเหนียวนุ่มของเนื้อจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้มันดุร้าย โมโหจนส่งเสียงตึงตังทั้งคืน มาร์คไม่อยากตอบคำถามลูกสาวเรื่องที่มาของเสียง ไม่อยากให้เธอสงสัยสิ่งที่เขาปกปิดมากไปกว่านี้ เพราะหากวันหนึ่งเกิดเธอนึกครึ้มจนลงไปที่ชั้นใต้ดินขึ้นมา...คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ สิ่งนี้เรียกว่าอะไร? ชายผู้ซึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่เกิดคำถามขึ้นมาขณะก้มมองผืนผ้าหนานุ่มที่เด็กสาวท่าทางน่าอร่อยคนนั้นนำมาคลุมตัวเขาเมื่อหลายนาทีก่อน ตอนแรกสิ่งที่ดูแสนจะธรรมดานี้เพียงทำให้ร่างกายเปล่าเปลือยของเขาอบอุ่นกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าผ้าขี้ริ้วขาดวิ่นที่ไอ้แก่มาร์คเคยโยนใส่หน้าเขา แต่นานเข้า...จากสิบนาที สิบห้านาที ยี่สิบนาที กระทั่งสี่สิบนาที ผ้าลวดลายแปลกประหลาดผืนนี้กลับให้เขามากกว่าความอบอุ่นเสียอย่างนั้น... มันเพราะอะไร? ในเมื่อไม่ได้คำตอบ ชายหนุ่มที่ยังนั่งขดตัวอยู่ในผ้าผืนหนาจึงค่อย ๆ ก้มหน้าลงจนปลายจมูกสัมผัสกับความหนานุ่มดังกล่าว ดอมดมอย่างระแวดระวังในคราวแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่ กลิ่นหอมที่ว่า ไม่ใช่กลิ่นแดดอ่อน ๆ หรือกลิ่นของดอกไม้บางชนิด แต่หมายถึงกลิ่นของเด็กสาวซึ่งเป็น 'ชนิดของอาหาร' ที่เขาโปรดปรานจนเผลอกลืนน้ำลายลงคอ แม้ใจจริงอยากจับเธอถลกหนังแล้วฉีกทึ้งไม่ให้เหลือซาก แม้สัญชาตญาณจะเรียกร้องให้ฆ่าเธอทิ้งเหมือนเหยื่อหน้าโง่ทุกตัวที่เขาลงมือ อย่าได้ไว้ใจเพียงเพราะสายตาอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวล และความหวังดีที่หยิบยื่นให้...เพราะตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา เขาต้องใช้ชีวิตอย่างทรมานในสถานที่แห่งนี้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ชื่อมาร์ค มาร์คที่เป็นพ่อของเด็กผู้หญิงคนนั้น... แต่ไม่รู้ทำไม...แค่เพียงได้มองสบตาผู้หญิงคนนั้น ความโกรธเคืองที่ท่วมท้นเต็มอก ความต้องการที่อยากกระชากหัวใจเธอออกมาขยี้ให้เละคามือถึงได้ทุเลาลงอย่างน่าประหลาด รู้ตัวอีกทีก็พยักหน้ารับ... ยอมเชื่อใจทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก เปรี้ยง! เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าดังขึ้นอีกระลอก ทำเอาเจ้าของกรงเล็บสีดำทะมึนต้องรีบกระชับผ้าผืนหนา หลับตาและขดตัวอยู่ในนั้นกระทั่งทุกอย่างสงบลง ประสาทสัมผัสของเขามีลักษณะที่สามารถรับรู้เวลาได้จากกลิ่นและอุณหภูมิ ดังนั้นแม้อาศัยอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงไฟจากหลอดตะเกียงและช่องระบายอากาศเล็กจิ๋ว แต่กลับรู้ได้ว่าตอนไหนพระอาทิตย์ขึ้น ช่วงไหนพระอาทิตย์ตก ฉะนั้นหลังจากนั่งขดตัวอยู่ในผ้าห่มประมาณสองชั่วโมง เขาก็รู้ได้จากอุณหภูมิที่สูงขึ้นว่า ณ ตอนนี้ด้านนอกสว่างแล้ว และหวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาพร้อมอาหารอันโอชะ หรืออะไรสักอย่างที่สามารถทำให้เขาออกไปจากที่แห่งนี้ได้ จินตนาการถึงภาพที่ตัวเองได้รับอิสระแล้วออกตามล่ามาร์ค ค่อย ๆ ฉีกแขน ฉีกขา เลาะเนื้อหนังเหี่ยวย่นออกจากกระดูกในขณะที่มันยังมีลมหายใจ ฟังเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจลั่นระงมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่แววตากลับเลือดเย็นก็พราวระยับอย่างลิงโลด กุกกัก ๆ ๆ แกร็ก... เสียงไขกุญแจดึงสติเขากลับคืนมาจากภวังค์สีเลือด สักพักร่างบอบบางในชุดสีครีมก็ปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมจานขนาดกลางในมือ เขามองที่มาของกลิ่นประหลาด พบว่าบนจานนั้นมีชิ้นเนื้อสีน้ำตาลจัดวางอย่างเป็นระเบียบ หากแต่กลิ่นของเนื้อนั่นช่างฉุนจมูก ไม่เหมือนเนื้อที่เขาเคยกิน ผู้หญิงคนนั้นยังกลิ่นหอม...และน่ากินกว่าหลายเท่า แต่เพราะเธอมีส่วนที่จะช่วยให้ตนได้รับอิสระ จึงต้องหักห้ามใจ ไว้รอดออกไปเมื่อไหร่ ค่อยหักคอเธอทิ้งทีหลังก็คงไม่สาย “เป็นเนื้อกวางนะ ไม่รู้ว่านายจะกินได้ไหม...” พูดพลางย่างเท้ามาหยุดลงตรงหน้า ก่อนย่อตัวลงจนระดับสายตาทำองศาเดียวกัน จากนั้นจึงยื่นเนื้อกวางที่วางไว้บนจานอย่างดีมาให้โดยริมฝีปากอวบอิ่มยังคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้ม...ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกเมื่อได้รับ ทำไมต้องยิ้ม? ไม่มีมนุษย์หน้าโง่ที่ไหนยิ้มให้เขา มีแต่สายตาหวาดกลัว กรีดร้องอย่างพรั่นพรึง ไร้ซึ่งความเป็นมิตรในทุก ๆ การแสดงออก “...” เขาไม่พูด เพียงเหลือบมองเนื้อกวางอย่างไม่พอใจ “ในตู้เย็นฉันมีแต่เนื้อสัตว์น่ะ หาได้เท่านี้” เธออธิบายหลังจากเห็นปฏิกิริยาของเขา ทั้งที่บอกไปว่าอยากกินอะไร ชอบแบบไหน แล้วทำไมถึงยังเอาเนื้อกวางปรุงสุกมาให้ หรือภาษามนุษย์ที่เขาใช้มันพร่าแปร่ง ผิดเพี้ยนจนเธอตีความหมายไม่ออกเหรอ? “...” จนถึงตอนนี้เขายังคงเงียบ หงุดหงิดจนอยากพุ่งกระโจนใส่เธอ เพราะยิ่งเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ความยับยั้งชั่งใจที่มีต่อกลิ่นหอมของหญิงสาวยิ่งน้อยลงเท่านั้น “ดมดูสิ กลิ่นหอมนะ ทำให้นายกิน แต่ฉันหิวแทนแล้วเนี่ย” หญิงสาวขยับจานมาจ่อจมูกเขาจนได้กลิ่นฉุนกึก ซึ่งเมื่อปฏิกิริยาที่ฝั่งเธอได้รับคือแววตาน่ากลัวและความเงียบงัน จึงหัวเราะแห้งแก้เก้อ ก่อนค่อย ๆ ชักจานกลับอย่างระมัดระวัง... เจ้าของร่างสูงเห็นดังนั้นก็ไม่รู้นึกครึ้มอะไรจึงปริปากว่า “งั้นเธอก็กินเอง” พร้อมทั้งเสมองหน้าไปอีกทาง น่ารำคาญจริง...ชายหนุ่มคิด “ฉันมีส่วนของฉันแล้วค่ะ” เธอกล่าว “ส่วนของนายจะชิ้นใหญ่กว่า เพราะตัวนายใหญ่” “...” “โอเค งั้นฉันวางไว้ตรงนี้นะ” เพราะตัวเขาไม่พูดอะไรอีก ซ้ำยังกระฟัดกระเฟียดผ่านลมหายใจอยู่เรื่อย ๆ เธอจึงวางเนื้อกวางไว้ตรงหน้าเขา หยัดตัวขึ้นเตรียมออกจากห้องไป “จะว่าไปแล้ว...” ทว่าก้าวเท้าได้เพียงสองก้าวก็คล้ายว่าเธอเพิ่งนึกบางอย่างออก จึงหันขวับกลับมา “ลืมแนะนำตัวเลย ฉันชื่อไมอานะคะ” “...” “แล้วนายล่ะ ชื่ออะไร?” ชื่อเหรอ...นั่นสิ เขาชื่ออะไร? อันที่จริงแล้ว นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร แม้กระทั่งชื่อ...ก็จำไม่ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD