บทที่2.3

1531 Words
“ต่อไปนี้มึงต้องอยู่ที่นี่” พลันภาพในอดีตสว่างวาบขึ้นมา ภาพที่ตัวเขาถูกชายวัยกลางคน ไว้หนวดไว้เครา รูปร่างกำยำ แขนทั้งสองข้างมีลวดลายฉวัดเฉวียนแต่งแต้มเต็มไปหมด ลากเขาซึ่งเนื้อตัวสะบักสะบอมไปตามทางที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เขาอ่อนแรงและมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้แต่มองหยาดเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลบนร่างกายตัวเอง มันหยดลงในทุก ๆ จุดที่เขาเคลื่อนผ่าน และไม่นานก้อนน้ำแข็งสีขาวขุ่นที่ยังคงโปรยลงอย่างต่อเนื่องก็กลบทับของเหลวสีแดงฉานเหล่านั้นจนมิด ไม่เหลือร่องรอยอะไรอีก... เขาหมดสติไปอีกครั้งก่อนฟื้นขึ้นมาในหลายชั่วโมงให้หลัง ภาพแรกที่เห็นหลังจากลืมตาขึ้นมาคือห้องเหม็นอับที่แสนคับแคบ มืดทึบไร้แสงจากภายนอก ซ้ำยังสกปรก เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย้ เขางงงัน หันซ้ายหันขวา ดิ้นรนหาทางหนีสุดกำลัง แต่ความพยายามในทุกครั้งมักมีจุดจบลงตรงที่เขาถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงเล่นงาน โซ่ที่ล่ามข้อเท้าทั้งสองข้างของเขา ถ้าอยู่เฉย ๆ มันเพียงทำหน้าที่พันธนาการเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามหากมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายออกนอกเส้นที่กำหนดไว้ ตัวเขาจะหมดสติเพราะถูกช็อตทันที บางครั้งแม้ไม่ถึงกับหมดสติ แต่ก็ทำให้เบลอไปหลายชั่วโมง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ได้คำตอบว่าชายที่พาเขามาที่นี่มีชื่อว่ามาร์ค แรกเริ่มตัวเขาพอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดบ้าง แต่ไม่สามารถสื่อสารได้เป็นปกติ ส่วนใหญ่จึงเลือกเงียบ บ้างก็ใช้การคำรามและภาษากายแทน ซึ่งก็เป็นการแสดงออกในเชิงก้าวร้าว ตุ๊บ “ลองดู” กระทั่งวันหนึ่ง...หลังถูกกักขังและโดนทรมานสารพัดวิธี หนึ่งในนั้นคือการปล่อยให้อยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ ได้กินเพียงเศษอาหารเหลือเดนรสชาติแสนห่วยแตกของมนุษย์ และดื่มเพียงน้ำเปล่าวันละไม่กี่อึก มาร์คก็กลับเข้ามาพร้อมแบกร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ลมหายใจ ก่อนโยนร่างของเธอลงบนพื้นตรงหน้าเขา “รางวัลที่มึงเชื่อฟังกูเป็นอย่างดี” เด็กหนุ่มมีความสุขกับอาหารมื้อแรกเป็นอย่างมาก ฉีกกระชากเนื้อศพที่สภาพเริ่มใกล้เน่าเต็มทีจนเหลือเพียงโครงกระดูก เพราะตลอดมา...สิ่งที่ตกถึงท้องเขาในแต่ละสัปดาห์ไม่สามารถใช้คำว่าอาหารได้เลย ไม่นานเขาก็เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในระยะสั้น ๆ...จากเด็กหนุ่มที่ดูภายนอกอายุราว 12 – 13 ก็มีกล้ามเนื้อและร่างกายเฉกเช่นคนอายุ 18 – 19 มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ยังคงความอ่อนเยาว์ มาร์คเห็นพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของสิ่งมีชีวิตประหลาดนี่ นอกจาก 'เหตุผลส่วนตัว' ที่ไม่มีใครรู้ จึงยังมีความคิดอยากเลี้ยงให้กลายเป็นอาวุธสังหาร นับตั้งแต่ความคิดนั้นย่างกรายเข้ามา เมื่อถึงคราวต้องออกล่าสัตว์เพื่อนำมาประกอบอาหารและค้าขาย จึงไม่ลืมล่ามนุษย์มาให้สัตว์เลี้ยงตัวนี้ด้วย จนได้ค้นพบว่าทุกครั้งที่เขาได้รับสารอาหารจากเนื้อคน พัฒนาการจะไปไวจนน่าตกใจ ตัวเขาได้ความสามารถด้านการสื่อสารมาจากการกินมนุษย์ ยิ่งมีปริมาณมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทางด้านมาร์ค เมื่อเห็นว่าสัตว์เลี้ยงตัวนี้เชื่อฟังตนมากยิ่งขึ้น ไม่ค่อยขู่หรือจ้องจะทำร้ายเหมือนช่วงแรก การออกล่ามนุษย์ในช่วงหลัง ๆ จึงถี่ขึ้น เพราะรู้ว่าหากอิ่มท้องแล้วจะเชื่อง และมาร์คพึงพอใจช่วงเวลานั้นเป็นพิเศษ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวประหลาดจึงเห็นช่องโหว่ เริ่มมีข้อต่อรองเรื่องอาหารการกิน จากศพที่สภาพเริ่มเน่าเปื่อย เป็นมนุษย์เป็น ๆ ที่ยังมีลมหายใจ เขาชอบความสดใหม่ เพราะรสชาติมันอร่อยกว่า นิ่มกว่า หวานกว่า ด้วยมาร์คก็ตายใจในนิสัยช่วงเวลาปกติ จึงตามใจและล่ามนุษย์เป็น ๆ มาให้ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งปริมาณการกินมากเท่าไหร่ สติสัมปชัญญะของสิ่งมีชีวิตพิลึกนี่จะเพิ่มมากขึ้น มีความคิดที่ซับซ้อน การวางแผน รวมถึงประสบการณ์บางส่วนจากจิตวิญญาณและตัวตนของมนุษย์ที่กินเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นมาร์คก็รอบคอบ เพราะเมื่อตัวเขาขยายใหญ่ขึ้น พละกำลังเพิ่มมากขึ้น โซ่ที่ใช้ล่ามก็ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับกระแสไฟฟ้าซึ่งถูกเพิ่มปริมาณชนิดที่มากพอจะฆ่าเขาให้ตายได้ ทว่าด้วยเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเปราะบาง ผลลัพธ์จึงเพียงแค่ทำให้หมดสติเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอแล้ว “นาย” ชายหนุ่มไร้นามหลุดจากภวังค์อีกครั้งเมื่อเสียงนุ่มนวลของไมอาดังขึ้นพร้อมแรงสะกิดแผ่วเบา จนพบว่าตอนนี้เธอได้ย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเขาแล้ว... ดูเหมือนว่าไมอาจะเรียกเขามากกว่าหนึ่งครั้งแต่ไม่ได้สติ จึงต้องเดินกลับมา และ...ใช้นิ้วสะกิดแขนเขาแบบนี้สินะ “...ไม่รู้” ชายหนุ่มให้คำตอบ เขากินมนุษย์มา 10 รายแล้ว ได้ทั้งสติสัมปชัญญะ ทั้งความรู้สึกนึกคิด แม้จะมีส่วนที่ยังไม่เข้าใจในความเป็นมนุษย์และยังคงสัญชาตญาณความดุดันไว้บ้าง แต่สิ่งที่เขาต้องการและยังไม่ได้มาคือ...ความทรงจำที่ขาดหายไป ก่อนจะมาอยู่ที่นี่ เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตยังไง ไมอายังมีพ่อ แล้วเขาล่ะ...ไอ้สิ่งที่เรียกว่าพ่อเนี่ย เขามีหรือเปล่า? “...” “ไม่มีชื่อ” ตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว พลางคิดว่า...ผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไงมาถามในสิ่งที่เขาไม่มี คิดจะเยาะหยันงั้นเหรอ เจตนาจะดูถูกและเหยียบเขาให้จมดินเหมือนอย่างที่ไอ้แก่มาร์คทำสินะ “ไม่มีได้ยังไง ทุกคนล้วนต้องมีชื่อนะ” คิดเอง เออเอง โมโหเอง จนอยากจะตวัดกรงเล็บเข้าที่เบ้าตากลมโต แต่ความคิดนั้นก็ต้องชะงักหลังจากได้ฟังสิ่งที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของไมอา “ฉัน...ไม่มี” จำไม่ได้ และอาจจะไม่มีตั้งแต่แรก “...” “เธอ” เพราะอีกฝ่ายคิ้วตก สีหน้าคล้ายเศร้ากับคำตอบของเขา ชายหนุ่มที่แปลกใจกับท่าทางเหล่านั้นจึงมองสบตาไมอา แม้จะสมเพชตัวเองที่ต้องทำแบบนี้ แต่... “ชื่อฉัน” “...คะ?” “ตั้งชื่อให้ฉันซะ” “...” เมื่อได้ยินคำขอแกมบังคับที่ถูกส่งผ่านน้ำเสียงดุดันราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไมอาแสดงท่าทีงุนงงหนักกว่าเดิมเป็นสิบเท่า ขมวดคิ้วพลางเอียงคออย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ ผู้ชายท่าทางอันตรายคนนี้ถึงขอให้เธอตั้งชื่อให้ “ทำไมล่ะคะ?” ดังนั้นเธอจึงถาม แม้รู้ว่าการจ้ำจี้จำไชมากเข้าอาจไม่เป็นผลดี และอาจทำให้ชายหนุ่มที่มักจะมองเธอด้วยสายตาดุกร้าวเข้ามาทำร้ายได้ แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเอ่ยขอ การที่เธออยากฟังเหตุผลมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “...” ฝั่งชายหนุ่มส่งเสียงหึในคอแทนคำตอบคล้ายกลัวเหตุผลนั้นจะทำให้ตัวเขาน่าสมเพชในสายตามนุษย์ยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจึงลากสายตากลับมา กระชับผ้าผืนหนาซึ่งจนถึงตอนนี้แล้วมันยังคงห่อหุ้มร่างกายตนอยู่อย่างลืมตัว ทำแบบนั้นทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ลมพายุสงบ ไร้เสียงฟ้าร้อง ฝนเองก็ซาลงมาก ไมอามองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ พลันเกิดความรู้สึกบางชนิดขึ้นมา และนี่ก็เป็นอีกครั้งนับตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนที่เธอตั้งคำถามกับตัวเองเพราะไม่เข้าใจว่า...กับผู้ชายที่ไม่ปกติทั้งทางกายภาพ นิสัย สภาพจิตใจ การแสดงออก รสนิยมการกินอย่างเขาคนนี้ ตรงจุดไหนทำให้เธออยากเข้าหาทั้งที่อีกซีกหนึ่งของหัวใจยังสั่นระทึกด้วยความกลัว นี่มันแปลกมาก แปลกจนเริ่มกังวลว่าบางทีอาจเป็นตัวเธอเองที่ผิดปกติ “คีธ” เฝ้ามองชายหนุ่มราว ๆ ครึ่งนาที ในที่สุดไมอาก็พูดในสิ่งที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนนัยน์ตาสีแปลกมาบรรจบยังใบหน้ากลมมนของเจ้าของกลิ่นหอมหวนที่ชวนให้น้ำลายสอในทุก ๆ ครั้งที่ต้องสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดเพื่อหายใจ ‘ยัยตัวเมียหน้าโง่! ถ้าเข้ามาใกล้กว่านี้ฉันจะกินเธอไม่ให้เหลือซากเลย!’ เขาคิดอย่างฉุนเฉียว หงุดหงิดที่ตัวเองอดทนต่ออาหารตรงหน้าได้ไม่มากพอ “อะไร” แทบจะเป็นการกระชากเสียงอยู่รอมร่อ “ก็นายขอให้ฉันตั้งชื่อให้ไม่ใช่เหรอ...คีธล่ะเป็นไง?” ไมอาถามความเห็น ทว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปด้วยบางสาเหตุ เธอจึงกล่าวต่อ “เอาเป็นว่าใช้ชื่อนี้ระหว่างอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” “ไม่เข้าใจ” ชายผู้หิวโหยมองตาขวาง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD