น้ำค้างใช้เท้าดันตัวเองให้กระถดถอยกรูดไปจนสุดทางตัน จนไม่สามารถกระถดถอยไปได้มากกว่านี้แล้ว เนื่องจากแผ่นหลังบางที่สั่นสะท้านได้ติดอยู่กับฝ่าผนังกำแพงบ้านที่ทำจากดินโคลนไปเรียบร้อย
สองมือสั่นระริกยังคงยกขึ้นพนมเอาแต่บ่นงึมงำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง อยู่ในสายตาของชายชราที่ได้เห็นเป็นแบบนั้น ผู้เฒ่าลาฟกี้จึงเข้าใจได้ ว่าหนุ่มประหลาดตรงหน้าคงจะหวาดกลัวจนระแวงไปหมดแล้ว
ลาฟกี้นึกในใจแล้วว่าแบบนี้จะทำอย่างไรได้ คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี จึงเลือกที่จะหยิบไปเพียงแค่ขันที่ใส่น้ำแล้วเดินออกจากบ้านไปแทน
"คืนนี้ข้าคงต้องเสียสละบ้านให้เจ้าเด็กหนุ่มประหลาดคนนี้แล้วล่ะ"
น้ำค้างเหล่มองร่างของชายชราที่ทำเขาหวาดกลัว กำลังเปิดแง้มประตูที่ดูเหมือนว่าจะทำจากใบไม้แห้งๆ อะไรสักอย่างนี่แหละแล้วได้เดินหายลับออกไปในความมืดเลย
ซึ่งประตูบานที่ว่านี้ก็ดูไม่ได้แข็งแรงหรือจะใช้ปกปิดอะไรได้มิดชิดเลยสักนิด รูปร่างเปราะบางขนาดนี้ดูแล้วคิดว่ามันไม่น่าจะสามารถป้องกันภยันตรายใดๆ ได้เลย
น้ำค้างเริ่มรู้สึกว่าตาแก่คนนั้นจากไปแล้วจริงๆ เจ้าตัวจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย คนหลงถิ่นค่อยๆ ขยับตัวให้ออกห่างจากฝาผนังก่อนเป็นอันดับแรก
เนื่องจากไม่ไกลกันนั้นมันมีตุ๊กตาน่ากลัววางตั้งอยู่มากมาย น้ำค้างรู้สึกแขยง จนขนลุกขนพองสยองเกล้าไปในเวลาเดียวกัน
คนขี้กลัวแม้นว่าจะกลัวขนาดไหน แต่ก็คิดว่าขืนถ้ายังอยู่แบบนี้ มีหวังได้ตายจริงๆ แน่ เพราะฉะนั้นไอ้ประตูที่ทำจากใบไม้ธรรมชาติง่อยๆ นี้ก็เป็นข้อดีเช่นกัน
ดังนั้นจึงเหมาะแก่การลอบหนีไปจากที่ประหลาดแห่งนี้ในตอนมืดตื้อแบบนี้เสียเลย
"ฟู่วว" น้ำค้างสูดออกซิเจนเข้าเต็มปอด ปลุกความฮึกเหิมให้กับตนเอง
"ทำได้ดิวะ ไอ้ค้าง หรือมึงจะรอตายห่าอยู่ที่นี่ อิพวกวิปริตพวกนี้แม่งจับมึงแดกแน่"
ดวงตาขาวเบิกโพลงล่อกแล่กมองออกไปตรงประตูที่ทำจากใบไม้แห้ง ซึ่งมันมีรูให้สอดส่องมองออกไปบริเวณข้างนอกได้
ร่างคู้ตัวก้มลงต่ำท่าทางยงโย่ยงหยก เดี๋ยวผุดลุกผุดนั่งอยู่คนเดียว คิดหนักว่าจะพุ่งตัวออกไปตอนนี้เลยดีหรือไม่ แต่แล้วก็ได้เห็นแสงไฟจากคบเพลิงและมีคนหน้าตาประหลาดเดินผ่านไปซะก่อน น้ำค้างจึงต้องรีบชะงักตัวเอาไว้
คนที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างใจสู้เมื่อครู่ กลับต้องทรุดตัวฮวบลงที่พื้นแข็งอีกรอบ เจ้าตัวจึงคิดว่าจะประวิงเวลาเอาไว้ก่อนอีกสักนิด
น้ำค้างนั่งลงจดจ้องเฝ้ามองไปทางประตูใบไม้บานนั้นอย่างใจเย็น เขานับคนที่เดินผ่านไปมาได้ประมาณ 3 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะห่างกันราวๆ 20 นาที โดยการคาดคะเนแบบนับจำนวนวินาที
คราวนี้แหละ!
คนนั่งนับเวลารอมาเนิ่นนานกระทั่งคิดว่าคนที่เพิ่งเดินถือคบเพลิงคนที่ 4 ผ่านไปแล้วหมาดๆ คนจดจ้องจึงตั้งท่าพร้อมจะกระโจนออกตัวไปให้เร็วที่สุด
น้ำค้างคิดไว้แล้วว่าจะต้องวิ่งผ่ากลางผ่านระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้นนั้นไป ซึ่งน่าจะเป็นทางออกป่าไปได้ไกลเลย ไหนๆ อยู่ที่นี่ก็ต้องตายอยู่ดี เผลอๆ เขาอาจจะหมดลมหายใจในเช้าวันพรุ่งนี้เลยก็เป็นได้
งั้นสู้ขอไปตายเอาดาบหน้าซะยังจะดีซะกว่า!
ว่าแล้วน้ำค้างก็ค่อยๆ ย่องเปิดประตูใบไม้ที่น้ำหนักไม่มากนักแล้วหับกลับไว้ปกติเหมือนเดิม ก่อนที่จะหันซ้ายแลขวา กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ แล้วรีบวิ่งต่ำๆ ไปยังต้นไม้และพุ่มไม้ขึ้นหนาตา
แฮ่ก ๆ
เสียงลมหายใจหลังจากเดินจ้ำอ้าวออกห่างจากบ้านสะสมตุ๊กตาน่าสะพรึงนั้นได้ไกลพอประมาณแล้ว น้ำค้างลองหันกลับไปมองดูให้แน่ใจก่อนแล้วจึงได้สบเห็นแสงไฟจากคบเพลิงอันริบหรี่
เจ้าตัวพรูลมหายใจออกมาราวกับปาฏิหาริย์ที่หนีรอดออกมาได้ น้ำค้างคิดว่าตัวเองน่าจะรอดจากหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้แล้ว ทำเอาริมฝีปากบางยกกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาได้บ้าง
น้ำค้างแหงนมองท้องฟ้าที่เห็นแสงจันทร์สาดสองลงมาเพียงครึ่งเสี้ยวให้เป็นแสงสว่างนำทาง หมู่ดาวนับร้อยดวงบนนั้นช่างสวยงามซะจนไม่คิดว่าตนเองจะเคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน เพราะแถวเมืองหลวงนั้น ไม่มีวันได้เห็นสิ่งสวยงามแบบนี้ได้แน่นอน
เมื่อคุมลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว น้ำค้างคิดว่าควรจะต้องเดินต่อไปให้ไกลจากที่นี่ให้ได้มากที่สุด ต่อให้ต้องบุกป่าฝ่าดงหรือเจอเข้ากับสัตว์ร้ายในตอนนี้ ก็คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าเจ้าพวกคนประหลาดพวกนั้นแล้วล่ะ
กรร~ฉ์~~!!
โฮกกกกกกกกกก!!!!
ทว่าน้ำค้างคิดว่าตนเองนั้นกำลังคิดผิด ไอ้ความคิดฮึกเหิมเมื่อครู่ได้หายวับไปกับตาทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงเหมือนกับสัตว์ใหญ่ตัวอันตรายได้คำรามกึกก้องออกมา ราวกับกำลังข่มขวัญใส่กันลั่นจนทั่วผืนป่าแห่งนี้เสียแล้ว
ดวงตากลมเกิดความหวาดระแวงขึ้นอีกครา ร่างกายบอบซ้ำเริ่มเดินเซปัดซ้ายปัดขวา ยามเมื่อเหยียบย่ำลงไปในหลุมบ่อบ้าง ก้าวเท้าพลาดไปเหยียบเจอกับก้อนหินบ้าง ทำเอาแข้งขาอ่อนแรงจนเตะสะดุดบ้าง ล้มลุกคลุกคลานลงบ้าง
แต่เจ้าตัวก็ยังคงออกเดินด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่มีย่อท้อ แม้จะเดินสะเปะสะปะไปเรื่อยด้วยความไม่รู้ทางก็ตาม
ฮูก ฮูก
ความกล้าของน้ำค้างที่มีเมื่อครู่กลับกลายเป็นความกลัวที่เริ่มแทรกเข้ามากัดกินหัวใจทีละนิด จึงทำให้พละกำลังในสมองเริ่มลดทอนความมั่นใจลงแล้ว ว่าตนเองนั้นจะมีชีวิตรอดจนเจอกับทางออกของป่านี้ไปได้ยังไงกัน
ใบหน้าที่เคยมุ่งมั่นกลับเริ่มแสดงความท้อใจออกมา แต่ทว่าขาสองข้างของน้ำค้างก็ยังคงต้องก้าวเดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองไปด้วยพลางปลอบใจตัวเองให้หายกลัวจากความหวาดระแวง อีกทั้งยังต้องคอยสอดส่องสายตาหันมองซ้ายขวาไปตลอดทาง
ผีก็กลัว โจรก็กลัว พวกวิปริตบ้านั่นก็กลัว สัตว์ร้ายก็กลัว น่ากลัวแม่งไปหมด
ตอนนี้น้ำค้างกลัวจนจิตใจห่อเหี่ยว จนอยากจะร้องไห้โฮออกมาเสียงดังๆ ซะให้รู้แล้วรู้รอด
"อ่ะ! เหี้x! ซี๊ดดดด ได้เลือดเลยมึง"
เจ้าของน้ำเสียงหันไปมองยังบริเวณท่อนขาที่รู้สึกแสบทันที เมื่อได้สบเห็นชัดว่าเป็นรอยที่โดนขีดข่วนจากกิ่งไม้หรืออะไรสักอย่าง แต่ทว่ามันแสบจี๊ดขึ้นมาอย่างทันตาเห็นเลยละ
น้ำค้างหันขวับกลับไปมองหาต้นเหตุว่าตนเองนั้นโดนอะไรขีดข่วนเอา เพราะดูเหมือนว่าเลือดจะไหลออกมาไม่หยุดง่ายๆ ซะแล้ว
"ต้นเชี่ยอะไรวะเนี่ย หนามแหลมคมกริบเลย ไอ้บัดซบเอ๊ย"
น้ำค้างขนลุกเกรียวเมื่อเห็นต้นไม้ที่ถูกข่วนลงบนน่องขาจนได้อาบเลือด
ต้นของมันไม่ได้ใหญ่โตมาก จะเรียกว่าเป็นไม้พุ่มเตี้ยยังได้เลย พุ่มของมันไม่ใหญ่แต่หนามยั้วเยี้ย ใบก็เรียวเล็กถี่ยิบคล้ายๆ กับใบมะขาม
ทว่ากลับเหมือนใบมะขามติดใบมีดแหลมเฟี้ยวเสียมากกว่า จนเจ้าตัวมีสีหน้าเหยเกและรีบผละตัวออกให้ห่างต้นอันตรายทันที
น้ำค้างเร่งฝีเท้าเดินให้เดินห่างออกจากป่ารกชัฏแห่งนี้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกปวดตุ๊บที่บาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีอาการมึนหัวร่วมแทรกเข้ามาด้วย
ดวงตาที่ว่าตื่นกลัวทุกสิ่งอยู่แล้วยิ่งทำให้หวาดระแวงไปหมด ยิ่งตอนก้มลองไปมองบาดแผลที่ตนได้รับมาเมื่อครู่กลับมีอาการปูดบวม อีกทั้งหยาดเลือดยังคงผุดไหลซึมและหยดออกมาตลอดตามรายทางที่เดินผ่านมาด้วย
ซึ่งมันอาจจะเป็นหลักฐานชั้นดี หากพวกคนประหลาดจะตามตัวเขามาเจอได้ คนเจ็บยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็เกิดความหวาดกลัวมากเท่านั้น
น้ำค้างพยายามฉีกทึ้งแขนเสื้อ ทว่ามันไม่ยอมแยกออกจากกันเลย ฝ่ามือติดสั่นจึงเปลี่ยนมาดึงชายเสื้อให้มันเริ่มขาดวิ่นออกจากกันแทนแล้วนำมาพันไว้ที่ท่อนขาและเขยกขาก้าวเดินต่ออย่างสุดกำลัง
ทว่าเดินมาได้เพียงไม่นานนัก ท่อนขาถูกพันผ้าเริ่มขยับยกไม่ไหว การก้าวขาให้ยกขึ้นแล้วก้าวเดินออกไปข้างหน้าเห็นทีจะยากขึ้นไปทุกขณะ
น้ำค้างพยายามพยุงร่างให้เดินลากขาต่อไปแต่ละย่างก้าวด้วยความลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามก้าวเดินต่ออยู่ดี
ทว่าดวงตามันกลับเริ่มพร่าเบลอขึ้นมา สมองมึนชาแทบจะไม่สั่งการ และในตอนนี้น้ำค้างเริ่มมีอาการหนาวสั่นสะบั้นราวกับเป็นไข้ฉับพลัน
จนทำให้ต้องทรุดฮวบลงไปนอนหงายท้องแผ่หลาอยู่กับพื้นที่ป่ารกชัฏแห่งนี้เสียแล้ว
☘
เสียงอึกทึกดังขึ้นบริเวณแถวบ้านของผู้เฒ่า จนทำให้หลายคนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต้องพากันวิ่งออกมาดู ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมาลีนสายม้าเร็วผู้เป็นน้องชายของชาลรีด้วย
เมื่อมาลีนได้ฟังข้อมูล พร้อมทั้งสอดส่องมองทะลุเข้าไปในบ้านของผู้เฒ่าก็ไร้ซึ่งวี่แววของเด็กหนุ่มหน้าตาประหลาดคนนั้น เจ้าตัวรีบวิ่งโร่ไปทางบ้านของพี่ชายทันที
"แย่แล้ว แย่แล้ว ชาลรี!" มาลีนตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งมาถึงประตูหน้าบ้านของพี่ชายตนเองเสียอีก จนทำให้ชาวบ้านพากันแตกตื่นตามไปด้วย
"พี่! ชาลรี ชาลรี เปิดประตูเร็ว" น้ำเสียงตื่นตระหนกเอะอะอยู่ด้านนอก ทำให้คนด้านในต้องรีบเปิดประตูออกมา
ชาลรีได้เห็นใบหน้าแตกตื่นของน้องชาย จึงได้ถอนหายใจออกมา พร้อมกับกำลังจะอ้าปากตำหนิกันดังเช่นทุกครั้ง เพราะน้องชายของเขานั้นชอบตื่นตูมไปซะทุกเรื่องแบบเกินเบอร์เสมอ
"หยุด! อย่าเพิ่งด่า ฟังข้าก่อน แฮ่ก..”
ใบหน้าทั้งเหนื่อยหอบน้ำทั้งเสียงที่หายใจไม่ทัน รีบอ้าปากพูดขัดพี่ชายที่กำลังอ้าปากจะบริภาษใส่กันทันควัน
"ว่าอะไร เจ้าวิ่งโร่มาหาข้าแต่ฟ้ายังไม่สางดี" ชาลรีส่ายหน้าไปมาราวกับเอือมระอา พร้อมกับเอ่ยปากถามคนที่รู้ว่ากำลังจะถูกตำหนิ
"เด็กแปลกหน้าคนนั้น หายตัวไปแล้ว"
"ห๊ะ หายไปไหน?!"
"ข้าไม่รู้ หายไปจากบ้านท่านผู้เฒ่าลาฟกี้น่ะสิ ตอนนี้พวกกลุ่มเฝ้ายามที่ตรวจตรากำลังพากันออกตามหาอยู่" มาลีนมีสีหน้าไม่สู้ดีตามใบหน้าตึงเครียดของชาลรีเช่นกัน
ชาลรีไม่รีรอ ออกเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปบ้านของซามูร์อีกครั้ง ทว่ายังเดินไม่ถึงครึ่งทางก็ได้พบกับกลุ่มพลทหารส่วนตัวของหัวหน้าเผ่าซะก่อน จึงต้องหาที่อำพรางตัวแล้วแอบฟังอยู่หลังกำแพงบ้านของชาวบ้านแถวนั้น
"ออกตามหาตัวมันมาให้ได้!! ถ้าไม่ได้มันมา พวกเจ้ารู้ใช่มั้ยว่าจะเป็นยังไง?"
"โฮ่!"
เมื่อเหล่าทหารส่วนตัวของหัวหน้าเผ่าทยอยเดินออกไปตามหาตัวยุ่งแล้ว ชาลรีจึงเร่งฝีเท้าออกเดินต่อไปยังบ้านซามูร์ทันทีเช่นกัน
"ซามูร์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เจ้าตื่นรึยัง"
เสียงโหวกเหวกตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านอย่างร้อนรน จึงทำให้เจ้าของบ้านต้องยอมลุกขึ้นมาเปิดประตูให้อย่างจำใจ
"มีอะไรรึ ข้าศึกจากเผ่าไหนบุกมา" ซามูร์เปิดประตูออกด้วยใบหน้าขึงขัง พลางหยิบอาวุธที่เสียบอยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพร้อมออกรบ
"ไม่ใช่ข้าศึก แต่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มหลงทางเมื่อวาน เจ้านั่นหายตัวไปแล้ว"
หลังได้ยินคำตอบจากใบหน้าเคร่งเครียดของชาลรี ทว่าซามูร์กลับมีแค่คิ้วที่กระตุกเพียงเล็กน้อยแล้วก็เสียบดาบเล่มยาวกลับลงไว้ที่เดิม
"นึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร" เจ้าตัวว่าเสร็จก็ทำท่าจะเดินกลับไปล้มตัวลงนอนที่แคร่ไม้เช่นเดิม
"ซามูร์ แต่เจ้าเด็กนั่นหายออกไปจากทางบ้านผู้เฒ่านะ เจ้าก็รู้ว่าป่ารกชัฏดงนั้นมันอันตรายมากแค่ไหน" ชาลรียังคงเซ้าซี้เดินตามเจ้าของบ้านเข้ามาและรีบพูดโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างยิ่ง
"นี่เจ้าสนใจเจ้าคนประหลาดนั่นด้วยรึ มันหายตัวไปก็ช่างมันปะไร อาจจะหนีรอดไปแล้วก็ได้" ซามูร์พูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้มีท่าทีวิตกกังวลตามอีกคนด้วยเลย
"ข้าแค่สงสารและรู้สึกผิด ถ้าข้าไม่ลากเจ้าเด็กนั่นมาที่นี่ด้วย มันก็คงไม่ต้องมาเจอกับชนเผ่าของเราให้มันวุ่นวายตัดกันไม่ขาดแบบนี้หรอก" ชาลรียืนกำมือแน่น
"เจ้าถือซะว่า เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร เขาหนีไปเอง ป่านนี้คงไปได้ไกลแล้วละ"
"นี่เจ้าไม่คิดจะออกไปตามหาจริงๆ รึ"
"..." คนนอนนิ่งยังคงทำเป็นหันหลังหนีผู้เข้ามาเยือนกันถึงในบ้าน
"ซามูร์.."
"กลับไปเถอะชาลรีข้าจะนอน" ซามูร์ดึงผ้าห่มขนแกะขึ้นมาห่มเตรียมหลับนอนต่อ
"ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องออกไปตามหาเองสินะ หวังว่าเจ้านั่นจะไม่ตายไปซะก่อน เอ่..หรือถ้าตายไปก่อนพวกพลทหารของเก็งเคอร์ไปเจอตัวเข้า ก็อาจจะดีซะกว่า"
ชาลรีพูดกึ่งประชดประชันทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะยอมผละตัวหันหลังเดินออกจากประตูบ้านคนใจดำไป
หลังชาลรีทิ้งท้ายประโยคเช่นนั้นไว้ให้คนแสร้งนอนหลบพักผ่อนได้นอนคิด ทำให้คนนอนนิ่งบนแคร่ไม้เมื่อครู่กลับต้องนอนพลิกตัวไปมาด้วยความหนักใจ
"นี่เก็งเคอร์ใช้พลทหารส่วนตัวออกไปตามหากันเลยรึ"
คนจิตใจไม่สงบจึงผุดลุกผุดนั่ง เดี๋ยวก็ล้มตัวลงกลับไปนอน ซาร์มูเอาแต่คิดว่าช่างเถอะ ในเมื่อวานก็ช่วยไปแล้วหนหนึ่ง คราวนี้ก็แล้วแต่กรรมแต่เวรละกัน
ซามูร์หลับตาลงเลือกที่จะปล่อยวางแล้วนอนต่อ แต่ทว่าในเมื่อจิตใจไม่สงบก็มิอาจจะข่มตาให้หลับลงได้ เขาจึงลุกขึ้นเต็มตัวและเปลี่ยนผ้าเตี่ยวก่อนจะออกไปหาผู้สั่งการพลทหาร
"ท่านหัวหน้าเผ่า นี่ข้าเอง ซามูร์"
ซามูร์เดินผ่านยามที่เฝ้าหน้าประตูด้านนอกมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะมาหยุดยืนรอให้เจ้าของห้องใหญ่โตกว่าชาวบ้านอนุญาตให้เข้าพบได้
"เข้ามาสิ"
หลังเสียงอนุญาต ผู้เฝ้าประตูอีกสองนายจึงยอมเปิดให้ซามูร์ได้เดินเข้าไปหาคนด้านในทันที
"มีคนไปรายงานเจ้าแล้วรึ"
"ท่านหัวหน้าเผ่าส่งพลหทารส่วนตัวออกไปตามหาเขากลับมาทำไม ข้าบอกท่านแล้วว่าเด็กหนุ่มนั่นดูเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยวที่หลงทางเข้ามา ไม่ดูน่าสงสัยมีพิษภัยอันใดเลยด้วยซ้ำ"
"อยู่กันแค่สองคน เจ้าเรียกข้าเหมือนเดิมก็ได้ หลานชาย ไม่ต้องห่างเหินตามยศฐาหรอก"
"ท่านลุงยังไม่ตอบข้าเลย"
"เจ้าก็รู้ ว่าหากใครได้เข้ามาเหยียบกรีนเคิร์กแห่งนี้แล้ว จะต้องไม่มีวันได้กลับออกไปแพร่งพรายเรื่องราวดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ให้คนภายนอกได้รับรู้"
"แต่คนที่นำพาเขามาคือชาลรี เขาไม่ได้จงใจเดินดุ่มๆ เข้ามาเอง และก็ไม่ได้เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์แบบพวกนักวิจัยพวกนั้น"
"แล้วเจ้าจะเดือดร้อนอะไรเล่า ในเมื่อข้าก็แค่ให้คนของข้าไปจับตัวมันกลับมาเอง"
"จับกลับมาเพื่อฆ่าแกงเขานะรึ"
"หึหึ ก็ดูท่าจะเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกผู้เฒ่ากับชาวบ้านดีนะ เจ้าว่าไหมล่ะหลานรัก"
ซามูร์เริ่มไม่สบอารมณ์ด้วย เจ้าตัวเข้าใจหัวอกของชาลรีได้ในทันทีว่าเก็งเคอร์ก็แค่เห็นชีวิตคนเป็นเรื่องสนุก ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชาลรีถึงรู้สึกร้อนใจขนาดนั้น
คงเพราะรู้สึกผิดอยู่เต็มอกเป็นแน่ที่ลากเจ้าเด็กโชคร้ายนั่นเข้ามาเอี่ยวด้วย อย่างที่เจ้านั่นไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลย แต่กลับอาจจะต้องมาตายอยู่ที่ดินแดนเผ่ากินคนแห่งนี้
"เจ้ามีอะไรอีกรึเปล่า ถ้าไม่ ข้าขอพักสักหน่อย" เก็งเคอร์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเชิงบอกไล่แขกอยู่กลายๆ
"ถ้าข้าตามตัวเขาเจอก่อน เจ้านั่นต้องเป็นของข้า"
"หึหึ ก็เอาสิ นี่ข้าพึ่งรู้ว่าเจ้าก็อยากลองเล่นของแปลกเหมือนกัน" ซามูร์มองใบหน้าของคนที่ใช้น้ำเสียงนึกสนุกด้วยแววตาอ่านยาก
"แต่ข้าว่า..เจ้าคงต้องรอเล่นต่อจากข้าแล้วละ ฮ่ะๆๆๆ" เสียงหัวเราะร่วนกับแววตาเย้ยหยันของหัวหน้าเผ่าทำเอาซามูร์กำหมัดแน่น แต่ก็ไม่สามารถจะลงมืออะไรกับคนตรงหน้าได้เลย ซามูร์จึงจำต้องหันหลังเดินจากไป
หัวหน้าทีมสำรวจจึงได้ตามตัวพวกทีมนักสำรวจให้มารวมตัวกันแล้วแจ้งเหตุ และทุกคนในทีมจึงได้รีบพากันออกเดินทางทันที
เพื่อออกตามหาตัวประหลาดที่มีชีวิตตกอยู่ในภัยอันตรายรอบด้านโดยไม่รีรอเวลาอีกต่อไปแล้ว