Area 2 : ความจริงที่เป็นฝันร้ายชัดๆ!

3045 Words
ดวงตาปรือปรอยพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเปิดออกได้เลยสักนิด นอกจากจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว สมองยังพร่าเบลอปวดตุ๊บ จนไม่สามารถจับใจความภาษาที่ส่งเสียงโหวกเหวกแว่วมาเข้าหูได้เลยสักนิด ได้ยินแต่อะไร อุกะ อุกะ อันแปลกประหลาดที่แว่วมาเข้าหู จึงทำให้น้ำค้างได้หลับลึกลงบนแคร่ไม้อีกครั้งแทน "พวกมึงไปเอาไอ้ประหลาดนี่มาจากไหนรึ" น้ำเสียงดุดันของหัวหน้าเผ่าแหวดังเอ่ยขึ้นมาอย่างผู้มีอำนาจ "ผมเจอมันนอนสลบอยู่ริมน้ำตกฟากตะวันออกนู้นครับท่าน ไม่รู้จะทำยังไง เลยเอามาให้ท่านตัดสินใจเอง" ชายหนุ่มเต็มวัยของชนเผ่า 5-6 คนที่ได้พบเจอแล้วทยอยกันเข้าไปมุงดูตัวเด็กหนุ่มแปลกหน้าแปลกตา ในตอนนี้กำลังถูกสอบสวนโดยหัวหน้าเผ่าจนมีสีหน้าจืดเจื่อน คิดผิดแล้วที่เอาไอ้หน้าขาวเนื้อตัวมอมแมมนั่นติดมือมาด้วย หัวหน้าเผ่าวัยกลางคนเดินอาดๆ เข้าไปใกล้กับร่างที่หลับอยู่ เก็งเคอร์ยืนขัดหลังแล้วเพ่งสายตาจ้องมองอยู่ใกล้กับเด็กหนุ่มผิวพรรณแตกต่างกับชาวชนเผ่าแบบพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะเอ่ยปากบอกกับลูกน้องพวกพ้อง "เอามันไปมัดไว้กลางลานประชุมซะ" "ฮ่อ!" พลสำรวจทั้งหกขานรับออกมาเป็นอันว่าเข้าใจตรงกันแล้วว่าหัวหน้าเผ่าต้องการทำอะไรต่อจากนี้ อุกะ... อุกะ... "ชาลรี ข้าเอาฝืนท่อนเล็กใหญ่จัดวางเรียงสลับกันไว้เสร็จแล้ว" หนึ่งในหกผู้ร่วมชะตากรรมได้เอ่ยปากบอกคนที่ไปเจอเข้ากับเด็กหนุ่มประหลาดเป็นคนแรก "เออ เดี๋ยวรอท่านผู้นำสั่นกระดิ่งเรียกประชุมก่อนละกัน" ชาลรีถอนหายใจออกมา พลางปรายหางตามองไปยังร่างมอมแมมที่ถูกมัดตรึงเอาไว้กับเสาไม้ต้นใหญ่ตรงกลางลานประชุมโล่งเตียนอย่างรู้สึกผิด ที่จริงข้าควรจะปล่อยมันไว้ตรงนั้นอาจจะดีซะกว่า หากต้องมาถูกเผาไฟย่างสดแบบนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก ในขณะที่ชาลรีกำลังนึกสงสารเด็กหนุ่มผู้ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากชนเผ่ากรีนเคิร์กแห่งนี้ จึงได้เห็นว่ากองลาดตระเวนฝั่งใต้ได้กลับเข้ามายังที่พักแล้วเช่นกัน ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้วจากแสงแดดที่เคยสว่างจ้าก่อนหน้านี้ จึงค่อยๆ อ่อนแสงรำไรตามลงด้วย ซึ่งมันไม่ทำให้แสบร้อนยามตกกระทบลงบนผิวหนังแล้วนั้น ย่อมหมายได้ถึงเวลาสั่นกระดิ่งเรียกประชุมจากผู้นำสูงสุดของชนเผ่ากรีนเคิร์กแห่งนี้ด้วยแล้วเช่นกัน กรุ้ง~กริ้ง~ กรุ้ง~กริ้ง~ การสั่นกระดิ่งเป็นการส่งสัญญาณเรียกครอบครัวชาวชนเผ่าที่มีอยู่ราวกว่า 300 ชีวิตในชุมชนแห่งนี้ หลังจากได้ยินสัญญาณกระดิ่งดังขึ้นแล้ว ชาวบ้านทุกคนจำต้องมาเข้าร่วมชุมนุมเข้าประชุมกันพร้อมเพรียง เพื่อฟังหัวหน้าเผ่าว่ามีเรื่องอะไรที่จะต้องแจ้งให้ทราบอย่างทั่วหน้ากัน เมื่อทุกคนมายืนรายล้อมกันเป็นวงแล้ว จึงได้เห็นบุคคลประหลาดที่ถูกผูกตรึงร่างเอาไว้ เด็กหนุ่มที่ดูแตกต่างทั้งหน้าตาผิวพรรณอยู่ในสภาพเนื้อตัวเลอะเทอะไปหมด แถมบนร่างกายยังมีเครื่องนุ่งห่มแปลกตาเปรอะเปื้อนห่อหุ้มไว้ด้วยอีก หัวหน้าเผ่าเริ่มต้นการประชุมทันที หากแต่เมื่อเอ่ยปากพูดได้ไม่นาน คนที่ถูกประจานอยู่ต่อหน้าสาธารณชนท่ามกลางวงประชุมอยู่ก็ได้เริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาที่เคยปิดพับสนิทก่อนหน้านี้ได้เบิกโพลงขึ้นทันควัน จนดวงตามันแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เมื่อยิ่งได้สบเห็นกับภาพฝันร้ายอยู่ตรงเบื้องหน้า จึงได้เริ่มตีโพยตีพายโวยวายขึ้นมาทันที "เห้ยยยย นี่กูยังไม่ตื่นจากความฝันอีกรึไงวะ!!!" น้ำค้างสะดุ้งสุดตัว พลางกลอกตามองไปรอบทิศ เห็นมีแต่คนแต่งตัวประหลาด รูปร่างหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยกำลังยืนล้อมรอบ จ้องเขม็งมองกันอยู่อย่างไม่เป็นมิตร ด้วยความเคยชินหากเจอสิ่งเลวร้ายตรงหน้าต้องรีบยกมือขึ้นมาพนม แต่ทว่าเมื่อน้ำค้างลองกระตุกมือถึงได้รู้ว่าที่ข้อมือและข้อเท้าของตนเองนั้นได้ถูกผูกติดถ่วงเอาไว้กับเสาท่อนใหญ่ไปซะแล้ว แถมเมื่อเหลือบตามองลงไปยังข้างล่าง จึงได้เห็นว่ามีท่อนไม้ ท่อนฝืนเล็กใหญ่ถูกจัดเรียงรายล้อมเตรียมการเอาไว้เรียบร้อย น้ำค้างใจคอไม่ดียิ่งกว่าเดิม ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาซะดื้อๆ นี่อาการอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกตื่นกลัวสุดขีด ดวงตากลิ้งกลอกเลิ่กลั่กมองไปมาราวกับคนไร้สติ พร้อมทั้งแหกปากร้องเสียงดังลั่นราวกับคนบ้า ทั้งที่ชาวชนเผ่ายังไม่ทันจะทำอันใด แต่คนที่ถูกตรึงร่าง ยึดโยงแขวนตัวเอาไว้ ก็ทำเอาคิดไกลไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ว่าตนเองนั้นจะต้องถูกพรากลมหายใจอย่างแน่นอน แววตาสั่นระริกยิ่งหันไปมองเห็นทางคนที่เอาแต่ตะโกนพูดปาวๆ กึกก้อง แลดูมีอำนาจสูงสุด ณ ที่แห่งนี้ เพราะจากการแต่งองค์ทรงเครื่องที่ดูมีอะไรเยอะแยะมาประดับอยู่บนร่างกายมากกว่าผ้าเตี่ยวผืนเดียวแบบคนอื่นๆ และที่บนหัวนั้นยังมีเครื่องหัวที่ดูเหมือนพุ่มหางขนไก่ฟูฟ่องสูงๆ สีแดงแจ๋ปักไว้ด้วยอีก ชายผู้นั้นเดี๋ยวหันไปทางลูกจ๊อกที่ยืนอยู่ด้านข้างจำนวนหนึ่ง บางทีก็หันไปทางพวกที่ดูเป็นชาวบ้านธรรมดา มีเสื้อผ้าใส่กันบ้างไม่ใส่กันบ้าง ท่าทางไม่เป็นมิตรทำเอาน้ำค้างต้องสะดุ้งเฮือกทุกที เมื่อเวลาถูกชายผู้นั้นหันหน้ามาถลึงตามอง พร้อมชี้นิ้วใส่กันด้วยแววตาดุแข็งกร้าว ซ้ำยังใช้เสียงกระโชกโฮกฮากพล่ามอะไรใส่ด้วยในภาษาที่ไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด น้ำค้างจึงเลือกหลับตาปี๋แทน แล้วเอาแต่สวดมนต์ภาวนาในใจ ปากก็พร่ำท่องคาถาพึมพำมั่วบทไปหมดเพราะไร้ซึ่งสติความจำแทบทั้งสิ้น แต่แล้วเมื่อลองลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ยิ่งได้เห็นว่าพวกลูกจ๊อกของชายผู้มีอำนาจคนนั้น กำลังเดินถือคบเพลิงใกล้เข้ามาด้วยกันถึง 2-3 คน จนทำให้น้ำค้างยิ่งสั่นสะท้านไปทั่วสรรพรางค์ หยาดเหงื่อเม็ดโตผุดซึมทะลักออกมา จนมันร่วงกราวไหลออกมากองรวมกันยังปลายจมูกและไหลลงไปกองอยู่ตรงปลายคาง ก่อนที่มันจะหยดติ๋งๆ ลงไปสู่พื้นเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยท่อนไม้ ซึ่งเป็นฉนวนในการทำเชื้อเพลิงในการก่อไฟชั้นดี "ฮื้อ ตายแน่เลย กูตายแน่ไอ้น้ำค้างเอ๊ยยย" ตอนนี้แม้กระทั่งชั้นในของน้ำค้างก็ดูท่าว่าน่าจะเปียกแฉะไปหมดแล้ว เหมือนกับว่าเกิดความกลัว จนทวารมันเปิดออกเองโดยอัตโนมัติ ทำให้ฉี่ราดไปเรียบร้อยแล้วด้วย "พ่อแก้วแม่แก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดช่วยลูกให้รอดพ้นปลอดภัยด้วยเถ้อ ฮื้อ น่ากลัวฉิบหายเลยโว๊ยยย" น้ำค้างสุดจะทน ไหนๆ ก็ฟังภาษากันไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว เจ้าตัวจึงดิ้นเล่าๆ ทั้งที่ยังถูกมัดตัวแน่นมาก จนไม่สามารถขยับร่างออกจากเสาตั้งฉากต้นใหญ่ได้เลยสักนิดเดียว "ไอ้สัส ไอ้พวกเหี้- ไอ้พวกฉิบหาย ปล่อยกูนะโว้ย" แม้นริมฝีปากจะสั่นเทา แต่ว่าก็เปิดอ้ากว้างหลับหูหลับตาตะเบ็งเสียงก่นด่าแว้ดๆ ตะโกนโวยวายร้องขอชีวิตระคำสาปแช่ง สาปส่งให้พวกคนป่าระยำจนสุดเสียงเผื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยได้บ้าง "ไอ้ส้นตีx ไอ้ระยำ! สัส! แม่ง ปล่อยกูดิว่ะ จับกูมาฆ่าทำไม ฮื้อออ" น้ำค้างพร่ำเพ้อด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา เมื่อสามหนุ่มที่อยู่ในชุดผ้าเตี่ยวเหมือนคนอื่นๆ จะแตกต่างกันตรงที่มีผ้าเส้นไม่ใหญ่ไม่เล็กคาดทับบนหน้าผาก พร้อมกับคบเพลิงถืออยู่ในมือได้เดินใกล้น้ำค้างเข้ามาเรื่อยๆ เจ้าตัวจึงพยายามดีดดิ้นแล้วกรีดร้องจนสุดเสียง "ไอ้เหี้x ไอ้พวกระยำ แม้กูไม่มีพ่อแม่ แต่กูก็ยังไม่อยากตายนะว๊อยยย" อ๊ากกกกก!!!! เมื่อคนเราเกิดความหวาดกลัวจนขีดสุด จึงได้หมดสติลงไป ทำให้คนสลบนิ่งเงียบเสียงสนิทลงไปเองเสียแล้ว "พอเถอะ ท่านเก็งเคอร์" น้ำเสียงทุ้มแทรกดังเข้ามากลางวงประชุม ทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทันที ซามูร์ผู้ที่คิดว่าหลังจากกลับมาจากการเดินทางสำรวจพื้นที่ทางใต้มาหลายวัน เจ้าตัวรู้สึกอ่อนเพลียมากจึงอยากจะพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่เสียหน่อย แต่ทว่าเสียงโหวกเหวกโวยวายด้านนอกที่เอ็ดตะโรดังลั่น สลับกับมีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว จนทำเอาคนที่อ่อนเพลียข่มตาให้หลับไม่ลงเลย เจ้าตัวรู้สึกหงุดหงิด จนต้องเดินออกมาดูให้เห็นกับตาว่าคนเสียงดีที่ร้องกรี๊ดๆ นั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้แทน "นี่เจ้า จะมาขัดขวางข้ารึ?!" หัวหน้าชนเผ่ายังคงวางมาดข่มว่ามีอำนาจสูงสุด รีบพูดจาโต้ตอบใส่คนเข้ามาขัดขวางทันควันเช่นกัน "ท่านก็เล่นแรงเกินไป แล้วนี่กำลังทำอะไรกัน เอาร่างมันไปให้ผู้เฒ่ากับหมอผีทำนายมาแล้วรึ?" ซามูร์มักจะพูดจาด้วยเหตุผลเสมอ อีกทั้งมีหลักการมากกว่าการใช้อารมณ์ตัดสิน ซึ่งนี่เป็นข้อดีที่ผู้คนในชนเผ่ายอมรับนับถือ เมื่อผู้คนที่อยู่กลางลานประชุมเริ่มพยักหน้าเออออเห็นคล้อยตามซามูร์ด้วยแล้ว หัวหน้าเผ่าเริ่มม้านหน้าเสียอาการเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังคงทำเป็นมีอำนาจบาตรใหญ่โดยการลั่นวาจาสั่งลูกจ๊อกทั้งสาม ให้เอาไอ้หนุ่มตัวประหลาดลงมาแล้วเอามันใส่แคร่ไปหาหมอผีกับผู้เฒ่าให้พิจารณาก่อนตามกฎของกรีนเคิร์กแห่งนี้เสีย "ข้าเห็นแก่เจ้านะซามูร์" เก็งเคอร์รู้สึกไม่พอใจซามูร์ที่เข้ามายุ่มย่ามและหักหน้าเขาต่อหน้าพวกชาวบ้าน จึงทำเป็นวางท่าพูดจาเหมือนกับว่า ถ้าหากเกิดอาเพศอันใดขึ้นก็เป็นเพราะซามูร์ทั้งนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินฝ่าวงล้อมออกจากการประชุมไปเลย ซามูร์ได้แค่มองตามแผ่นหลังหัวหน้าเผ่าไปจนลับสายตา ก่อนจะหันมาสั่งพวกครอบครัวชาวชนเผ่าให้กลับเข้าที่พักกันเสีย หากใครยังมีอะไรติดค้างก็กลับไปทำต่อได้ วันนี้เลิกการประชุมแล้ว ส่วนเรื่องในวันนี้ห้ามทำอะไรชายหนุ่มคนนั้น จนกว่าจะได้ยินจากปากผู้เฒ่าและหมอผีตัดสินความซะก่อน อุกะ! อุกะ! ชาวบ้านทุกคนตอบรับกันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับซามูร์ และได้พากันแยกย้ายสลายตัวออกกันไปจนหมดลานประชุมแล้ว จึงเหลือไว้เพียงแค่แท่งเสาต้นใหญ่กับพวกท่อนไม้ท่อนฝืนที่เคยมีร่างของเด็กหนุ่มประหลาดถูกจับตัวมามัดแขวนไว้ จนเกือบจะโดนเผาร่างทั้งเป็นรอมร่อแล้ว ชาลรีพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับหันมาส่งยิ้มให้ซามูร์อย่างโล่งอกที่ไม่ต้องทนเห็นเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นถูกเผ่าทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา "ขอบคุณนะซามูร์" ชาลรีหันซ้ายแลขวา เมื่อปลอดผู้คนแล้วจึงรีบเอ่ยขอบคุณซามูร์ผู้เป็นหนึ่งเดียวที่กล้าต่อกรกับหัวหน้าเผ่าจอมวางอำนาจ "ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แค่รำคาญเสียงโหยหวนของคนจะตาย เลยต้องออกมาดู ตอนแรกคิดว่าจะออกมาต่อว่าซะหน่อย แต่ดันเป็นลมไปก่อนจะโดนด่าซะได้" ซามูร์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ชาลรีก็ย่อมรู้สึกได้ว่าซามูร์ก็พูดไปงั้นแหละ ทั้งที่มักจะช่วยทวงความยุติธรรมและรักษาชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว ตอนที่ชาลรีได้ยินว่าพวกทัพสำรวจทางตอนใต้กลับมาแล้ว เขาก็คิดออกเพียงแค่หนทางเดียวที่จะช่วยเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้นได้ ชาลรีจึงรีบแจ้นเอาเรื่องนี้ไปบอกกับซามูร์ที่บ้านพักของคนตรงหน้าทันที เมื่อซามูร์ได้ยินคิ้วได้รูปก็ขมวดเข้าหากันจนดูตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวเองเลยสักนิด ชาลรีไม่ต่อความยาวสาวความยืดจึงทำแค่พยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจแล้ว แล้วแต่เจ้าเถอะ ก่อนจะผละตัวเดินจากไป เพราะเดี๋ยวต้องไปสอดส่องเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น ว่าถูกหามไปถึงบ้านหมอผีอย่างปลอดภัยรึเปล่า ถึงอย่างไรเสีย ชาลรีก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดีที่นำคนสลบติดมือกลับมาที่เผ่าด้วย จนเจ้าเด็กนั่นเกือบจะโดนฆ่าทิ้งจริงๆ ซะแล้ว หน้าตาช่างประหลาดยิ่งนัก เป็นนักท่องเที่ยวรึ? แล้วเดินทางอิท่าไหนถึงได้หลงป่าจนโดนจับตัวมากัน หาเรื่องตายชัดๆ ซามูร์คิดวนอยู่ในหัวเมื่อได้เห็นร่างของเด็กหนุ่มประหลาดคนนั้นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นตามที่ชาลรีตะลีตะลานวิ่งไปบอกกันตั้งแต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูเข้าบ้านเลยด้วยซ้ำ พอเมื่อหลังจากได้เห็นสภาพร่างเด็กคนนั้นก็ทำให้ซามูร์เข้าใจชาลรีได้ในทันที ว่าคงจะเห็นใจเด็กคนนั้นมากเลยแหละ เพราะถ้าหากว่าเป็นนักท่องเที่ยวแล้วดันเผอเรอหลงทางเข้ามาแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ต้องมาตายแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยนี่ก็ดูน่าอเนจอนาถไปสักหน่อย ซึ่งมันไม่ใช่พวกสปายหรือพวกที่ชอบพยายามจะรุกล้ำล่วงอาณาเขตเข้ามา เพื่อต้องการจะต่อรองเรื่องพื้นที่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ากรีนเคิร์กแห่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นพวกนั้นน่ะ ยังไงก็ต้องจัดการให้สิ้นซากสถานเดียว!! ☘ กระท่อมหลังเล็กที่เต็มไปด้วยแสงจากลำเทียนเพียงไม่กี่เล่มนั้น ยิ่งทำให้บรรยากาศดูวังเวงน่ากลัวมากกว่าเดิมอย่างยิ่ง ยามคนที่กรีดร้องเจียนตายจนสลบแน่นิ่งไปในตอนเย็น บัดนี้กลับได้เบิกตาโพล่งขึ้นมาท่ามกลางแสงสลัวอีกครั้งแล้ว เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบสะบัดหน้ากลอกลูกตามองรอบๆ ไปมาทันที แต่ทว่าเมื่อได้ลองพยายามเพ่งสายตามองไปทางไหนก็เจอแต่ความมืดมิด เมื่อได้จดจ้องมองไปทั่วพื้นที่อันเงียบเฉียบแล้ว จึงได้ยินเพียงแค่เสียงลมพัดผ่านกับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่กู่ร้องออกมาแข่งกันเท่านั้น น้ำค้างจึงรีบผุดตัวลุกขึ้นนั่ง เจ้าตัวพยายามหมอบตัวลงต่ำเมื่อปรายหางตาเห็นเงาตะคุ่มพร้อมกับคบเพลิงในมือเดินผ่านไปมา คาดเดาดูแล้วน่าจะเป็นพวกคอยเฝ้าเวรยามให้มาจับจ้องกันอยู่รึเปล่า ทำเอาดวงตากลมกลอกไปมาอย่างหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม ไอ้เหี้x! นี่กูหลุดเข้ามาในโลกไหนวะเนี่ย? ตอนแรกก็ว่าฝันไป แต่แบบนี้ไม่ใช่แล้วมั้ยมึงเอ๊ย..! แววตาเลิ่กลั่กกวาดสายตามองไปทั่วๆ บริเวณ อีกทั้งในสมองยังเอาแต่คิดทบทวน ว่าตัวเองวิ่งตามหาป้าถินอยู่ดีๆ ไม่ใช่รึ แล้วไฉนตนเองถึงโผล่มายังสถานที่ประหลาดแห่งนี้ได้เล่า น้ำค้างพยายามปรับสายตา จนสามารถมองเห็นในที่มืดมิดได้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว เมื่อได้ลองสังเกตมองดูดีๆ ตรงเบื้องหน้าของเขานั้น มันมีทั้งต้นไม้ใหญ่ อีกทั้งยังมีตุ๊กตาไม้แกะสลักสารพัดรูปแบบ แต่ละอันดูมีใบหน้าท่าทางน่าสะพรึงกลัวจนทำเอาขนลุกซู่ขึ้นมาเสียดื้อๆ "อ่าว พ่อหนุ่มฟื้นแล้วรึ" น้ำเสียงเย็นเยียบที่ดังขึ้นมากะทันหัน ทำเอาน้ำค้างถึงกับสะดุ้งเฮือกจนสุดตัว ทำให้ลมหายใจสะดุดทันควัน ท่อนขาที่อยู่ในท่าคลานเข่าหมอบตัวลงต่ำ กลับต้องทรุดเสียหลักลงไปสั่นเทิ้มโดยทันที ทั้งที่ยังไม่เห็นที่มาของเสียงทักเลยสักนิด "นะโม! พุทโธ! สังโฆ! เอาไว้ข้ากลับบ้านได้แล้วจะทำบุญไปให้นะเจ้าประคู้น.." มือติดสั่นยกขึ้นประกบพนมกัน พลางบ่นภาวนาพึมพำบทสวดแบบวกไปวนมา กลายเป็นบทสวดชนิดรวมมิตรไปซะแล้ว ยิ่งถูกสัมผัสเย็นยะเยือกแตะลงบนหัวไหล่ ยิ่งทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงจนตัวโยน ทำเอาน้ำค้างหวีดร้องออกมาด้วยอาการตกใจจนแทบช็อก "อ๊ากกกกกกก!!!" น้ำค้างแทบจะสติหลุดอีกรอบ แล้วอยากจะลุกขึ้นวิ่งแบบชนิดที่ว่าโกยแน่บให้สุดชีวิตได้เท่าไหร่ยิ่งดี เมื่อคนขวัญผวาได้สบเห็นเข้ากับใบหน้าและสภาพร่างของคนที่เดินเข้ามาใกล้กันภายใต้แสงเทียน แถมดันเอามือเย็นยะเยือกมาวางลงบนหัวไหล่ของตนเองให้ตกใจแทบช็อกตายคาที่ขนาดนี้ด้วยแล้ว คนตัวสั่นเทิ้มจึงเพิ่งจะรู้ตัวเองอีกเช่นกัน ว่าตนเองนั้นเป็นคนปอดแหกประเภทที่ก้าวขาไม่ออกเลย ยิ่งยามที่ได้เจอสิ่งที่ทำให้หวาดกลัวแบบสุดขีดนั่นเอง "พ่อหนุ่ม ใจเย็นๆ ก่อน" น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยดังขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ได้ช่วยทำให้น้ำค้างใจเย็นลงได้เลย เพราะนอกจากเจ้าตัวจะฟังไม่รู้เรื่องแล้ว สายตาหวาดกลัวยังจ้องมองไปที่มืออีกข้างของชายชราที่ได้ถือมีดพร้าปลายด้ามแหลมคมอยู่ในมือด้วย "ตายแน่ๆ กู ตายแน่ๆ แล้วคราวนี้ ฮึก"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD