1
“นิชาขอโทษค่ะหมอ นิชาทำไปเพราะ...เพราะ...รักหมอนะคะ”
เสียงหวานออดอ้อนของดาราสาวสวยอนาคตไกลที่กำลังโด่งดังถึงขีดสุดในตอนนี้ บอกกับร่างสูงสง่าที่ยืนหันหลังใส่เสื้อจนเรียบร้อยแล้วเลยหยิบเช็คเงินสดวางไว้ให้ตรงปลายเตียงนอน บอกเสียงเรียบดั่งมหาสมุทรยากจะหยั่งให้ถึงก้นบึ้งของจิตใจเขาว่า
“เราตกลงกันแต่แรกแล้วนิชา คุณล้ำเส้นเอง”
“โอเคค่ะ นิชายอม นิชาจะไม่งอแงอีกแล้ว นิชาสาบานเลยค่ะว่าจะไม่โพสต์ภาพในทำนองว่าไปไหนมาไหนกับหมออีก คนจะได้ไม่รู้ว่าเราคบกันไงคะ หมอให้โอกาสนิชานะคะ...นะ...นะ”
“เท่าที่ผมจำได้...เราไม่เคยคบกันเลยนะนิชา คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ภีมแค่นยิ้มบอกด้วยวาจาร้ายกาจ ค่อยเปิดประตูออกจากคอนโดส่วนตัวของเขาไป
เขาพอใจกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยเช่นนี้ ชอบแค่ความสวยชั่วครั้งชั่วคราวของผู้หญิงที่เต็มใจมอบให้ เสพย์จนพอแล้วก็หมดสนุกและเลิกรา ทางใครทางมัน นิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขี้เบื่ออย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้น แก้ไม่หายเสียที
แล้วยกโทรศัพท์ต่อสายหาผู้ช่วยส่วนตัวพอปลายสายรับจึงกรอกเสียงลงไปอย่างที่เคยทำทุกที
“จัดการปิดข่าวให้เรียบร้อย ขายห้องชุดนี้เลย เงินที่เหลือ...โอนให้เธอไป”
คุยสายสั่งงานจนจบ
ภีมเดินจนมาถึงรถหรูที่จอดอยู่ในชั้นเดียวกันพอดี เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยก่อนบิดคอซ้ายขวาไล่ความเมื่อยขบ
เช้านี้เขามีประชุมองค์กรทั้งวันเสียด้วยสิ
นึกแล้วยิ้มให้กับตนเองที่ใช้ชีวิตคุ้มเกินคุ้ม
เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์เขาทำงานทุกวัน แต่ละวันหมดกับการทำงานไปถึงสองส่วนสามของเวลาเต็มวัน แทบจะนับเวลาพักผ่อนได้ว่าไม่มากเท่าไรนัก
เขาจึงต้องผ่อนคลายตามอย่างที่ใจต้องการ อาจเป็นปาร์ตี้ส่วนตัวริมสระที่ไหนสักที่ หรือหมดไปกับสาวสวยประวัติดีสะอาดสะอ้านสักคน
ที่สำคัญต้องไม่ผูกพันธุ์ ไม่ผูกมัดนั่นคือข้อตกลงข้อเดียวของเขา
แล้วออกรถตรงดิ่งสู่จุดหมายเบื้องหน้า
สายตาคมเหลือบมองสายเรียกเข้าจากดาราสาวที่เพิ่งสลัดทิ้งเมื่อครู่ นิชายังพยายามโทรเข้ามาจึงทำให้เขาเสียการควบคุมรถที่ขับลัดเลาะเข้าซอยทางลัดหนีรถติดในช่วงเช้าสู่ที่หมาย จนรถเขวเกือบออกนอกเลนจะชนคน
แต่พอมองผ่านกระจกมองหลังเห็นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งริมถนนกำลังก้มหน้ากับจอโทรศัพท์ไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นอะไรเลยเปลี่ยนใจ
นึกค่อนที่คนยุคนี้ให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินพอดี และหญิงสาวคนนั้นก็คงเป็นอีกคนที่เป็นหนึ่งในสังคมก้มหน้า
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่แคร์ หยิบโทรศัพท์ปิดเครื่องโยนทิ้งไปที่เบาะหลังทันทีแล้วขับรถต่อไป
“ขับรถอะไรแบบนี้เนี่ย จะชนคนอื่นเขาอยู่แล้ว”
พิมนาราบ่นงึมงำไล่หลังรถที่เกือบเฉี่ยวชนเธอเมื่อครู่ พร้อมกับเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไปในกระเป๋าดังเดิม
เมื่อครู่เธอตกใจที่กระเป๋าสั่นไม่พอยังตกใจที่เกือบโดนรถหรูคันเมื่อครู่เฉี่ยวเข้าให้อีก ก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา พวกคนรวยคงไม่สนใจสินะว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง มือยังคงควานในกระเป๋าใบย่อมแล้วก็เจอเข้ากับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ณภัทรแอบเอามาใส่ไว้ตอนไหนก็ไม่รู้
บอกแล้วว่าอย่าซื้ออะไรให้ ไม่เคยฟังคำเธอบ้างเลย
เพิ่งหกโมงสี่สิบห้าเท่านั้น ที่พิมพ์นาราออกจากบ้านเช่าในซอย เธอกำลังจะรอขึ้นรถประจำทางเพื่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อ ซึ่งเปิดให้บริการไม่นานมานี้และรับสมัครพนักงานเพิ่มอีกหลายอัตรา
หญิงสาวเพิ่งเรียนในระดับปริญญาตรีได้แค่ปีเดียว ก็ต้องออกเนื่องจากสูญเสียบิดาที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ส่วนมารดาของเธอนั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก เงินประกันชีวิตที่ได้รับจากการสูญเสียบิดา ส่วนใหญ่หมดไปกับค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูงของมารดา
เธอจึงตัดใจออกจากมหาวิทยาลัย โดยบอกคนเป็นแม่ว่าแค่ดร็อปเอาไว้ก่อนเพราะขี้เกียจเรียน แล้วเตร่หางานอยู่นานโขจึงได้ในที่สุด
หลังจากส่งใบสมัครทางอินเตอร์เน็ตไม่กี่วัน ฝ่ายบุคคลก็โทรศัพท์ตามให้ไปสัมภาษณ์งาน เธอลงสมัครในตำแหน่งผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ดูเหมือนจะไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาอะไรมากมายนัก แล้วเธอก็ถูกจัดให้เป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในแผนก PM&R
ทันทีที่มาถึง พิมนาราเดินเข้าไปในตึกสูงกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของที่ทำงานเธอเข้าลิฟต์ของพนักงานกดเลขชั้นที่สิบสองเพื่อไปที่แผนกของเธอ ไฟหลายดวงยังคงปิดมืด เพราะยังไม่ถึงเวลาให้บริการ
พลันเสียงเสียงหนึ่งก็ดังทะลุแทรกเสียงของเครื่องปรับอากาศจนทำให้พิมนาราสะดุ้งตกใจ
“เด็กใหม่ใช่ไหม”
พิมนาราเหลียวซ้ายแลขวามองซ้ายขวาหาต้นตอของเสียงจนพบ ก่อนผุดรอยยิ้มนอบน้อมตอบรับ “ค่ะ”
หญิงสาวหน้าตาท่าทางดูดีคนที่ทักเธอ กำลังบรรจงแต่งหน้าอ่อนๆตรงกระจกเงาภายในห้องของพนักงาน ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองผูกมิตร
“กินข้าวเช้ามารึยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“นั่งก่อนสิ ชื่ออะไรล่ะเราน่ะ”
“พิมค่ะ”
“พี่ชื่อวิ เอ๊ะ! วันนี้มีประชุมองค์กร ผู้บริหารพบพนักงานด้วยนี่นา ไปดูชื่อที่เคาน์เตอร์ไป ว่ามีชื่อของเรารึเปล่า”
พิมนารายิ้มค่อยลุกจากเก้าอี้ที่เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่ถึงนาทีเดินย้อนกลับไปยังที่ที่อีกฝ่ายบอก
ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดเธอคิด ก่อนจะรู้สึกเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงวันก่อน เธอต้องผ่านการตรวจร่างกายและอบรมพนักงานใหม่อยู่สามวัน พอเริ่มงานวันแรกก็ต้องขึ้นประชุมองค์กร เพื่อฟังผู้บริหารพ
พนักงาน ที่มักจัดขึ้นทุกๆสามเดือนตามคำบอกเล่าของพี่วิ
และเพราะต้องวิ่งไปมาถ่ายเอกสารให้ผู้จัดการแผนก จึงทำให้เธอขึ้นห้องประชุมสายกว่าคนอื่น จนกลายเป็นเป้าสายตาขณะเดินเข้าไปในนั้น
ชายที่ยืนตรงด้านหน้าสุดถือเลเซอร์พอยเตอร์ เขาเงียบแล้วมองจนเธอหาที่นั่งนั่งลงได้จึงเริ่มพูดต่อไป แต่หญิงสาวไม่มีเวลาพิศมองชายคนนั้น เธอหยิบเอกสารที่ได้รับแจกก่อนเข้าห้องเปิดดูคร่าวๆ
“อย่างที่ผมบอกพวกเราทุกคน ว่าสามเดือนต่อจากนี้ เราต้องช่วยกัน เพื่อยอด เพื่อโบนัสปลายปีนี้นะครับ”
พิมนาราได้ยินประโยคดังกล่าวนั้นแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
ทันทีที่เห็นชายหนุ่มคนพูดชัดเจน เธอสะดุดลมหายใจ สะดุดสายตา หัวใจเต้นระรัวเร็วแรง ทั้งยังจ้องชายคนนั้นแน่นิ่งราวกับถูกสะกด
ปากได้รูปสวยสีชมพูอ่อนของเขาขยับพูดอย่างคนใจเย็น ยิ่งขยับพูดยิ่งน่ามอง สายตาคมคู่นั้นสีดำเข้มดูจริงจังน่าเกรงขามแต่กลับดูขี้เล่นอยู่ในที ท่วงท่าการเดินเหินดูสุภาพมีมารยาทแต่ก็ดูมีอำนาจราวกับราชสีห์ในป่าใหญ่
มองอยู่อย่างนั้นจนเพลินไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรเมื่อคนอื่นๆพากันหันมามองที่เธอกันเกือบหมดทั้งห้องโถง
แล้วหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็สะกิดบอก “ผอ.ถามเธอแน่ะ”
หัวใจของพิมนาราสั่นไหวกระตุกวูบวาบ ใบหน้าร้อนฉ่าราวกับถูกนาบด้วยไฟ เธอตะกุกตะกักถามกลับไปอย่างประหม่าเต็มที
“คะ อะไรนะคะ”
คนถามยิ้มแล้วทวนคำถามให้อีกครั้ง “ผมถามว่าทำไมถึงขึ้นมาช้าครับ”
“ดิฉัน เอ่อ…” เธอไม่กล้าบอกว่าไปทำธุระให้ผู้จัดการแผนกมา จึงตอบแบบอึกๆอักๆอยู่อย่างนั้น “ดิฉัน…เอ่อ...คือ...ดิฉัน…”
“โอเค ไม่เป็นไร...เอาละครับทุกคน พวกเราพักเบรคกันสิบห้านาทีพอไหม แล้วสิบโมงห้าสิบห้าเราเจอกันอีกครั้งก่อนมื้อเที่ยง เชิญครับ”
พนักงานทุกคนยกเว้นชายคนนั้นรวมกลุ่มกันร้องเพลงปลุกใจอะไรสักอย่างอย่างอย่างที่เธอตามไม่ทัน ก่อนแยกย้ายกันไปจัดการกับอาหารเบรคที่มีชา กาแฟและขนมปังกินแบบง่ายๆที่โต๊ะยาวทางด้านหน้าห้องโถง คนที่สะกิดเธอก่อนหน้านี้หันมาถามเมื่อหยิบอาหารเบรคของตนเองแล้ว
“ชื่ออะไรน่ะ”
“เราเหรอ พิมจ้ะ เธอล่ะ”
“เราชื่อสา สุริสา อยู่ห้องยา เพิ่งเข้ามาทำงานเหรอ”
“อืม...จ้ะ”
สาวห้องยาวางของเบรกที่กัดไปได้ครึ่งชิ้นลงบนถาดในมือทันที ตาเบิกโต ใบหน้าที่แต่งเอาไว้อย่างดีออกสีแดงระเรื่อนิดๆ พยายามออกเสียงทั้งๆที่ปากไม่ขยับด้วยความชำนาญ
“แอ๊...ผอ.มา”
ชายร่างสูงสง่าในชุดเสื้อโปโลกางเกงยีนสีเข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาลดูเข้าชุดกันราวกับดารานักแสดง เดินทักทายมาเรื่อยๆจนมาหยุดตรงที่เธอและสุริสา
“พิมนารา...เหรอ”
เสียงอบอุ่นพึมพำคล้ายถามชื่อเธอพร้อมมองแผ่นป้ายที่เขียนชื่อจริงห้อยตรงคอ เจ้าของชื่อขาแข็งยืนนิ่งราวกับถูกตะปูตอกเท้ากับพื้น ฝืนยิ้มด้วยความประหม่าเหลือกำลังรับคำแผ่วเบา
“ค่ะ”
เสียงเข้มของคนตรงหน้ายังคงถามต่อ เหมือนเธอจะคิดมากเกินไปว่าเขารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“นามสกุลอะไร”
และเธอก็ตอบออกไปแทบจะทันทีแบบไม่ต้องคิด มันจึงดูตลกเหมือนเล่นถามตอบแข่งกับเวลาอย่างไรอย่างนั้น
“อมรารัตน์ค่ะ”
ตาคมสีเข้มแปรเปลี่ยนไปเพียงครู่ ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เขาเดินเลยไปยังพนักงานคนอื่น พิมนาราพ่นลมหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก สุริสาที่ถือขนมไว้ในมือยืนข้างๆพึมพำแบบเพ้อๆ
“หมอภีมหล่อเนอะ”
พิมนาราที่มีโอกาสได้ยกเครื่องดื่มในแก้วขึ้นจิบ ย้อนถามด้วยความอยากรู้ “หมอเหรอ”
“อื้ม เป็นหมอ แต่เพิ่งลงมาบริหารงานที่นี่ปีนี้ปีแรก หลังจากที่ทำให้สาขาอื่นทะลุเป้ามาหมดแล้ว” สุริสาเล่าอย่างคล่องแคล่วแบบท่าทีของตนเอง
“เป็นหมอ แล้วก็ เป็นนักธุรกิจรูปหล่อในคนเดียวกัน อะไรจะเพอร์เฟคขนาดนี้เนี่ย...”
“...อือ”
พิมนาราครางรับอย่างเห็นด้วย แอบชำเลืองหมอในหัวข้อสนทนาที่กำลังยืนคุยกับพนักงานคนอื่นๆอย่างเป็นกันเองไม่ถือตัวเลยสักนิด
“ไม่น่าเชื่อนะว่าจะเจ้าชู้ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ ดูอบอุ่นแบบนี้ แถมยังมีแฟนเป็นหมอเหมือนกัน ชื่อหมอพา จะเจ้าชู้ได้ยังไง เราคนหนึ่งละไม่เชื่อเด็ดขาด” คนเล่าเล่าต่ออย่างกับเป็นคนในครอบครัว แถมยังแสดงตัวเข้าข้างอย่างออกหน้าออกตาจนคนฟังอย่างเธอคล้อยตามไปด้วย
เสียงทุ้มละมุนหูนั่นยังวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของเธออยู่เลย
ก่อนจะดึงสติเข้าไปในห้องโถงเพื่อทำกิจกรรมที่เหลือต่อ จวบจนหมดวัน พิมนาราจึงได้ลงมาที่แผนกอีกครั้ง เป็นเวลาเลิกงานพอดี ก่อนกลับเธอต้องไปทำความเข้าใจกับกฎระเบียบของที่นี่เพิ่มเติมในส่วยที่ยังไม่รู้ละเอียด รวมถึงคำศัพท์ทางแพทย์อย่างง่ายและจดตารางเวรเดือนนี้ทั้งเดือน ค่อยออกมาเมื่อเลยหกโมงเย็นไปไม่กี่นาทีแล้วจึงแวะซื้อของกินสองสามอย่างที่ป้ายรถเมล์ก่อนกลับ
พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นณภัทรวางสายลงส่งยิ้มมาให้ที่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน
“อ้าวพี่โต มาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวสะอาดตอบพร้อมเดินมารับของจากเธอ
“สักพักแล้วล่ะ”
“แม่ละคะ”
“อยู่ในบ้านนู่นแน่ะ ได้ยินว่าเย็นนี้จะทำของโปรดให้คนกินจุ ฉลองทำงานวันแรก”
“จริงน่ะ...พิมก็ซื้อกับข้าวมาแล้วนะ งั้นไปค่ะ เราเข้าบ้านกันเถอะ พิมหิวจะตายอยู่แล้ว”พิมนาราชะงักแล้วนึกขึ้นได้ หันมาพูดหน้าตาบึ้งตึง “อ้อ... พิมบอกแล้วไงว่าอย่าซื้ออะไรให้พิมอีก โทรศัพท์นี่รุ่นใหม่ล่าสุดเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่อยากให้ มีอะไรหรือเปล่า”ณภัทรว่าแล้วยักคิ้วให้ข้างหนึ่งอย่างกวนๆ
“เฮ๊อะ! แล้วอย่ามาบ่นนะถ้าพิมจะขอเครื่องเพชรสักชุด รถสักคัน บ้านหรูๆสักหลังน่ะค่ะ”
“เยอะนะเราน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ
พิมนารายิ้มสดใสตอบกลับเช่นกันก่อนควงแขนชายหนุ่มเดินเข้าบ้านไป
ณภัทรและเธอรู้จักกันได้วันนี้ครบสี่ปีแล้ว หลังจากบังเอิญพบกันเพราะอีกฝ่ายไปพบเพื่อนที่เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนของเธอหลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา
ณภัทรแต่งงานแล้วกับลูกสาวคนเล็กของเศรษฐีมีชื่อเสียงตระกูลหนึ่ง ท่าทางไม่มีความสุขนักเพราะถูกบ้านนั้นดูถูกอยู่ตลอดเวลา หาว่าไปเกาะลูกสาวเขากิน จริงเท็จแค่ไหนเธอไม่ถามให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจและไม่สมควรจะถามอีกด้วย ค่อยลงมือกินมื้อเย็นด้วยกันสามคนพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขทั่วใบหน้าแบบทุกที
เพล้ง!
เสียงเครื่องแก้วปาใส่ผนังดังลั่นบ้าน จนคนที่เพิ่งมาถึงขมวดคิ้วมุ่น
“ใครเป็นอะไรอีกล่ะ”
คนรับใช้ที่ยืนตาลีตาเหลือกอึกอักตอบ
“คุณผิงเธอ... เธออาละวาดอีกแล้วค่ะ”
คุณหญิงปทุมบ่นขณะเดินออกมารับบุตรชาย “อาละวาดทุกวัน จนแม่ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูน้องเองครับ”
คนพูดเดินเลยขึ้นบันไดแล้วตรงไปยังห้องแรกขวามือ ยกมือเคาะประตูบอก แต่พอแว่วเสียงดังเหมือนมีของแตกดังขึ้นมาอีกครั้งจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในทันที พอเห็นสภาพภายในห้องเท่านั้น ถามน้องสาวหน้าเครียด แต่น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงอย่างที่สุด
“ยัยผิง เป็นอะไร ทำไมเขวี้ยงข้าวของแบบนี้”
หญิงสาวร่างผอมบางในชุดกระโปรงสีขาวโผเข้าซบพี่ชาย สะอื้นฟ้อง “เขาแอบไปหานังเด็กนั่นอีกแล้วค่ะ”
“เฮ้อ...ทำไมไม่คุยกันดีดีล่ะว่าจะเอายังไง ทำกันถึงขนาดนั้นเลิกๆกันไปพี่ว่าก็ดีนะ ไม่ใช่มาอาละวาดเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ อีกอย่าง...เราก็เพิ่งอาการดีขึ้นนี่ผิง อาละวาดมากๆเข้าได้โดนแอดมิทอีกนะ”
ภีมบอกพร้อมมองร่างบอบบางซีดเผือดของน้องสาวตั้งแต่ใบหน้าจนไปถึงลำตัว นึกไม่พอใจชายผู้เป็นน้องเขยยิ่งขึ้น เมื่อจำได้ว่าน้องสาวสุดหวงแท้งลูกคนแรกคราวก่อนนั่นเพราะมีปากเสียงกับสามีจนล้มและตกบันไดลงมา ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน นี่เพิ่งออกมาก็ร่ำๆจะมีเรื่องอีกแล้ว
“ไม่นะคะ ผิงไม่อยากเลิกกับโต ผิงรักโตค่ะพี่ภีม ผิงรักโต”
“แล้วยังไง สามีเธอเขาหมดรักเธอแล้วรึไง ถึงได้ดอดไปคบกับสาวรุ่นขบเผาะนั่นน่ะ”
“ผิงไม่รู้ค่ะ บางทีเขาอาจแค่ทำประชดผิง”
“แล้วเขาจะทำประชดผิงเรื่องอะไร”
“พี่ภีม! พี่อย่าคาดคั้นอะไรกับผิงนักได้ไหมคะ แค่นี้ผิงก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักผ่อนเสีย พี่จะให้เด็กๆมาเก็บข้าวของพวกนี้ แล้วอย่าอาละวาดอีกล่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เด็กเอายามาให้”
ภีมออกจากห้องของน้องสาวแล้วลงมาห้องข้างล่างอีกครั้ง
“เป็นไงหมอภีม น้องเราเป็นอะไรอีกละคราวนี้”
“เรื่องเดิมนั่นแหละครับ”
คุณกานดาเดินวนไปมากระวนกระวาย ปากบอกอย่างเดือดดาล “แล้วจะเอายังไง เลิกๆกันไปก็ดี น้องเราก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกนะหมอ”
“ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกแต่รักเขามากจนไม่ยอมเลิกน่ะสิครับ”
“นังเด็กนั่นก็เหลือรับ ผัวเขายังจะให้ท่าให้ทาง นี่หมอภีมรู้ไหมว่านังเด็กนั่นลูกใคร บ้านช่องมันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้หน้าด้านนัก”
“ผมเจอตัวแล้วครับ เด็กคนที่เป็นเมียน้อยนายโต แล้วผมจะลองคุยกับเธอเองว่าจะยอมไปจากนายโตไหม แลกกับเงิน กับความสะดวกสบาย ผู้หญิงไม่มีอะไรเลยแบบนั้นมีหรือจะไม่เอา คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
คุณกานดามองตามหลังบุตรชายที่เดินขึ้นห้องไป โล่งใจไปเปลาะที่ภีมออกตัวช่วยขนาดนี้ ก่อนจะนึกถึงบุตรรักต่อภีมนั้นภายนอกอาจดูสุขุมนุ่มลึก เป็นสุภาพบุรุษเต็มขั้น แต่ท่านรู้ดีแก่หัวใจว่าบทจะร้ายนั้นบุตรสาวที่ว่าร้ายนักหนายังไม่ได้เสี้ยวของพี่ชายเลยสักนิด