“พิม เข้าไปออฟเครื่องห้องริมให้พี่ที”
คนสั่งที่เป็นนักกายภาพบำบัดคนหนึ่งบอกแล้วเดินเข้าไปรับคนไข้ใหม่ที่เพิ่งพ้นประตูของแผนกเข้ามา พิมพ์นาราจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูหน้าห้องตามสั่ง ก่อนยกมือขึ้นเคาะประตูสามสี่ทีค่อยเปิดออก พบว่าคนไข้ในห้องหลับอยู่ เธอยืนเก้ๆกังๆแล้วจึงพูดขึ้นตามที่ถูกฝึกมา
“ขอโทษนะคะ เครื่องหยุดแล้ว ขออนุญาตปิดเครื่องให้ค่ะ”
เธอบอกเสร็จ เดินเข้าไปที่เครื่องปิดปุ่มเครื่องรักษาชนิดหนึ่งที่เธอยังจำชื่อมันไม่ได้ และแล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อคนที่นอนอยู่คว้าหมับแขนเธอไว้แน่น ผงกหัวขึ้นถาม
“เพิ่งมาใหม่เหรอ หน้าตาสวยนี่เรา ชื่ออะไร”
พิมนาราค่อยๆบิดแขนออกอย่างสุภาพแต่ไม่หลุด ตกใจจนหน้าเริ่มถอดสี เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อน จะว่าเป็นคนโลกสวยก็ว่าได้ คิดว่าชายคนนี้อาจแค่อยากคุยด้วยเพียงเท่านั้น แล้วต้องมาจับแขนเธอเอาไว้ทำไมกัน
“พิมค่ะ ขอโทษนะคะ ปล่อยแขนดิฉันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวซี้ คุยกันก่อน”
คนพูดผุดตัวลุกนั่ง แล้วทำท่าจะสาวแขนเรียวบอบบางเข้าไปหา ถ้าไม่มีเสียงเคาะประตูขัดตาทัพเอาไว้เสียก่อน
“มีอะไรกันเหรอครับ”
คนที่เปิดประตูเข้ามาคือพลพล หรือพี่พล ผู้จัดการแผนกนั่นเอง
“ไม่มีอะไร แค่ถามน้องเขาว่ามาใหม่เหรอ ชื่ออะไร แค่นั้นเอง”
“พิม ออกไปดูคนไข้ใหม่ข้างหน้าไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“อะไรกัน! ผมยังคุยกับน้องเขาไม่ทันจบ ก็มาให้น้องไปที่อื่น ไม่มีมารยาทกันเลยนะ ทำแบบนี้ผมจะฟ้อง...” ชายคนนั้นแสดงท่าทีวางก้าม ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นทุกที
แต่พี่พลก็ยังคงสั่งเธอ
“พิมออกไปก่อนไป”
พิมนาราหลุดออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดจนได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการแผนก แอบพ่นลมหายใจ คิดไม่ถึงว่าจะเจออะไรทำนองนี้ นี่มันในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ จนหมดเวลาช่วงเช้าจึงถูกไล่ให้ไปพัก เธอเดินเข้า
ห้องพนักงานที่ถูกจัดแยกเอาไว้
พี่วิเปิดประตูตามเข้ามาเช่นกัน พอเห็นว่าเป็นเธอเลยถามขึ้น
“เบรกเที่ยงรึบ่ายน่ะเรา”
พิมนาราตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“เที่ยงค่ะ”
“ห่ออะไรมากินละวันนี้”
“ผัดกระเพราค่ะ พี่วิละคะ”
“พี่โทรสั่งร้านป้าดำเอาไว้แล้ว ข้าวที่ห่อมาน่ะปิดฝาเลย แล้วลงไปกับพี่”
“แต่...พิมมีข้าวมาแล้วนะพี่วิ”
“อันนั้นน่ะเอาไว้กินเย็น วันนี้เราต้องอยู่ถึงสามทุ่มนี่นา ไปเร็วๆ เดี๋ยวมื้อนี้ พี่เลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่วิ พิมเกรงใจ”
“ไปเถอะน่า เป็นเด็กใหม่ต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ จำที่พี่พลบอกได้ไหม ไปเร็ว”
ทั้งหมดที่มีพี่วิ พี่เหมียวและพี่จาที่เป็นผู้ช่วยอีกสองคนรวมถึงตัวเธอลงไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน โดยมีพี่วิเป็นเจ้ามือในที่สุด
รอลิฟต์ที่เคลื่อนตัวลงมาจากชั้นบนพอประตูลิฟต์เปิดออก สาวๆที่ยืนคุยกันอย่างสนุกสนานหุบปากเงียบทันทีราวกับมีใครมาถอดปลั๊กออก แล้วพากันยืนขาแข็งตัวแข็งไม่มีใครกล้าเดินเข้าลิฟต์เลยสักคน
พิมนาราที่ยืนหันหลังให้ประตูเลยหันกลับมามอง เมื่อประสานสายตากับคนด้านในพลันตกใจไม่แพ้พวกพี่ๆที่เห็นว่าใครอยู่ในนั้นก่อนหน้านี้แล้ว
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อน ส่งยิ้มสุภาพแต่น่าเกรงขามมาให้ ก่อนจะทักทายเธอเป็นคนแรก
“สวัสดีพิมนารา”
คนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหลังพิมนาราสบตากันแล้วขมุบขมิบส่งสัญญาณถาม
‘ผอ.รู้จักกับยัยพิมได้ไงอ่ะ’
ก่อนจะพากันเดินตัวลีบเข้าไปลิฟต์อย่างเลี่ยงไม่ได้
ภีมถามด้วยท่าทางสบายๆแบบเดียวกับน้ำเสียงของเขา “พักเที่ยงกันแล้วเหรอ”
พี่วิผู้กล้าตอบรับท่านผู้อำนวยการเสียงสุภาพท่าทีเรียบร้อยผิดวิสัยทันที “ค่ะ”
ภีมยิ้มถามต่อ “แล้ว...จะไปกินร้านไหน ผมไปด้วยได้ไหม”
พี่วิยังคงตำแหน่งผู้กล้าตอบกลับเขาไป “เอ่อ ว่าจะไปร้านส้มตำของป้าดำตรงหน้าโรง’บาลนี่เองค่ะ”
ภีมสรุปให้ทันที แม้ท่าทีจะสุภาพแต่ก็ยังมีรังสีของผู้บริหารอัดแน่นทั่วลิฟต์จนสาวๆต้องกลั้นหายใจขณะคุยด้วย
“ผมไปด้วยนะ เลี้ยงน้องใหม่ใช่ไหม ผมเลี้ยงเอง”
ประตูลิฟต์เปิดออกพอดีที่ภีมพูดจบ เขาผายมือออกด้วยท่าทีสุภาพดังเดิม
บรรดาสุภาพสตรีจึงค่อยๆเดินตัวลีบออกมาทีละคนและมีภีมเดินตามไปจนถึงร้านอาหารอีสานที่ด้านหน้าโรงพยาบาลในที่สุด
ดีที่ว่าพี่วิโทรลงมาสั่งไว้แล้วจึงรอไม่นานแบบโต๊ะอื่น
พี่วิผู้กล้า ถามผู้บริหารเมื่อนั่งลงที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“ผอ.จะสั่งอะไรเพิ่มไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
คนถามหน้าเจื่อน เพราะกลัวว่าเมนูที่สั่งเอาไว้ ชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะจะกินไม่ได้ เลยถามหน้าแหยๆ
“หมอกินเผ็ดได้เหรอคะ”
“ผมกินได้หมดครับ”
รอครู่เดียวอาหารก็พร้อมเสิร์ฟเต็มโต๊ะ
ภีมเลื่อนจานให้สาวๆก่อน เขาพูดคุยถามตอบด้วยอย่างไม่ถือตัว จนคนที่รู้ตัวในนาทีนั้นว่าหลงใหลในตัวคุณหมอหนุ่มนักธุรกิจอย่างพิมนาราทวีความปลาบปลื้มมากยิ่งขึ้นไปอีก
และรู้สึกแปลกๆชั่วขณะกับสายตาของเขาที่มองสบมา บางคราวตาคมคู่นั้นดู เย็นชาไม่สบอารมณ์ ทั้งยังลึกลับเหมือนบ่อน้ำยามค่ำคืน แต่แล้วพอมองสบอีกคราก็แปรเปลี่ยนเป็นเอื้ออาทรแบบผู้ใหญ่ใจดี หรือเธออาจคิดมากเกินไป อีกฝ่ายจะโกรธเกลียดเธอด้วยเรื่องอะไร ถึงมองมาด้วยแววตาแบบนั้น
ภีมตักอาหารให้เธอบ้างให้คนอื่นบ้างตามมารยาท แต่ทุกคนต่างพุ่งสายตามาที่น้องใหม่อย่างพิมนารา แบบมีเลศนัยเสียด้วย เมื่อกินไปหน้าแดงไปเวลาที่คุยกับคุณหมอผู้บริหารหนุ่มหล่อดีกรีนายแพทย์ชื่อดัง
จนจัดการอาหารเรียบร้อย ภีมควักธนบัตรออกมาชำระค่าอาหารให้อย่างที่บอกและทั้งหมดก็ยกมือไหว้ขอบคุณแทบจะพร้อมๆกัน ขณะออกจากร้าน หญิงสาวสวยเฉี่ยวคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพอดี
“ภีมคะ”
เจ้าของชื่อแวะคุยกับสาวสวยคนนั้นที่เธอมารู้ในลิฟต์ว่านั่นคือแฟนสาวที่มีดีกรีเป็นแพทย์เฉกเช่นเดียวกันกับภีม
“นั่นใช่หมอพา แฟนผอ.หรือเปล่า...น่าเสียดายเนอะ มีแฟนแล้วอ่ะ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น และทำให้พิมนารารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
“พูดอย่างกับว่าไม่มีแฟน หมอจะมองแกอย่างงั้นแหละ”
“ไม่มองฉันหรอก ฉันรู้ตัวดี แต่บางคนแถวนี้ ไม่แน่นะยะ”
คนพูดเหลือบตามาที่เธอ พิมนาราเลยหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้งกระอักกระอ่วนใจกับคำสัพยอกเช่นนั้น อย่างหมอภีมนั่นหรือจะมามองผู้หญิงแบบเธอในเมื่อเขามีแฟนเป็นถึงคุณหมอเหมือนกันแถมยังสวยและคงเก่งมากอีกด้วย
เธอนั้นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น เรียนไม่จบปริญญาสักใบ สวยหรือก็ไม่ เป็นไปไม่ได้เลยสักนิดเดียวที่ผู้ชายเพียบพร้อมขนาดนั้นจะมาสนใจเธอ
ตกเย็นวันนั้น พิมนาราจึงจัดการกับห่ออาหารที่ตั้งใจเอาไว้กินเป็นมื้อเที่ยงเก็บกลับบ้าน ขณะออกมายืนรอที่ป้ายรถประจำทาง รถยนต์คันหนึ่งจอดขนาบทางเท้า เปิดกระจกลงแล้วส่งเสียงตามมา
“พิมนาราขึ้นรถสิ ผมจะไปส่ง”
พอเห็นว่าเป็นใคร พิมนาราหัวใจแทบวาย ตะกุกตะกักบอก “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...”
‘ปรี้น!’
แต่เสียงแตรดังลั่นทางด้านหลังก็คล้ายจะเร่งให้เธอไปกับเขาแต่โดยดี พิมนาราจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูรถหรูแล้วขึ้นนั่งในที่สุด ออกไปได้สักพัก เจ้าของรถส่งเสียงทุ้มนุ่มถามเธอว่า
“บ้านอยู่ที่ไหน”
เธอบอกเขาไปแล้วก็ค่อยๆคลายอาการเกร็งลง อดไม่ได้ที่จะลอบมองเสี้ยวหน้าคนขับแต่ก็ยังเป็นไปด้วยความประหม่าอยู่ดี
แค่ด้านข้างของเขายังหล่อเหลาขนาดนี้ แถมยังทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆได้ไม่ยากเลยสักนิด
พิมนาราลอบถอนหายใจ หันกลับไปที่ถนนตรงหน้าตามเดิม เม้มปากที่เอาแต่จะยิ้มอยู่เรื่อยนั่นไว้แน่น จะมีบ้างไหมผู้หญิงที่อยู่ใกล้เขาแล้วไม่รู้สึกแบบเธอ
พิมนาราบอกตนเองว่าแค่ได้มองใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ หัวใจของเธอก็เต็มตื้น ตื้อตันไปหมดแล้ว ไม่ต้องได้ครอบครองเป็นเจ้าของเขาแบบที่ได้ยินพวกพี่พี่ในแผนกพูดมาหรอก
จนภีมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยบ้าน พิมนาราก็งึมงำขึ้นมาเมื่อเห็นรถคันหนึ่งขับสวนออกไป
“รถพี่โตนี่นา”
ภีมเผลอบีบมือกับพวงมาลัยรถจนข้อนิ้วขาวซีด บดกรามจนเป็นสันนูน พร้อมทั้งนึกหมิ่นหญิงสาวคนข้างๆที่รับขึ้นมาบนรถ
‘ไม่มียางอาย’
ไม่รู้ว่าหน้าบางๆนั่นหลอกตาหรืออย่างไร ถึงได้กล้าแย่งสามีคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ผู้ชายก็เลว ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จนน้องสาวของเขาเกือบไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะชายชั่วหญิงโฉดคู่นี้
ก่อนจะสูดลมหายใจเข้ายาวๆ ถามเสียงห้วน “แฟนหรือ”
พิมนารากำลังจะอ้าปากตอบ แต่เสียงโทรศัพท์ของภีมดังขึ้นมาขัดก่อน เธอจึงบอกเขาเมื่อถึงจุดหมายแล้ว
“จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ บ้านพิมอยู่หลังสุดท้ายนี่เองค่ะ”
ภีมมองบ้านที่พิมนาราบอก ถามย้ำอีกที เผื่อคราวหน้านึกเล่นงานหญิงไร้ยางอายคนนี้จะได้ถูกที่ถูกตัว “ตรงนี้เหรอ”
พิมนารายิ้มพยักหน้ารับ
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งพิม”
บอกจบเอียงอายเมื่อสบสายตาคมของเขาเข้าพอดี
ภีมกระตุกยิ้มให้นิดหนึ่ง ใจนึกค่อนว่าเด็กนี่มารยาไม่ธรรมดาเลยสักนิด ทำทีเป็นเอียงอาย นุ่มนิ่ม แบบนี้หรือเปล่าน้องเขยเขาถึงได้หลงหัวปักหัวปำ เมื่อพิมนาราเปิดประตูรถลงไปแล้ว ภีมจึงโทรกลับไปที่ปลายสายเมื่อครู่
“ว่ายังไงครับคุณแม่…”
“ยัยผิงกินยานอนหลับเกินขนาดอีกแล้วเหรอครับ”
ภีมวางสายลงแล้วกลับรถเลี้ยวออกปากซอยไปในทันที นึกถึงใบหน้าเรียบจืดชืดเมื่อครู่แล้วกระแทกมือบนพวงมาลัยอย่างแรง เพราะเด็กแก่แดดนี่แน่ที่คิดแย่งสามีของน้องสาวเขา และยังเป็นสาเหตุทำให้อรพิมพ์อาการหนักขนาดนี้ ถึงเวลาที่เขาต้องจัดการให้เด็ดขาดเสียที
‘พิมนารา…’
“พิมนารา กินข้าวแล้ว มาพบพี่ที่โต๊ะด้วย” ผู้จัดการแผนกมาบอกที่ห้องเบรกก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา
พลพลเป็นชายหนุ่มอายุเฉียดสี่สิบปีแล้ว เขามีน้ำใจไมตรี รัก เอื้ออารี ห่วงใยให้กับลูกน้องทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กับเธอที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน และวันนี้ก็ครบเดือนพอดี
พิมนารารีบกินข้าวจนเสร็จแล้วเดินไปหาหัวหน้าของเธอ ถามเสียงสุภาพ “มีอะไรเหรอคะพี่พล”
“เราสนใจงานดูแลคนสูงอายุไหมพิม”
“สนใจค่ะพี่ แต่ว่าพิมยังไม่คล่องเท่าไรเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นมันฝึกกันได้ ทักษะเราน่ะดีพี่เชื่อมือเรา”
พิมนารายิ้มแก้มปริกับคำชม “ค่ะ ให้พิมไปดูใครเหรอคะ”
“คุณย่าของหมอภีม”
แค่ชื่อของหมอหนุ่มนักธุรกิจก็ทำเอาคนฟังอย่างเธอใจสั่น ตาเบิกโตตื่นเต้นดีใจจนแทบระงับไม่อยู่
“ไม่มีใครไปได้เลย ติดเคสอื่นกันหมด และเคสคุณหญิงเพ็ญแข พี่หมายถึงคุณย่าของหมอน่ะนะก็ต้องไปต่อเนื่อง คนอื่นเขาไปกันไม่ได้ หมอเองแกก็อยากได้คนที่ไปแบบต่อเนื่องได้ด้วย พี่เลยมาถามเรา ว่าจะไปไหม ถ้าสนใจมีค่าเหนื่อยให้ ชั่วโมงละห้าร้อย แต่ถ้าวันไหนหยุดเราจะไปทั้งวันก็ได้ ท่านให้วันละสองพัน”
“ไปค่ะ ไป พิมไปค่ะ”
แทบไม่ต้องคิด เพราะค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นจูงใจไม่น้อย แถมยัง...อาจได้เจอหน้าคนที่เธอแอบปลื้มอย่างหมอภีมอีกด้วย พิมนาราคิดแล้วใจเต้นตึกตักตามประสาเด็กสาวที่แอบชอบชายหนุ่ม
“งั้นพี่จะให้วิมาฝึกเราอีกหน่อย จะได้คล่องๆกว่านี้”
“ขอบคุณมากค่ะพี่พล”
หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์พิมนาราถึงได้เข้ามาดูแลคุณย่าของภีม
บ้านหลังใหญ่สุดในหมู่บ้านริมถนนตัดใหม่ดูหรูหราสวยงามและเป็นส่วนตัวทีเดียว เธอต้องนั่งรถประจำทางมาลงที่ด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าไปเองเป็นระยะทางกว่าห้าร้อยเมตร
คุณย่าของภีมชื่อคุณหญิงเพ็ญแข เป็นหญิงสูงวัยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรคมีพยาบาลดูแลเป็นประจำอยู่แล้วสองคน นอกจากนี้ยังมีคนรับใช้คอยช่วยดูแลอีกต่างหากอีกหนึ่งหรือสองคนแล้วแต่กรณี
กระนั้นแล้วยังคงต้องการคนดูแลเพิ่มอีกซึ่งก็คือเธอ คนรวยนี่ดีแบบนี้นี่เอง แค่มีเงินจะจ้างใคร ทำอะไร เท่าไรแค่ไหนก็ได้ พิมนาราคิดอย่างคนที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรก
คุณหญิงเพ็ญแขแลดูเป็นคนนิ่งๆเผินๆอาจดูหยิ่ง แต่จริงๆพิมนาราคิดว่านั่นคงเป็นเพราะบุคลิกของท่านมากกว่า ตามที่พี่วิเคยสอนมา เวลาต้องรับหน้าคนไข้เจ้ายศเจ้าอย่างเช่นนี้ ควรนอบน้อมพินอบพิเทาแต่พองาม อย่าประจบประแจงจนมากเกิน เพราะดูน่ารำคาญมากกว่าน่าเอ็นดู
เธอจึงทำหน้าที่ชวนท่านคุยเสียส่วนใหญ่ก่อนจนเริ่มคุ้นเคย แล้วถึงพาออกกำลังกายแบบเบาๆเท่าที่ได้รับการฝึกมา แล้วจึงเข็นรถเข็นคันโตพาหญิงสูงวัยไปที่บริเวณสวนหย่อมหน้าบ้าน พร้อมกับอ่านหนังสือธรรมมะให้ท่านฟังด้วย
คล้อยบ่ายมีรถคันหนึ่งขับเข้ามาภายในรั้วบ้าน
เสียงฝีเท้าเดินหนักๆเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับการปรากฏกายของภีม ทำเอาหัวใจดวงน้อยของคนที่อ่านหนังสือธรรมมะอยู่นั่นกระตุกเหมือนมีอะไรมากระชากอย่างรุนแรง มือเลยสั่นน้อยๆตามไปด้วยจนต้องรีบวางลงเมื่อรู้สึกตัว และเพื่อปกปิดอาการประหม่าที่มีต่อคนมาใหม่ให้มิดชิด
“สวัสดีครับคุณย่า ว่าไงพิมนารา”
หญิงสาวก้มหน้าหลบสายตาคมก่อนอ้อมแอ้มตอบเขา ไม่ลืมยกมือไหว้ทำความเคารพด้วย
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
ภีมกดมุมปากส่งยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเดินมาสมทบตรงโต๊ะ “วันนี้คุณย่าดื้อไหมครับ”
หญิงสูงวัยส่งค้อนตอบให้หลานชายสุดรักสุดหวงก่อนจะเปล่งเสียงสดชื่นตอบ “ย่าไม่ดื้อเท่าหมอหรอก”
“เก่งมากครับ”
ภีมยิ้มอ่อนโยนตอบกลับไปให้ พร้อมลูบหลังมือเหี่ยวย่นอย่างนุ่มนวล ค่อยหันมาบอกเธอ
“ผมฝากคุณย่าสักครู่นะพิมนารา”
ภีมบอกจบเดินออกไปรับสายเรียกเข้าที่ดังขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วแต่เงียบสายลงไป
เธอมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่จนลับสายตาพอหันกลับมาก็เจอเข้ากับสายตาฝ้าฟางของหญิงสูงวัยบนรถเข็นที่มองมายิ้มๆมาพอดี
“หมอภีมน่ะน่ารัก ใจดี ที่สำคัญหล่อเหมือนคุณปู่” ท่านว่า
“ค่ะ”
เธอรับคำหน้าแดงก่อนจะลุกขึ้นเข็นรถหลบแสงแดดที่ลอดลงมาโดนท่าน ฟังคุณหญิงเพ็ญแขเล่าเรื่องหลานชายที่ท่านภูมิใจนักหนาให้ฟัง
จึงได้รู้ว่าภีมนั้นมักจะมานอนค้างกับคุณหญิงเพ็ญแขอยู่บ่อยๆ เผลอๆจะมากกว่ากลับไปที่บ้านของตนเองเสียอีก
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหญิงสูงวัยจึงรักภีมมากกว่าหลานคนอื่นๆ เพราะนอกจากเขาจะหน้าตาราวกับถอดแบบผู้เป็นสามีแล้ว ยังมีนิสัยละม้ายคล้ายคลึงกัน ที่สำคัญยังรักและเอาใจใส่คนเป็นย่าทุกเรื่องอีกด้วย
จวบจนเวลาล่วงเลยไปห้าโมงเย็น เกินเวลาที่พิมนาราต้องเลิกงานคือสี่โมงครึ่ง พี่พยาบาลคนหนึ่งในสองคนจึงท้วงขึ้นด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะกลับบ้านค่ำ
ภีมบอกเสียงทุ้มน่าฟังเมื่อเธอเก็บของแล้วและกำลังลาคุณหญิงเพ็ญแข
“อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนสิ พิมนารา”
“นั่นสิ เสร็จแล้วให้หมอออกไปส่งก็ได้ เดินเข้ามาได้ยังไงกัน ไกลขนาดนี้ คราวหน้ามาให้ตาสมออกไปรับที่หน้าหมู่บ้านนะหนู”
ที่โต๊ะอาหาร พิมนาราพยายามไม่สบสายตาคมเข้มคู่นั้นของภีมที่จับจ้องเธออยู่ทุกอิริยาบถ มันทำให้เธอประหม่าจนกินอะไรไม่ลง แต่ก็ต้องฝืนตักอาหารเข้าปากจนหมดจานด้วยความยากลำบากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา มีบ้างที่ยิ้มฟังคนที่เหลือบนโต๊ะอาหารคุยกันแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกๆในหัวใจอยู่ดี
เขาจะรู้หรือไม่ ว่าแค่มองก็แทบหลอมละลายหัวใจดวงน้อยๆของเด็กสาวแบบเธอได้อยู่แล้ว
พิมนาราไหว้คุณหญิงเพ็ญแขและต้องขึ้นรถกลับออกมาพร้อมภีมเมื่อกินข้าวเสร็จ
ตอนนี้เองที่ฝนเริ่มลงเม็ดมาและทำท่าตะหนักขึ้นเรื่อยๆ และ...ให้เธอนั่งไปในรถสองคนกับผู้ชายที่แอบปลื้มแบบนี้ เธอต้องบ้าตายแน่ๆ สู้ออกไปยืนตากฝนรอรถประจำทางแล้วกลับเองตะดีเสียกว่า ตอนนี้แทบหายใจหายคอไม่ได้
“คุณหมอจอดตรงป้ายรถเมล์นี่เถอะค่ะ”
“จอดทำไม ผมตั้งใจไปส่งที่บ้านอยู่แล้ว”
“พิม...เกรงใจหมอค่ะ”
คุณหมอนักธุรกิจส่ายหน้าก่อนส่งสายตาเอือมๆมาให้ ในใจได้แต่นึกค่อน เด็กคนนี้จะสร้างความเวทนาให้ตนเองไปถึงไหน
คนที่ถูกต่อว่าจากภีมในใจได้แต่ก้มหน้าก้มตางุดด้วยความเขินอาย แล้วเบี่ยงตัวหลบไปมองด้านนอกรถแทน เมื่อเจ้าของรถไม่จอดป้ายรถประจำทางตามที่เธอร้องขอ
ความเหนื่อยล้าที่มีบวกกับอากาศเย็นสบายและกลิ่นหอมอ่อนๆบนรถหรูทำให้พิมนาราเผลอหลับไปในที่สุด ก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกตัวว่ารถจอดลงแล้ว และเห็นใบหน้าหล่อเหลาของภีมเข้ามาอยู่ใกล้...แค่คืบเพียงเท่านั้น
ภีมยิ้มก่อนบอก
“ผมเห็นพิมหลับอยู่”
“อุ้ย เอ่อ ค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” ว่าจบยกมือไหว้และจะเปิดประตูลงไป
“เดี๋ยว พิมนารา” ภีมรั้งแล้วหยิบซองที่ถูกพับครึ่งในกระเป๋าเสื้อส่งให้
“อะไรคะ”
“น้ำใจเล็กๆน้อยๆจากคุณย่า รับไว้สิ คุณย่าท่านฝากมาให้พิมอีกที”
“ไม่ได้ค่ะ พิมได้เงินจากค่าเวรอยู่แล้วนะคะ”
“ถ้าท่านรู้ว่าพิมไม่รับ จะพานงอนน้อยใจเอา” ภีมว่าจบวางซองใส่ในมือให้
พิมนาราอดมุ่ยหน้าไม่ได้ก่อนจะยิ้มอย่างเหนียมอายแล้วยกมือไหว้ขอบคุณเขาเปิดประตูลงจากรถไปในเวลาต่อมา โดยไม่เห็นสายตาที่มองตามหลังไป
ใครเลยจะไม่ระทวยต่อเงิน อย่างพิมนาราก็คงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นสินะ
ภีมเหยียดหยันร่างบอบบางที่เปิดบ้านเข้าไปแล้ว ค่อยออกรถจากไปในเวลาต่อมา ไม่ยากเลยสักนิดเดียวที่จะจัดการกับผู้หญิงเช่นนี้
“กลับมาแล้วเหรอพิม”
“จ้ะแม่ พิมขอโทษนะจ๊ะแม่ วันนี้พิมไม่ได้พาแม่ไปล้างไตเลย”
“โตพาแม่ไปแล้วไง ไปทำงานเป็นยังไงบ้าง”
“คุณท่านใจดีมากๆเลยจ้ะแม่ แล้วยังให้กินข้าวก่อนกลับด้วย พิมอิ่มแปล้เลย...พิมได้เงินพิเศษจากคุณท่านด้วยนะแม่” ว่าจบล้วงเอาซองเงินแล้วทรุดลงพื้นไหว้ตักมารดา วางซองเงินไว้ในมือของแม่
“ดีแล้วล่ะ ทำงานแล้ว มีเงินแล้วรู้จักเก็บเงินด้วยนะ ไม่ต้องให้แม่หมดหรอกลูก” ท่านยื่นซองคืนให้
“พิมเก็บไว้แล้วจ้า อันนี้พิมให้แม่ แล้วพี่โตล่ะแม่”
“อยู่ในครัวนู่นแน่ะ ได้ยินว่าจะทำบัวลอยไข่หวานรอหนู”
“หูย...น่ารักจังเลย พิมไปดูพี่โตก่อนนะแม่”
“พี่โต…”
เสียงหวานร้องเรียกชื่อชายหนุ่มคนเดียวในบ้าน ก่อนจะเดินลับเข้าไปในครัว อนงค์มองตามหลังไปด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจ ตอนนี้ต่อให้ต้องตาย เธอก็คงตายตาหลับแล้ว อย่างน้อยบุตรสาวเพียงคนเดียวก็คงไม่เดียวดาย หากมีณภัทรคอยดูแลไม่ห่างเช่นนี้
“คุณหญิงเพ็ญแขจะไปพักผ่อนที่หัวหินหนึ่งอาทิตย์เหรอคะ”
“ถ้าเราตกลงไปพี่จะลงเวให้”
พลพลพยักหน้ารับแล้วอำนวยความสะดวกด้วยการลงวันไปหัวหินเป็นวันหยุดติดกันให้เด็กใหม่ตรงหน้า
“ไปได้เหรอคะพี่พล”
พิมนาราถามย้ำด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“ได้สิ ว่าแต่เราเหอะสะดวกจะไปไหม...คุณหญิงท่านบ่นมาว่าอยากให้มีคนพาท่านเดินเหินไปไหนมาไหนบ้าง นอกจากดิวกับแนน” พลพลหมายถึงพยาบาลสองกะที่รับหน้าที่ดูแลคุณหญิงเพ็ญแข
พิมนารารับปากในทันทีว่าจะไป
สิบโมงเช้าที่พิมนาราแบกกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถประจำทางไปยังบ้านหรูของคุณหญิงเพ็ญแขเพื่อเดินทางไปช่วยดูแลท่านที่หัวหิน
รถตู้คันใหญ่จุคนไม่ถึงสิบคนมุ่งหน้าสู่จุดหมายทันที เธอแอบมองหาใครบางคนแต่ก็ไม่พบ อดเสียดายอยู่ในใจที่ภีมไม่ได้ไปด้วย เมื่อถึงแล้วจัดแจงเก็บของเข้าห้องแล้วจึงพาคุณหญิงเพ็ญแขออกไปรับลมทะเล
“เคยมาทะเลหรือเปล่าหนูพิม”
ท่านถามขณะเข็นรถไปตามทางเดิน เบื้องหน้ามีท้องทะเลที่สาดซัดคลื่นเข้าฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่มีหยุดพักสักเสี้ยวนาที
“หัวหินพิมไม่เคยมาเลยค่ะ คุณท่านมาบ่อยไหมคะ” ตอบผู้สูงวัยไปแล้ว ถามกลับบ้าง
“ฉันมาที่นี่เกือบทุกเดือน ถ้ายังไม่เบื่อฉันก่อน เธอก็มาด้วยกันอีกนะ”
คุณหญิงเพ็ญแขเอ่ยชวนในท้ายประโยคอย่างจริงใจ ท่านถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้มากขึ้นทุกขณะ นึกชื่นชมเมื่อรู้จากสองพยาบาลสาวว่า พิมนาราต้องหยุดเรียนหนังสือกลางคันเพื่อออกมาหางานทำ และต้องดูแลมารดาที่ป่วยกระเสาะกระแสะด้วย
“พิมไม่เบื่อคุณท่านหรอกค่ะ คุณท่านใจดีแล้วก็เมตตากับพิมออกขนาดนี้”
ก่อนจะเข็นรถเข็นคันโตไปตามทางจนสุด พากันพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกพักใหญ่แล้วกลับเข้าบ้านเมื่อตะวันคล้อย กินอาหารเย็นในเวลาถัดมา
“ออกมาทำอะไรมืดๆแบบนี้พิมนารา”
เสียงทักจากทางด้านหลังทำให้คนที่ท่อมๆก้มๆเงยๆหาของสะดุ้งโหยงตกใจ
“หมอภีม! คือ พิมทำของหายน่ะค่ะ”
“ไม่เจอหรอกมืดขนาดนี้”
“หาไม่เจอต้องแย่แน่ๆเลยค่ะ พี่โตให้มาด้วยสิ”
คนฟังที่เพิ่งเสร็จจากงานแล้วตรงมาที่นี่ ได้ยินชื่อน้องเขยถึงกับกำมือแน่นด้วยอารมณ์เดือดดาล กล่าวเสียงติดเยาะหยัน
“อ้อ...แฟนให้มาหรอกเหรอ”
พิมนาราที่ไม่ได้รับรู้ถึงความคิดและอารมณ์ของคนตรงหน้า ยิ้มจนตาหยีส่งให้ ก่อนส่ายหน้าจนผมที่มัดไว้กระจายสะบัดไปมาน่าเอ็นดู
“ไม่ใช่แฟนหรอกค่ะ”
แปลกที่คำตอบทำให้ภีมรู้สึกแปลกๆในหัวใจ เผลอผ่อนลมออกมาราวกับโล่งอก แล้วมองนิ่งไปยังไรผมที่หลุดลุ่ยบนกรอบใบหน้าเหมือนมีมนต์สะกดให้เขาอยากลูบไล้มัน
ภีมเดินเข้ามาชิดจนเธอได้กลิ่นหอมของผู้ชายที่ตนเองไม่รู้ว่ามันคือกลิ่นอะไรอวลกระตุ้นให้ใจดวงน้อยกระเจิดกระเจิงสั่นไหวขึ้นมาในทันที
มือสวยได้รูปในแบบของผู้ชายยกขึ้นลูบไรผมของเธออย่างเบามือ ปลายนิ้วแตะโดนใบหน้านวลใสแผ่วๆ ก่อนบอกเสียงนุ่มนวล
“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยให้เด็กออกมาช่วยหา ขึ้นบ้านไปพักผ่อนก่อนไป”
“เขาะ...ขอบคุณค่ะ”
เธอแทบพูดไม่ออก ก่อนจะเปล่งเสียงขอบคุณเขาได้ในที่สุด
พอบอกเขาไปแล้วก็รีบหันหลังกลับทันที เพราะตอนนี้รู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้าโดยเฉพาะตรงบริเวณที่ถูกปลายนิ้วสัมผัสของคุณหมอหนุ่ม มันทำให้เธอเขินอายจนตัวแทบแตก ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใกล้ชิดเพศตรงข้ามขนาดนี้ แถมยังเป็นผู้ชายทรงเสน่ห์ติดอันดับชายในฝันของสาวๆอีกด้วย
แต่เธอยังไปไม่ถึงไหนก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อุ๊ย!”
“เป็นอะไรพิมนารา”
“ปะ เปล่าค่ะ พิมไม่เป็นอะไร” บอกพร้อมยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
“ไหนดู นั่นเลือดนี่ เหยียบอะไร”
“ไม่เป็นอะไรค่ะหมอ ว๊าย!”
เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอถูกคุณหมอหนุ่มนักธุรกิจช้อนอุ้มเดินเข้าไปในบ้าน เสียงหัวใจของเขา ผสมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวยิ่งทำให้เธอประหม่ามากขึ้นไปอีก
“นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมล้างแผลให้”
เขาบอกแล้วเดินเข้าไปตรงห้องใต้บันได แล้วออกมาพร้อมกล่องยา ก่อนนั่งลงกับพื้นภีมนำเก้าอี้มารองตรงขาเธออย่างเบามือ
“อุ๊…”
พิมนาราร้องตกใจเมื่อภีมจับปลายเท้าของเธอเพื่อเพ่งดูตรงที่บาดเจ็บ ก่อนบอก
“น่าจะโดนกระเบื้องบาด ดีนะที่ไม่ลึกมาก”
หญิงสาวยิ้มตอบรับเบาๆ อย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรดี “ค่ะ”
คุณหมอนักธุรกิจลงมือทำแผลพร้อมกับชวนคุย ราวกับจะช่วยลดความกังวลที่มีต่อแผลของเธอ “ผมไม่ได้ทำแผลให้ใครมานานแล้ว พิมเป็นคนแรกในรอบหลายปีนี้เลยนะ...กลัวไหม”
พิมนารารู้สึกเหมือนหัวใจพองโตกับคำพูดหยอกล้อของเขา อ้อมแอ้มตอบรับแผ่วเบา
“ค่ะ เอ่อ...ไม่กลัวค่ะ”
ภีมส่งยิ้มมาให้แล้วลงมือล้างแผลให้อย่างนุ่มนวลจนแทบไม่อยากเชื่อว่าคนตัวโต มือใหญ่ๆจะปราณีตได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเธอจ้องมองเขาอยู่นานแค่ไหนแต่ก็แทบสำลักลืมหายใจเมื่อภีมเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยชนิดไม่ให้เธอได้ตั้งตัวเลยสักนิด
“เรียบร้อยครับ เดินไหวไหมพิมนารา”
“วะ...ไหวค่ะ”
หญิงสาวตะกุกตะกักบอกเสร็จ ลุกพรวดพราดในทันที
แต่เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงทำท่าจะล้มลงกับพื้น และภีมก็ไวมากเขาลุกมาช่วยประครองเธอเอาไว้ได้ทันท่วงทีเช่นกัน
“ซุ่มซ่ามแบบนี้เสมอหรือไง...หืม”
เสียงถามชิดใบหน้าทำให้เธอร้อนไปหมดไล่จากเส้นผมลงไปถึงปลายเท้า
พิมนาราตกใจเธอยืนนิ่งขยับตัวไม่ได้เมื่อได้สบสายตาคมของเขา รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างกันกำลังลดลงทุกทีๆ ก่อนจะตกใจกระพริบตาปริบๆเมื่อริมฝีปากได้รูปสีแดงเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติและอุ่นซ่านแตะแผ่วๆลงบนหน้าผากของเธอ ราวกับจะหยุดเลือดตรงนั้นไม่ให้ไหลเวียนไปไหน หญิงสาวตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปจากบุรุษรูปงามตรงหน้า
“ไปนอนเถอะ”
ลมหายใจของเธอค่อยๆผ่อนออกจมูกเมื่อตั้งสติได้ แล้วรับคำเขาแผ่วเบาอีกครั้ง
“ค่ะ”
รีบฝืนตัวเดินกระเผลกเข้าห้องไปในทันที
ภีมยืนมองจนลับสายตา ความรู้สึกอ่อนหวานเมื่อครู่เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน รู้ทั้งรู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังทำมารยาใส่เขากลับไม่ควบคุมความรู้สึกของตนเองเสียอย่างนั้น แล้วหันหลังกลับห้องของตนเองด้วยท่าทีเย็นชาต่างจากเดิมราวฟ้ากับก้นเหว