วันต่อมา
“เธอเค้าปวดฉี่” รอบที่แปดของวัน เฟิงหวงกำลังก่อกวน พยายามเรียกร้องความสนใจขณะที่ฉันวุ่นวายกับงานตรงหน้า
“เฟิงเธอเพิ่งปวดไปเมื่อ 10 นาทีก่อน”
“ก็อากาศมันเย็นไงเธอ” ข้ออ้างไม่ได้เรื่องเลยนะ
แต่ฉันก็ยังลุกมาพยุง คนมันงี่เง่าไง ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการก็จะเร้าไม่เลิก ทำให้ฉันเป็นโรคประสาทได้ง่าย ๆ “เธอจะป่วนบ่อย ๆ มันไม่ได้นะเฟิง เค้าทำงาน”
“เค้าเปล่าป่วนเลย เธอมองเค้าในแง่ร้ายอีกแล้ว” เสียงสองเสียงสามเลยนะที่ส่งมา
“อืม งั้นเฟิงคงต้องไปให้หมอตรวจแล้วนะ เผื่อระบบฉี่มีปัญหาเนอะ”
“ไม่ต้องถึงหมอหรอกที่รัก เธอเช็กให้เค้าก็ได้”
“เฮ้อ” ฉันส่งเสียงไปเพียงเท่านั้น พูดอะไรออกไปอีกก็โดนสวนกลับอยู่ดี อยู่กับเฟิงต้องพยายามปล่อยวางให้มาก
“ที่รักคะ”
“อือ” ยืนฉี่อยู่แล้วจะเรียกทำไมนัก อยากให้ฉันดูหรืออะไร
“กินซูซิกันไหม”
“เธอขาเจ็บ และเค้างานยุ่ง” ไม่สมควรที่จะไปกินอะไรทั้งนั้น
“สั่งมากินที่ห้องไงที่รัก เค้าหิว”
“กินขี้นอนครบสูตรนะเฟิง”
“ไม่ครบนะคะที่รัก เรายังไม่ปี้กันเลย กิน ขี้ ปี้ นอน”
“…” อืม เหมือนชี้เป้าอะ ไม่น่าพูดชี้โพรงให้เฟิงหวง
ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วก็พยุงเฟิงหวงออกมาจากห้องน้ำกลับมานั่งทำงาน ส่วนเขาก็นั่งจิ้มโทรศัพท์เล่น
“ที่รักคะเอาอะไรดี” ไม่จิ้มเล่น จิ้มแอพสั่งอาหาร
“เธอเลือกเลย แล้วอย่ากวนด้วยจะทำงาน อย่าให้อารมณ์เสีย” นี่เป็นการเตือนอีกครั้ง ก็ไม่รู้จะฟังกันไหม ปกติก็ไม่ฟังเรื่องที่ฉันห้ามอยู่แล้ว
เป็นพวกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ถ้าบอกว่าทำอันนี้สิดี ไม่จ้า อีเฟิงไม่ทำ อะไรที่แบบอย่านะเฟิง อีเฟิงแทบจะพุ่งเข้าใส่
และนี่เขาก็คงใช้ความเจ็บมาเป็นข้ออ้างเพื่อนอนกับฉันอีกสักพักใหญ่ ที่ฉันยอมและดีด้วยก็เพราะเขาดูเหมือน ใช้คำว่าดูเหมือนนะ ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ก็เลยคิดว่าเราถอยคนละครึ่งชีวิตน่าจะราบรื่น ฉันไม่อยากปวดหัวทุกวันไง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“ที่รักคะมากินก่อน” แปลกดีไหมที่เดินไปรับของเองได้ แต่เดินเข้าห้องน้ำไม่ได้ คนแบบนี้เรียกคนเจ้าเล่ห์ไง
“อีกแป๊บเธอ”
“ที่รัก”
“…”
“ที่รัก”
“…” จะบ้าตาย เรียกอะไรนัก บอกว่าอีกแป๊บไม่เข้าใจหรือไง
“ซานิ” อืม รอบนี้ลุกเถอะ รำคาญ
“เฟิงป่วนมาก” ฉันเดินมานั่งข้าง ๆ เฟิงหวง ด้านหน้ามีโต๊ะถูกวางด้วยกล่องซูซิหลายกล่อง
“กินก่อน ตั้งแต่ที่รักตื่นยังไม่ได้กินอะไรเลย กินแล้วจะได้คิดงานออกไงคะ”
“ขอบใจ” อืม เข้าใจว่าหวังดีกับท้องไส้กัน ฉันจึงรับตะเกียบจากเฟิงหวง
ในรอบหลายปีได้ที่เราจะคุยกันดีสักครั้ง ฉันนั่งกิน กิน กิน และกินจะได้รีบไปเคลียร์โพรเจกต์จบ ยังมีงานที่พ่อมอบหมายให้ต้องตรวจสอบอีกหลายอย่าง เสร็จไม่ทันขึ้นมาฉันไงซวย พ่อฉันเป็นคนตรงต่อเวลาเสมอ ถ้าผิดพลาดก็โดนเพียบ
ผ่านไปห้านาที
“ที่รักคะ” เฟิงเรียกระหว่างที่ฉันยกน้ำขึ้นดื่ม
“หืม”
“สินค้าที่เค้าขโมยมามันมีปัญหานะ คนของเค้าเพิ่งเช็กอย่างละเอียดก่อนจะส่งออก วัสดุที่ทำถูกลดเกรดลงมาต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำ”
“หือ เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ไง คนจัดการเรื่องนั้นซินดี้นี่นา”
“ไม่รู้อะ เค้าแค่บอกตามที่ได้ยินมา” หน้าจริงจัง เรื่องนี้เฟิงไม่พูดเล่น
“…” พี่สาวฉันพลาดเอง หรือว่าใครเป็นคนทำ แต่เรื่องนี้ซินดี้ไม่มีทางไม่รู้ ถ้างั้นทำไมปล่อยผ่านล่ะ
“แต่เค้าจะจ่ายเงินครบตามจำนวนนะ”
“งี้เธอก็ขาดทุน”
“ก็ไม่เห็นเป็นไร เธอลืมเหรอเค้ารวยมาก”
“อ่อ งั้นก็ดี”
“เค้าดีที่สุดแล้วค่ะที่รัก” ปากกำลังเคี้ยวแซลมอน เขาก็หันมายิ้มให้ฉัน
อืม เฟิงมันก็น่ารักดีเวลาที่มันอยู่แบบไม่สร้างเรื่อง แต่บางทีก็น่าฆ่าทิ้งเวลาที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ได้ของเล่น
ต่อมาฉันเดินมาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ในห้อง แล้วกดโทรหาซินดี้ มันยังไงกันแน่ ซินดี้กำลังทำอะไรอยู่ทำไมปล่อยปละละเลยแบบนี้
(ไงซานิ)
“เหตุการณ์เป็นยังไงบ้างซินดี้” ให้ถามพี่สาวออกไปตรง ๆ มันจะกลายเป็นฉันไม่เชื่อใจพี่ ๆ ก็เลยจำเป็นต้องอ้อมโลก
(ก็โดนกักบริเวณ ไม่ต้องห่วงนะพี่ยังทำงานได้เหมือนเดิม ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพ่อเป็นไง)
เพราะรู้ไงว่าคุณสมิงเป็นยังไงถึงได้เป็นห่วง ถ้าพี่สาวฉันทำอะไรไม่ซื่อ “ซินดี้”
(ว่าไง)
“ยังเป็นคนจัดการเรื่องอุปกรณ์การผลิตเองหรือเปล่า”
(เป็นนะ ทำไมถามงั้น มีอะไรหรือเปล่า)
“ก็…”
(ไม่ต้องห่วงซานิ ทุกอย่างโอเค พี่จัดการทุกขั้นตอนด้วยตัวพี่เอง หรือเธอไม่ไว้ใจพี่)
“ไม่ใช่แบบนั้น นิแค่กลัวดี้เหนื่อยคนเดียว”
(ไม่ต้องห่วงน่า พ่อเขาให้เราดูแล พี่ก็จะดูแลอย่างดี)
“อืม นิเชื่อใจดี้นะ” พูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ฉันจึงกดวางสาย
มีกลิ่นแปลก ๆ ฉันเดาว่าซินดี้กำลังทำบางอย่าง การที่ฉันไม่เคยเข้าไปดูโรงงานสักครั้งมันเป็นผลเสียมาก และถ้าตอนนี้บุ่มบ่ามเข้าไปมันก็ไม่ได้ เอ่อ เข้าได้อยู่ถ้าอยากทะเลาะกับพี่สาว
ฉันเดินกลับมาที่โซฟา สีหน้าคงจะแสดงออกชัดเจนจึงทำให้เฟิงหวงทักท้วง “ที่รักหน้าเครียดจังคะ”
“เธอพาเค้าไปดูอาวุธที่ขโมยมาได้ไหม เค้าอยากเห็นอย่างละเอียด” ทุกอย่างต้องเห็นด้วยตา
“อืม หอมแก้มเค้าก่อน แล้วเค้าจะพาที่รักไป”
“ไหนว่าเราคุยกันเข้าใจ”
“ที่รักคะ ก็เข้าใจไง เค้าแค่อยากให้เธอหอมแก้มเค้าเอง ทำไมคะ ไม่ได้เหรอ”
“…” มันเข้าใจจริงไหมนะ ใบหน้าซื่อ ๆ นี่ไม่น่าเชื่อเลย
“แลกเปลี่ยนกันไงคะที่รัก นี่ที่รักคิดดูนะคะ ถ้าเค้าไม่ขโมยของออกมา ที่รักจะรู้ได้ยังไงว่าสินค้าที่ส่งออกไม่ได้คุณภาพตามราคาคุย นี่เค้ามีความดีความชอบนะคะ” กลับดำให้เป็นขาวโดยง่ายดายก็เฟิงหวงคนนี้นี่แหละ
“พาไปดูก่อน”
“ถ้าพาไปก่อนต้องได้มากกว่าหอมแก้ม”
“ได้ดิ” มากกว่าหอมแก้มก็จูบปากไง ให้ขึ้นขย่มไม่ได้หรอก อีเฟิงมันเดี้ยงและใช้สะโพกไม่ได้สักพักใหญ่ สะโพกหลุดมันเด้าได้ที่ไหน ก็ทำปากเก่งกวนประสาทไปงั้น
“เค้ารักเธอที่สุดที่รัก”
“…”
“พูดได้น่า ก็เค้าพูดบ่อยจนชินปากไปแล้ว” รีบดักทางเพราะเห็นว่าฉันเหลือบตามอง จากนั้นเค้าก็นั่งกินต่อ อืม ช่างเถอะ ปล่อยไป
“ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
“ที่รักอาบให้เค้าด้วย” รีบเชียว ทีแบบนี้รีบเก่ง
“กินรอไปก่อน”
ฉันลุกมาจัดการร่างกายตัวเองจนเรียบร้อยแล้วเตรียมน้ำให้เฟิง ออกมาจากห้องน้ำเฟิงหวงกำลังเก็บกล่องของที่กินไปด้วยสภาพที่…ทุลักทุเล
“เดี๋ยวทำเอง มาอาบน้ำเร็ว” ตอนนี้เกือบหกโมงเย็น ถ้าเฟิงหวงช้าเราจะกลับมานอนดึก ยังดีที่วันนี้อีเฟิงมันพูดง่าย ทุกอย่างเลยราบรื่น ยอมวางทุกอย่างแล้วเดินมาหาฉัน
บนรถ
“ไหนเพื่อนบอกจะแวะเข้ามาช่วยดูแลเธอ ทำไมจู่ ๆ ก็ไม่มา” ฉันถามระหว่างขับรถ ก็พอจะรู้คำตอบเพราะก่อนหน้านี้เห็นเฟิงนั่งยิ้มพักใหญ่ ไม่นานกลัฟก็ส่งมาบอกว่ามาไม่ได้แล้ว
“เค้าไม่รู้ มันมีงานกันหรือเปล่าที่รัก” เหอะ ข้ออ้างไม่เนียน
“อืม ไม่มาก็ดี เพราะขากลับเค้าจะแวะส่งเธอที่บ้านแม่เธอ”
“นิ”
“เค้ามีบางอย่างต้องทำ เข้าใจกันด้วย” นิ ซานิ เวลาเรียกแบบนี้หมายความว่ากำลังไม่พอใจฉัน
“เธอขี้โกง”
“โกงอะไร”
“ไหนบอกจะทำมากกว่าหอมแก้ม เค้าไม่น่าเชื่อเธอเลยว่ะ” ตัดพ้อเก่งกว่าฉันอีก
“…”
“ซานินี่เธอไม่ง้อเค้าจริงดิ”
“กลับไปอยู่บ้านนะ หายแล้วค่อยมา”
“นินี่เธอจะทิ้งผัวเหรอวะ”
“ไม่ได้ทิ้ง เค้าทิ้งเธอได้ที่ไหน” ทิ้งได้ทิ้งไปนานแล้ว