อรุณแรกวันเลื่อมแสงทองอล่ามอาบไล้เวหาห้าว พลิกฟื้นคืนชีวิตชีวาให้พสุธาหวนให้กระปี่กระเป่า
โดยเฉพาะ ณ บางสามเพ็งอันเป็นชุมชนของชาวจีนโพ้นทะเล ยิ่งคึกคักตั้งแต่ไก่ยังขันไม่ครบจบเสียง
ด้วยนิสัยกระตือรือล้นชนิดนี้ บางสามเพ็งจึงเจริญรุดหน้าขึ้นรวดเร็วในเวลาอันสั้น ร้านรวงเปิดประตูเริกม่านทำการค้า ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ที่หน้าร้านขายข้าวต้มแผงวางพื้นข้างกำแพง มีเหล่าชายฉกรรจ์รวบถักเปีย กระชับเสื้อผ้า ยกถ้วยข้าวต้มพุยเข้าปาก ตระตรียมเสริมสร้างพละกำลังเพื่อออกหาเลี้ยงชีพในอีกวัน
ส่วนเบื้องหลังกำแพงที่ร้านข้าวต้มใช้พักพิง เป็นหมู่ตึกโอฬารตระการตาของเจ้าสัวแซ่อั้ง ภายในบริเวณ ประกอบด้วยสามหมู่ตึกก่ออิฐถือปูนสองชั้นล้อมเป็นรูปตัวยู ตรงกลางเป็นลานกว้างใหญ่ปูหินแกรนนิกสีดำสลับเทา ซึ่งยามช้าวตรู่เช่นนี้กลับคร่าคร่ำไปด้วยพลพรรคพ่อค้านับได้เกือบร้อยชีวิต ประหนึ่งว่าพวกมันกำลังรวมตัวเพื่อรอคอยสิ่งสำคัญควรเมือง
ตราบกระทั้งการรอคอยของพวกมันได้สิ้นสุดลง เมื่อปรากฏเรือแจวมุ่งหลังคาเก๋งทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้ายังมีโคมไฟทรงกลมเปล่งแสงริบรี่รับอรุณ
“ พวกเจ้าจะยืนเกะกะขวางทางกันไปใย หลีกๆ !...”
เสียงแหลมสูงแปร่งหูเลื่อนลั่นมาจากชายชราร่างเล็กสันทัด ผมเปียยาวของมันเป็นสีดอกเลาขาวหมดจรดไปทุกเส้น แม้ใบหน้ามันจะเหี่ยวย่นหลังงองุ้ม แต่นัยน์ตาชี้เฉียงเรียวยาวนั้นยังทอประกายกระปรี่กระเป่าดั่งเด็กหนุ่มวัยเยาว์
“ พ่อบ้านม่าน !...”
มีหลายสิบคนร้องเรียกทัก โดยคนส่วนใหญ่ต่างเขยิบเปิดทางให้พ่อบ้านชราเดินออกจากหมู่ตึกสีไข่ไก่ ตรงรี่ฝ่ากลุ่มคนไปยังท่าเทียบเรือพร้อมบ่าวสนิทติดตามด้านหลังไปสี่-ห้านาย
พ่อบ้านม่านเป็นชายชาวกวางโจวัยเฉียดหกสิบ ใบหน้ามันซูบผอม ไว้หนวดเคราเรียวยาวจรดอก มันมักสวมใส่เสื้อกักยาวสีอ่อนคล้ายซินแซนักทำนาย ในมือถือพัดขนห่านแกว่งไกว วางท่าราวเป็นกุนซือใหญ่ในยุคสาทก๊กกลับชาติมาเกิดก็ไม่ปาน
เมื่อพ่อบ้านย่างกายมาถึงท่าเทียบเรือ มันยังวางท่วงท่าสง่างาม โบกพัดเบาแรง หรี่ตามองเรือที่โลดแล่นมาด้วยความเร็วรี่
ที่หัวเรือแจวยังมีชายผอมสูงผิวเหลืองซีดถือพลองยาวคุมเชิง ส่วนทัายเรือมีชายร่างใหญ่ยักษ์ถือหางเสือเรือคัดท้ายกำหนดทิศทาง
ส่วนด้านข้างกาบเรือยังมีสองชายจ้วงไม้แจวเรืออยู่คนละด้าน เร่งแรงส่งไปสุดกำลัง
“ พวกเจ้ากั้นคนด้านหลังไว้ อย่าให้เข้ามารบกวน เรื่องสำคัญเพียงนี้ให้พบเห็นมากคน จะพูดเกินเลยโดยเปล่าประโยชน์ ”
น้ำเสียงราบเรียบของพ่อบ้าน ดั่งประกาศิตให้เหล่าคนติดตาม เดินถอยออกไปคุมเชิงทึ้ด้านหลัง ยืนกอดอกตั้งแนวเป็นกำแพงมนุษย์ ไม่ให้ผู้ใดกรายกร่ำถึงท่าน้ำ
พอเรือเข้าเทียบท่า สองคนสนิทรีบเผ่นโผนขึ้นฝั่ง ส่วนลูกเรือจับโครงเรือให้สงบนิ่ง เพื่อประคองแม่หญิงในอาภรณ์บุรุษเพศรีบรุดขึ้นฝั่งไปอีกคน
“ สีหวัง ซิมู เจ้าทั้งคู่ปลอดภัยดีอยู่กระมั้ง ? “
พ่อบ้านม่านตรงเข้าตบไหล่คนสนิททั้งสอง พลางค่อมศรีษะพยักหน้าให้คุณชายจำแลง ที่มันห่วงใยกว่าใคร
“ คุณหนูใหญ่ท่านเป็นอันตรายในที่ใดบ้างหรือ อ อ อ อ อ…”
พ่อบ้านม่านชะงักคำกระทันหัน เมื่อแลเห็นลักยิ้มเล็กๆ ที่ข้างแก้มนวล
“ เอะ !...เหตุใดกลายเป็นท่านไปได้เล่าคุณหนูเล็ก ?...แล้วคุณหนูใหญ่ไปอยู่ที่ใดแล้ว ? “
ชายชราเบิกตาโพลง ร้องแตกตื่นในหัวงหัวรู้สึกถึงหายนะกลายใกล้เข้ามาแค่เอื้อม…
…ผิงซีค่อยขยับเปลือกตาฟื้นตื่น คืนสู่โลกแห่งความจริงทีละน้อย
แสงแดดอ่อนๆที่แทรกเข้ามาตามร่อนม่านไสว ช่วยให้สายตานางปรับการมองเห็นได้รวดเร็วขึ้น
แต่จักษุประสาทเหมือนจะไม่ไวเท่าโสตสัมผัส ที่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเต็มสองหู
“ น้องจันจีน !.. เจ้าได้สติแล้วฤา พี่นี้หวั่นใจว่าน้องจะเป็นอันใดยิ่งนัก มองเห็นเจ้าไม่ฟื้นตื่นใจพี่นี้แทบจะขาดรอนๆ “
จะเป็นผู้ใดกล่าววาจาเช่นนี้ได้อีก ?
“ เจ้าพู่ระหง ! ”
ผิงซีขานชื่อที่เหล่าเกลอมักเรียกขานมัน ด้วยความดีใจล้นปรี่เมื่อเห็นชายช่างจำนัญจาอยู่ไม่ไกล
ทว่าความดีใจของนางพลันถูกสะบั่นขาดเป็นผุยผง เมื่อเห็นพ่อภู่ถนัดชัดตา
“ เหตุใดเจ้ามีสภาพเช่นนี้เล่า ? ”
ผิงซีกู่ถามเสียงเครือ เมื่อเห็นว่าพ่อภู่ถูกจองจำอยู่ในกรงเหล็กขนาดกว้างใหญ่สิบศอก ที่ข้อมือมันยังมีโซ่ทองเหลืองล่ามติดอยู่กับกระถางแปดมังกรอยู่ดังเดิม
“ นี่ย่อมเป็นเรื่องสามัญธรรมดามิใช่ฤาน้องจันจีน …ผู้ชนะเป็นจ้าวผู้แพ้เป็นโจร ย่อมต้องถูกจับขังกรงเช่นนี้แล ”
พ่อภู่กล่าวรื่นไหล เหมือนไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนกับสิ่งที่เกิด จนผิงซีรู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่ง
“ นี่เจ้าไม่หวาดกลัว ทุกข์ทนบ้างเลยหรือไร ? “
คำถามของนางย้ำเตือนว่าตนมีสภาพไม่แตกต่างจากพ่อภู่นัก แม้จะไม่ได้ถูกจับขังกรง แต่ที่ข้อเท้านางถูกโซ่ล่ามติดไว้กับผนังห้อง อันเป็นห้องที่ก่ออิฐถือปูนสีเทาซีดๆ รอบบริเวณมีเพียงช่องหน้าต่างทรงกลมห้อยม่านระบายลูกไม้สีขาวหม่น ดูไปไม่คล้ายห้องคุมขังนัก เหมือนจะเป็นตึกของพวกฝารั่งเสียมากกว่า
“ เหตุใดต้องทุกข์ร้อนด้วยเล่าน้องหญิง ได้อยู่สองต่อสองกับเจ้าในที่รโหฐานเช่นนี้ นับเป็นวาสนานำพาโดยแท้ ”...
ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่ลอยลอดมากับวาจาสดใส่ สกดให้ผิงซีต้องมองตาขวาง หากเพียงอึดใจนางกลับเปลี่ยนเป็นอมยิ้มขบขันกับท่าทีของมันขึ้นมา
“ จะตกตายในอีกอึดใจนี้แล้ว เจ้ายังมีแก่ใจเกี้ยวพาราสีข้าอีกฤา ? ”
“ หาได้กล่าวเกี้ยวเลื่อนเปื้อน สิ่งที่เอื้อนเอ่ยจากใจสิ้น ”
พ่อภู่ยังส่งสายตาหวานเชื่อมผ่านกรงเหล็ก เอ่ยกระซิบแผ่วราวสายลมโชย
ทำเอาผิงซีอัดอั้นแปลกประหลาด จะว่าชื่นชอบก็ไม่ใช้ จะรังเกียจเดียดฉันท์ก็ไม่เชิง
“ เจ้านี่ถ้าจะดื่มสุราจนวิปลาสไปแล้วกระมั้ง เจ้ารู้จักข้ามากน้อยเพียงใดกัน จึงมาฝากรักทุ่มเทชีวิตให้ ? ”
“ น้องไม่เชื่อในบุพเพสันนิวาสดอกหรือ เพียงพบน้องคราแรกใจพี่ก็ปักตรึงไม่สันคอน มิอาจพร่าเลือนได้สักโมงยาม “
“ คิก คิก คิก …เพียงรูปลักษณ์เท่านั้นเองฤาที่เจ้าเรียกบุพเพสันนิวาส แล้วหากข้ามิใช้แม่หญิงจันจีนเล่า รักที่เจ้าพร่ำเพ้อยังจะเที่ยงแท้อยู่หรือไม่ ? ”
ผิงซีเอ่ยราบเรียบ หากแฝงความนัยไว้ลึกซึ้ง ดวงตาวับวาวจ้องมองมันนิ่ง ขณะค่อยยันกายลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้กรงเหล็กจนโซ่ที่ล่ามขานางตึงเขม็ง
“ บุพเพสันนิวาสหาใช่รูปลักษณ์ดอกน้องจันจีน เป็นความรู้สึกอบอุ่นในใจทุกคราที่พบน้องต่างหากเล่า ”
พ่อภู่กล่าวพลางยกมือขึ้นจับอกซ้าย ประสานสายตาหวานเยิ้มกับนางในดวงใจไม่คลาย
“ ไม่เพียงรู้สึกอบอุ่น บางคราใจพี่เต้นระทึกรุนแรงเมื่อได้พูดจากับน้องสักคำสองคำ ยิ่งยามนี้ใจพี่ยิ่งรัวเร้ารุนแรงกว่าครั้งใด …”
พ่อภู่หลับตาพริ้ม เงยหน้ารับแสงอรุณอ่อนๆ ดั่งเคลิบเคลิ้มไปในความรู้สึกที่หลั่งรินเปี่ยมล้น
ท่วงท่าของชายหนุ่มทำเอาผิงซีปั่นป่วนใจไม่น้อย นางยากตะโกนร้องร่ำ ว่าตนไม่ใช่น้องจันจีน !....
ทว่านางทำได้แค่ขยับปากขมุบขมิบ ตาจ้องที่กระถางทองเหลืองข้างกายมัน โดยนึกเลยเถิดว่าต้องเอ่อออห่อหมกกับผีสุราคลั่งรักผู้นี้ไปก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ได้แผนที่ขุมทรัพย์มา
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ฟู-เดอ-ตัว…ฟอล-เดอ-ตัว…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…( ใจสั่นหวั่นไหว…ว้าวุ่นกระวนกระวายรัก )...”
พอภู่พลันต้องลืมตาโพลง หันมองผิงซีด้วยตาเบิกกว้าง เมื่อได้ยินถ้อยคำแปลกหูลอยลอดมากับประตูห้องที่เปิดออก มาพร้อมชายสูงใหญ่หน้าตาคมคาย ที่เดินหัวร่อร่าเข้ามาในห้อง
“ คู่รักชาวสยามนี่ช่างพิร่ำพิไรนัก มิน่าเล่าจึงมีพลเมืองน้อยนิดเพียงนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ! ”
อูซาเรเน่เดินก้าวเข้าห้องด้วยอารมณ์ระรื่น พร้อมกับโบกมือให้บ่าวรับใช้ที่ตามหลัง รีบกุลีกุจรเข้ามาวางเก้าอี้ ส่วนบ่าวอีกสองนายที่ถือถาดอาหารเข้ามาวางไว้ด้านหน้าพ่อภู่กับผิงซีแค่คืบ
ส่วนอูซาเรเน่ได้ปล่อยตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ไขว่ห้างสบายอารมณ์ โดยครานี้มันอยู่ในอาภรณ์แบบกัปตันเรือชาวฝรั่งเศส สูทสีกรมท่าทรงยาวถึงเข่า กางเกงขาวสะอาด รองเท้าบู๊ทสีดำมันวับ หนำซ้ำยังสวมหมวกทรงสามเหลี่ยม ดูโอ่อ่าภูมิฐานกว่าเป็นผู้ลอบเข้าวังเมื่อคืนเป็นไหนๆ
“ ไอ้โจรร้ายไร้ยางอาย ยังกล้าเชิดหน้ามาพบข้าอีกฤา ?...ใช้อุบายต่ำช้าเช่นนี้ไปแย่งผ้าซิ่นอิสตรีมาสวมใส่เถิด ! “
ดูเหมือนความภูมิฐานของมันจะไม่อยู่ในสายตาผิงซีสักนิด พอเห็นหน้ามันก็ขึ้นเสียงด่าทอ จนพ่อภู่สะดุ้งตัวโยน ด้วยไม่เคยได้ยินแม่หญิงชาววังกล่าวกร้าวถึงเพียงนี้
“ นุ่งซิ่นข้าไม่ถนัดนักดอกแม่หญิง หากให้ถอดละก็ข้าชำนาญนักแล ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..”
จอมสลัดกล่าวคะนอง โดยในมือมันยังถือพัดจีบเงินยวงของผิงซีเป็นมั่นเหมาะ ยามคลี่พัดกวัดแกว่ง รูปผีเสื้อบนพัดที่ปักไว้ด้วยเม็ดไพรินเล็กๆยังวิบวับพราวพราย
“ ไอ้โจรลามกขลาดเขลา เจ้าเก่งแต่ปากกระมั้ง ?...หากยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง ก็มาวัดเชิงดาบให้แตกหักกันประไร ! ”
ผิงซียิ่งกล่าวยิ่งเดือดดาล นางขยับตัวก้าวจนโซ่ข้อเท้าตรึงสั่นไปมา
“ อย่าดุดันให้เปลืองเรี่ยวแรงไปเลยแม่หญิง เชิญรับทานอาหารก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะสิ้นเรี่ยวแรงก่อนได้ประลองดาบกันดอกหนา “
“ ชิ !...อาหารสกปรกของโจรเจ้าเล่ห์ ข้าไม่ใคร่ลิ้มลองดอก เจ้าใส่ยาพิษชั่วช้า อันใดไว้เป็นแน่ ! “
ผิงซีสะบัดเสียงใส่ คิดด่าทอระบายอีกหลายคำ แต่แล้วนางกลับต้องเบี่ยงเบนสายตาไปมองพ่อภู่ในกรง ที่กำลังยื่นมือมาหยิบขนมปังแถวยาว กับหมูแฮมรมควันส่งเข้าปาก
“ อาหารชาวฝารั่งนี่รสชาติทื่อมะลื่อสิ้นดี พวกเจ้าไม่มีอาหารชาวสยามดอกฤา ? ”
พ่อภู่เอ่ยทั้งที่อาหารเต็มปาก จนผิงซีเอื้อมระอา…หน้าซิ่วหน้าขวานเช่นนี้ มันยังมีแก่ใจกินอาหารศัตรูได้อีก…
นางครุ่นคิดคิ้วขมวด รู้สึกว่าเหล่าพ่อชายรอบตัว ล้วนทำเรื่องประหลาดใจให้นางอยู่ร่ำไป
“ อาหารชาวสยามกระนั้นฤา ?...หาไม่ยากนักดอกท่านอารักษ์ภู่ “
อูซาเรเน่หันไปกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางโบกพัดให้คนรับใช้เป็นสัญญาณ ให้ไปหาสิ่งของตามพ่อภู่ปราถนา
“ หากมีสุราแลกับแก้มรสเลิศ จะวิเศษยิ่งนัก “
พ่อภู่กลับยิ่งร้องขอเพิ่มเติม ทำเอาอูซาเรเน่ยกยิ้มพึงพอใจ
“ มิคาดว่าท่านเจริญอาหารยิ่ง ข้าพเจ้ามีเหล้าองุ่นรสเลิศจากเมืองฝรั่งเศส ท่านอยากลิ้มลองหรือไม่ ? ”
“ อยากซิ !...อยาก ! …”
พ่อภู่ร้องเร้าด้วยความกระหายอยาก เมื่อได้ยินคำว่าเหล้าองุ่น มันพลันน้ำลายสอเปรี้ยวปากขึ้นมาทันใด
“ ข้าพเจ้าจะให้ท่านนอนแช่เหล้าองุ่นทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้ หากท่านแก้กลเปิดกระถางทองเหลืองให้ได้เชยชมสักครา ”
ผิงซีใจหายวาบ รู้สึกว่าตนผิดท่าพ่ายแพ้มันทุกด้านเสียแล้ว ผีสุราไหนเลยจะไม่สนองตอบเมื่อมีสุรามาล่ออยู่ตรงหน้า
“ เฮอะ เฮอะ เฮอะ !...เทพบุตรโจรสลัดแห่งอันดามัน มีเพียงเหล้าองุ่นมาแลกแผนที่ขุมทรัพย์เองฤา ?...ออกจะลงทุนน้อยไปกระมั้ง ? “
เพียงวาจาเดียว โลกเหมือนจะปรับเปลี่ยนในบัดดล ผิงซีมองเห็นพ่อภู่ผิดแปลกไปจากคนเมามายไม่เอาถ่าน เช่นเดียวกับอูซาเรเน่ที่เห็นอารักษ์นักกลอนหาได้มัวเมาดั่งรูปลักษณ์มันไม่
“ เจ้ารู้จักข้าด้วยฤา ท่านอารักษ์ภู่ ? ”
“ เพราะข้าเป็นอารักษ์เก็บจังกอบเรือทุกลำที่เข้าสู่บางกอก เหตุใดจะไม่เคยเห็นประกาศจับเจ้าเล่า …อูซาเรเน่ ไพเพอซาร์ต…”
“ ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าคือใคร ก็สมควรแก้กลเปิดกระถางมังกรเถิด แล้วเราจะได้ไปร่ำเมลัย ฉลองอำนาจมหาศาลร่วมกัน ”
อูซาเรเน่ลุกพรวดจากเก้าอี้ ก้าวเข้ามายึดเกาะที่กรง แล้วโปรยคำหว่านล้อมไปกับรอยยิ้มหวานเปี่ยมล้น
“ เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กแปดขวบหรือไร พ่อสลัดอุศเรน …”
พ่อภู่ต่อปากต่อคำด้วยความไวปัญญา ซ้ำยังแผลงชื่อมันให้คล่องปากขาวสยาม แทนชื่ออูซาเรเน่อันยืดยาว
“ อุศเรน กระนั้นฤา ?...ไม่เลวเลย..! อยู่บางกอกมานานโขเพิ่งมีชื่ออย่างชาวสยามก็ครานี้…หากเรียกข้าว่า เทพบุตรอุศเรน …จะเสนาะหูนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า !...”