บทที่ 2 บ้านใหม่ที่มีเราสองคน ตอนปลาย

2199 Words
ตอนนี้เวลาสี่ทุ่มแล้ว ค่ำคืนวันศุกร์ในหมู่บ้านนั้นเงียบเป็นปกติ ทว่าพ้นถนนตรงนี้ไปก็เป็นถนนเส้นหลัก ข้างทางมีร้านอาหารมากมายสำหรับนักท่องราตรีและนักเดินทางทั้งหลาย วันนี้มีสองบุรุษซ้อนท้ายจักรยานหาร้านที่อยากกินไปเรื่อย ๆ ก็เป็นภาพที่น่าเอ็นดูไม่น้อย “กินก๋วยเตี๋ยวไหม” “ครับ” เมื่อคนข้างหลังตอบรับเขาก็กำเบรกมือเลี้ยวเข้าไปจอดจักรยาน ตอนนี้คนค่อนข้างมากแต่ยังมีโต๊ะว่างอยู่ ทั้งทุกคนก็ได้อาหารกันแล้วคงรอไม่นาน ลู่จิวจัดแจงชุดด้วยความเคยชินก่อนยื่นกระเป๋าให้คนพี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเดินตัวปลิวนำไป “จิวถือเลย มาเร็ว” จิวไม่มีทางเลือก ได้แต่ถือกระเป๋าเงินของคนพี่เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในร้าน สั่งอาหารเสร็จก็ออกมานั่งที่โต๊ะด้านนอก มองดูท้องฟ้า รถราวิ่งตามท้องถนนก็เพลินตาดีเหมือนกัน ปกติเขาแทบไม่ได้ออกมาเห็นอะไรแบบนี้เลย ท่ามกลางผู้คนผ่านไปมา ท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจรอบข้าง เสียงรถวิ่งผ่าน แสงไฟ และดวงดาวระยิบระยับ คนสองคนที่พึ่งก้าวถอยจากปรโลกนั่งรอก๋วยเตี๋ยวมื้อดึกกันอย่างสบายใจ ชวนกันคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ๆ คล้ายความโศกเศร้าเมื่อตอนเย็นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนน้องสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพิเศษหมู ส่วนคนพี่สั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กพิเศษ คุยกันได้ไม่นานภาสกรก็ลุกเดินไปหยิบน้ำอัดลมในตู้มาด้วยหนึ่งขวดใหญ่ เดินยิ้มกลับมาที่โต๊ะจากนั้นก็เปิดฝาเทใส่แก้วของพวกเรา “ฉลองบ้านหลังใหม่ของพวกเรา” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ด้วยรอยยิ้มประดับอยู่ ไม่ต้องอธิบายต่อจิวก็เข้าใจความหมาย บ้านที่ไม่ใช่บ้าน แต่เป็นผู้คน เป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นครอบครัวใหม่ที่มีเขาและพี่ภาส สองคนแปลกหน้ากลายเป็นบ้านของกันและกัน จิวได้รับการสนับสนุนทุกอย่างในอนาคตจากผู้ชายตรงหน้า ส่วนอีกฝ่ายต้องการเขามาอยู่เป็นเพื่อน เป็นครอบครัวแทนแม่ที่พึ่งจากไป ใบหน้าที่ยังมีร่องรอยหลงเหลือจากการร้องไห้อยู่จาง ๆ เผยยิ้มบางจับแก้วขึ้นมาชนกับคนพี่เบา ๆ “ฉลองครับ” “ให้คิดว่าตอนนี้พวกเราได้เกิดใหม่กันแล้วนะ” “ครับ” แก้วสแตนเลสชนกันอีกครั้ง ลู่จิวรู้สึกผ่อนคลายจนหัวโล่ง ตอนอยู่ที่สะพานเขาคิดอะไรไม่ออกเลย ชีวิตจะเอายังไงต่อ จะทำอะไรต่อ จะไปที่ไหน จะโทรหาเพื่อนก็ไม่กล้า จะกลับไปหาพ่อแม่ตัวจริงก็คงบ้าเกินไป ทั้งเขายังเรียนไม่จบ เงินก็ไม่มี หากไม่ตายก็คงต้องเอามือถือไปขายเพื่อหาที่พักชั่วคราวก่อน จากนั้นก็ต้องทำงานช่วงปิดเทอมเพื่อจ่ายค่าเทอมและใช้ตอนฝึกงาน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ตากลมเผลอจดจ้องใบหน้าคมคายอย่างไม่ตั้งใจ พี่ภาสเป็นคนที่หล่อเหลามาก จมูกโด่ง ปากหยักได้รูป ตาก็คม ทั้งตัวใหญ่กว่าเขามากสมกับที่อายุสามสิบกว่าแล้ว อยู่ในวัยทำงานและมีกิจวัตรคือการออกกำลังกายมาตลอดสิบปี ตอนเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวพี่ภาสบังเขามิดจนแม่ค้ามองไม่เห็น ไม่ใช่แค่จิวที่มองสำรวจภาสกร หลังจิวหันไปมองทางอื่นร่างสูงเองก็คิดเรื่องเจ้าตัวอยู่เช่นกัน เด็กคนนี้ผิวพรรณคงได้รับการดูแลมาอย่างดีทั้งไม่ค่อยออกแดด ลักษณะการพูดก็ค่อนข้างดี มีสีหน้าเกรงอกเกรงใจตลอดตั้งแต่เข้าบ้านแล้ว ในอนาคตไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานะแบบไหน ด้วยสาขาที่จิวเรียนแล้วสามารถทำงานกับเขาได้ ถ้าเกิดวันหนึ่งอีกฝ่ายอยากออกไปใช้ชีวิตคนเดียว วันนั้นเขาย่อมสนับสนุน แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ในเมื่อเราสองคนยังมีความเจ็บปวดกักเก็บอยู่ในใจ ตอนนี้ก็คงต้องค่อย ๆ ซ่อมแซมให้กันและกันจนหายดีไปก่อน ชีวิตภาสกรเคยมีความสุข จนกระทั่งพ่อพาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน ปากก็พูดแต่คำว่าอยากให้เขาและแม่เข้าใจ ข้างกายของพวกเขามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยใบหน้าไร้เดียงสา นี่คือน้องชายต่างแม่ของเขาที่อายุห่างกันมาก ตะวันอายุแค่สองขวบ ขณะที่เขายี่สิบ วันนั้นโลกทั้งใบแตกสลายลงชั่วพริบตา ที่เจ็บกว่านั้นคือแม่เขารู้เรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่บอกเขา วัยนั้นเขาเริ่มดื้อแล้วและมีพ่อให้ท้ายมาตลอด ไม่รู้ว่าแม่ต้องเจ็บปวดขนาดไหน ตั้งแต่วันนั้นแม่ก็สร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เขาอยู่ในตอนนี้ พาเขาออกมา ตอนนั้นภาสกรไม่อายเลยที่จะตกต่ำ เพื่อนเขาทุกคนล้วนให้ความช่วยเหลือไม่หนีหาย ตอนเขาอายุยี่สิบแปดพ่อกับเมียน้อยคนนั้นก็เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต เหลือน้องคนเล็กอายุสิบปีเอาไว้ให้แม่และเขาเลี้ยง ยังดีที่เด็กคนนั้นนิสัยดี ตอนนี้เรียนอยู่โรงเรียนประจำปิดเทอมจึงจะกลับมา ชีวิตที่ไร้พ่อและผู้หญิงคนนั้นนับว่าไม่แย่เพราะพวกเราแยกกันอยู่นานแล้ว กิจการของตระกูลก็เป็นเขาที่ดูแลมาตลอด ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ก็มารู้ว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย สามเดือนก่อนท่านก็จากไป นั่นคือเรื่องที่โหดร้ายกว่าสองคนนั้นตายหลายหมื่นเท่า ชีวิตเขาไร้ซึ่งทุกอย่าง วันนี้เป็นวันประชุมที่เหนื่อยมากจริง ๆ สุดท้ายก็คว้าจักรยานคันโปรดของแม่ไปที่สะพานเพื่อจบชีวิตตัวเอง และก็ได้เจอจิวที่นั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้ รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่มีพิษมีภัย ทั้งยังทำอาหารเป็น ดูแลต้นไม้เป็น ชายวัยสามสิบห้าจึงถอยจากปรโลกลองมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักครั้ง มีชีวิตอยู่โดยมีสมาชิกใหม่คนนี้อยู่ข้าง ๆ “ได้แล้วครับ” ก๋วยเตี๋ยวสองถ้วยถูกนำมาวางลงตรงหน้าเรียกสติคนเหม่อลอยทั้งสองให้กลับมาสนใจอาหารได้ในทันที กลิ่นหอม ๆ ช่างกระตุ้นความหิวได้ดีจริง ๆ สองบุรุษต่างวัยเลิกเหม่อลอยง่วนอยู่กับการปรุงก๋วยเตี๋ยวถ้วยของตัวเองจนมือแทบพันกันอย่างน่าขบขัน จิวปรุงเสร็จก่อนเพราะเติมไม่เยอะ ส่วนพี่ภาสกำลังเด็ดผักสดใส่เพิ่มลงไป มือบางจึงจับช้อนตักน้ำลองชิมดู “อร่อยไหม” “อร่อยครับ” ร่างบางยิ้มกว้าง ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาจิวอ่านหนังสือหนักเพื่อสอบปลายภาค อาทิตย์นี้ทำตัวสบายได้แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมา เขากินอะไรก็ไม่อร่อยทั้งนั้น วันนี้ก๋วยเตี๋ยวอร่อยมากจริง ๆ “อะ พี่ให้” เนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่ในถ้วย ร่างบางหันมองพี่ภาสด้วยความงุนงง “กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ” “ขอบคุณครับ จิวให้พี่คืนบ้าง” จิวทำบ้าง ทว่าสิ่งที่ตักกลับไม่ใช่เนื้อหรือลูกชิ้น ภาณุมองของตอบแทนบนถ้วยตัวเองด้วยความขบขัน “กระเทียมเจียวกับหอมเนี่ยนะที่ให้พี่” “คิกคิก” ตาคมมองรอยยิ้มนั้นก็อดยิ้มตามไม่ได้ เป็นอย่างที่คิดว่าปกติเด็กคนนี้เป็นคนร่าเริง ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ ผสมกระเทียมเจียวกับหอมในถ้วยอย่างเต็มใจ จดจำเอาไว้ว่าคนน้องไม่ชอบกินจะได้ไม่เผลอสั่งมาอีก ไม่นานพวกเราก็ลงมือกินอาหารมื้อแรกหลังจากเกิดใหม่ทิพย์ด้วยความเอร็ดอร่อย “ขอสั่งอีกถ้วยได้ไหม” ร่างสูงเอ่ยพลางยิ้มแหย ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีถ้วยของเขาก็เหลือเพียงน้ำ วันนี้ประชุมทั้งวันทำให้อารมณ์เขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าวปลาก็พลอยไม่ถูกปากไปด้วย แน่นอนว่าจิวไม่ว่าอะไร เพราะตอนนี้น้องยังกินไม่ถึงครึ่งถ้วยด้วยซ้ำ เขาจึงสั่งแบบธรรมดามาอีกหนึ่งถ้วย จิวกินช้า ปกติถูกบ่นตลอดเพราะเสียเวลา ตอนนี้กลับกินไปพร้อม ๆ กับคนตรงหน้าได้เพราะอีกฝ่ายสั่งเพิ่มเป็นถ้วยที่สอง คงจะหิวมากจริง ๆ ในที่สุดถ้วยของเขาก็หมด ร่างบางจึงลุกเดินไปหยิบน้ำอัดลมมาอีกหนึ่งขวดเปิดเทให้คนพี่ก่อนค่อยเทให้ตัวเอง “จิวไปเรียนเอารถไปใช้ได้เลยนะ” “จิวสอบอีกแค่สามสี่ตัวก็ปิดเทอมแล้วครับ เทอมหน้าฝึกงานแล้ว” เขาไม่อยากรบกวนเพราะไม่รู้ว่าพี่ภาสมีรถกี่คัน ถ้ามีคันเดียวเขานั่งแท็กซี่ไปมหาลัยได้ไม่ลำบาก “งั้นช่วงสอบพี่ไปส่ง ช่วงไปฝึกงานค่อยคุยกันอีกรอบก็ได้” “ครับ” “แล้วเราทะเลาะกับครอบครัวเหรอ พี่กลัวเขาจะแจ้งความคนหาย” ภาสกรตัดสินใจเอ่ยถาม กลัวว่าครอบครัวจะแจ้งความคนหายเขาจะได้ติดต่อไปบอกพวกเขาก่อน “ไม่หรอกครับ พวกเรามารู้ความจริงว่าจิวไม่ใช่ลูกเมื่อเช้านี้ ลูกตัวจริงเขามาหาเมื่อสี่วันก่อน พ่อแม่จิวสลับเอาจิวมาให้พวกเขาเลี้ยง พ่อแม่ก็คงโมโหเลยไล่จิวออกมาหลังเห็นผลตรวจดีเอ็นเอ แต่ผู้ชายคนนั้นน่าสงสารจริง ๆ จิวก็เลยไม่รู้จะทำยังไง รู้สึกแย่ยังไงไม่รู้ที่ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีจิวมีความสุขขณะที่เขาถูกพ่อแม่ตัวจริงของจิวทำแย่ ๆ ใส่” จิวตัดสินใจเล่าออกมาให้คนตรงหน้าฟัง ตอนนี้ไม่เศร้าเหมือนช่วงเย็นแล้วเพราะเขาร้องไห้มาทั้งวัน ภาสกรได้ยินเรื่องราวจากน้ำเสียงสั่น ๆ ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าเรื่องของจิวจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดแค่ว่าจิวอาจจะทะเลาะกับครอบครัวหรือมีเรื่องบางอย่าง เรื่องการพบว่าตัวเองไม่ใช่ลูกและถูกไล่ออกมาดูจะเหนือความคาดหมายและน่าเห็นใจมาก ๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงไปยืนอยู่ตรงนั้น “ไม่ใช่ความผิดของเราหรอก อย่าโทษตัวเอง เลยที่มีความสุข หลังจากนี้ก็อยู่ด้วยกันกับพี่ไปเรื่อย ๆ นี่แหละ” “อื้อ” ร่างบางพยักหน้าหงึกหงักจับแก้วน้ำมาดื่มต่อ อีกคนก็ก้มลงกินต่อเช่นกัน เสียงพูดคุยขาดห้วงไปแล้วแต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลย ระหว่างนั้นจิวก็หันมองนั่นมองนี่คั่นเวลาโดยไม่ได้เปิดมือถือเล่น “หนูลูก ยายให้ฟรี ยายทำเอง กินรอพี่เขา” ตอนนี้ลูกค้าเริ่มกลับกันแล้วจึงเหลืออยู่ไม่กี่โต๊ะ ไม่คิดว่าเจ้าของร้านจะนำขนมมาแจกจ่ายทุกโต๊ะอย่างใจกว้าง ไม่ใช่ขนมสิ มันคือแคปหมูที่กินกับส้มตำ จิวเลิ่กลั่กมองพี่ภาสก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าให้รับเขาจึงรับมาแกะ ไม่ลืมยกมือไหว้ขอบคุณหญิงชราด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณครับคุณยาย” “มาพี่แกะให้” เห็นจิวแกะอยู่นานมือหนาจึงรับมาแกะให้เอง จากนั้นก็คืนให้น้องนั่งกินรอเขา ดูเหมือนจิวจะไม่ค่อยได้กิน เคี้ยวกุบกุบตาพริ้มเชียว “อร่อยจัง ไม่เค็มเลย พี่ภาสลองชิมดูครับ” แคปหมูชิ้นหนึ่งยื่นให้คนพี่ อีกฝ่ายรับไปกินดู ไม่นานก็พยักหน้าเห็นด้วย อร่อยไม่เค็มมากไปจริง ๆ “อืม อร่อยจริง ๆ” กลายเป็นว่าจิวกินไปก็ยื่นให้คนพี่กินไปด้วย คุณยายคนเดิมจึงเดินมาบอกให้ลองแช่ในก๋วยเตี๋ยวดู พอลองก็อร่อยไปอีกแบบ คนน้องจึงวิ่งไปซื้อมาอีกสี่ห่อ กินอยู่ที่นี่สองห่อ กินระหว่างกลับบ้านอีกสองห่อ เป็นการตลาดแบบไม่ตั้งใจที่ได้ผลจริง ๆ ร้านนี้คงกลายเป็นร้านประจำของพวกเรานับตั้งแต่นี้ ครั้งหน้าจิวจะลองเอาแคปหมูใส่ในก๋วยเตี๋ยวดูบ้าง คิดไปก็เดินตามคนพี่ไปที่จักรยาน แกะเตรียมเอาไว้ทั้งสองห่อเสร็จก็คล่อมนั่งเบาะด้านหลัง ไม่นานล้อก็เคลื่อนตัวพาพวกเรากลับบ้านหลังจากท้องอิ่ม โดยมีเสียงกินแคปหมูดังไปตลอดทาง มีคำผิดแจ้งได้นะคะ แต่ไรท์ไม่เคยกินแคปหมูใส่ในก๋วยเตี๋ยวเลยค่ะ มีแต่คนบอกว่ามันอร่อยยังไม่เคยลองเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD