ตอนที่ 3
เอมอรได้ลาออกจากที่ทำงานโรงแรมเดิม มาทำงานเป็นพีอาร์โรงแรมใหม่ใกล้ที่บ้านและเป็นโรงแรมเดียวกับที่แม่ของเธอทำงานเป็นหัวหน้าแม่บ้านอยู่
ที่นี่แผนกประชาสัมพันธ์จะต้องทำงานดูแลแขกของโรงแรมที่เป็นระดับวีไอพี ซึ่งมีรายละเอียดของเนื้องานที่แตกต่างกับที่ทำงานเดิมของเธอ แต่ที่เอมอรเลือกมาทำงานที่นี่เพราะได้เงินเดือนที่มากกว่าเกือบสองเท่าตัว เพราะที่นี่เป็นโรงแรมที่มีบาร์และกาสิโนอยู่ด้วยและเป็นของกลุ่มทุนจีนสีเทา
ที่เอมอรต้องมาทำงานที่นี่ ส่วนหนึ่งก็มาจากคำแนะนำของนันทินีแม่ของเธอ ที่อยากให้ลูกสาวได้มีเงินเดือนเยอะๆ เพื่อมาช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ที่แม่ของเธอที่เป็นคนก่อทั้งนั้น ซึ่งเอมอรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย หนี้ของเอมอรมีเพียงอย่างเดียวคือเธอต้องผ่อนรถ
หน้าที่ของเธอจะต้องคอยแนะนำแขกระดับวีไอพีที่มาพัก และจัดกิจกรรมนันทนาการให้กับแขกวีไอพี ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เธอหนักใจมาก เพราะไม่ค่อยถนัดด้านนี้สักเท่าไหร่ บางครั้งก็ถูกแขกที่เป็นนักพนันลวนลามไปบ้าง แต่ก็มีผู้จัดการคอยช่วยเหลือและแนะนำวิธีการเอาตัวรอดให้กับพีอาร์สาว ที่นี่เอมอรได้รู้จักกับผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เขามีชื่อว่าคุณชัชวาล เขาได้แนะนำหน้าที่หลักและคอยสอนงานให้กับเอมอรเป็นอย่างดี จนทั้งคู่เริ่มสนิทกัน
“วันนี้ทำไมมายืนรอแท็กซี่ล่ะเอม..รถเสียเหรอ?” ผู้จัดการหนุ่มเห็นเธอออกมายืนโบกรถแท็กซี่จึงจอดรถเอ่ยถามขึ้น
“วันนี้แม่เอมจะเอารถไปทำธุระค่ะ เอมเลยจะกลับก่อน” แม่ของเอมอรนั้นชอบไปเล่นการพนัน จะเข้าบ่อนโดยนัดกลุ่มกับเพื่อน ๆ แต่ว่าเอมอรจะบอกกับสามีว่าแม่ของเธอทำโอทีที่โรงแรมเสมอ เพราะหลัง ๆ มานี้แม่ยืมเงินที่สามีให้เธอเก็บไว้ไปจนเกือบหมด เอมอรไม่กล้าบอกณัฐกิตติ์เพราะหวังว่าวันหนึ่งแม่จะหาเงินมาคืนเธอได้ ทั้งคู่ตั้งเป้าหมายกันไว้ว่าจะมีลูกด้วยกันภายในปีหน้า ณัฐกิตติ์ก็เลยพยายามเอาเงินเดือนทั้งหมดในแต่ละเดือนหักค่าใช้จ่ายออก แล้วให้ภรรยาเป็นคนเก็บไว้
“เอม..คุณติดรถผมกลับบ้านดีกว่าครับ บ้านคุณก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว”
“เอ่อ!..คุณชัชไม่มีธุระไปไหนเหรอคะ?”
“ไม่มีแล้วครับ ผมจะกลับบ้านเลย
“อ่อ ค่ะ ๆ
“ขึ้นมาเลยครับ” เขาทำท่าจะลงจากรถ เมื่อเห็นว่าพีอาร์สาวทำท่าลังเล เอมอรเห็นว่าคงไม่ลำบากเขามากนัก เธอจึงรีบเปิดประตูก้าวขึ้นรถเอง แล้วไปนั่งหน้าคู่กับผู้จัดการหนุ่ม ทั้งคู่สนทนากันระหว่างเดินทาง
“เออ..ปกติคุณเอมชอบทำอาหารเย็นทานมั้ยครับ”
“ก็ทำทานนะคะ แต่ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ทำค่ะ”
“เหมือนผมเลยครับ ถ้างั้นเราแวะทานอาหารเย็นก่อนกลับดีมั้ยครับ”
“ก็ได้นะคะ ถ้าคุณชัชไม่รีบ” ด้วยความเกรงใจเธอก็ต้องไปนั่งทานข้าวกับผู้จัดการสองต่อสอง แถมยังเป็นห้องวีไอพีมืด ๆ ไฟสลัว ๆ ที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนร้านอาหารเลย ดีว่าวันนี้สามีเธอไม่กลับบ้านเสียก่อน ไม่งั้นถ้ากลับไปเขาต้องพาออกมาทานข้าวอีกรอบเป็นแน่ เพราะปกติแล้ว ถ้าสามีเธอจะกลับบ้านเขาจะต้องโทรบอกเธอก่อนล่วงหน้าเสมอ เอมอรก็จะไปรอเขาที่บ้านแล้วออกไปทานอาหารเย็นด้วยกันทุกครั้ง เพราะนาน ๆ ณัชกิตติ์จะได้กลับมาบ้านสักที ตั้งแต่เขาต้องรับผิดชอบพื้นที่เพิ่มขึ้นทั้งภาคเหนือและภาคกลางทำให้สามีเธอไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน
“การที่เราจะทานสเต๊กให้อร่อยยิ่งขึ้น ต้องทานคู่กับไวน์นะครับ คุณเอม” เขายื่นมือให้เด็กเสิร์ฟวางแก้วไวน์ตรงหน้าหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ คุณชัช มาร้านนี้ประจำหรือเปล่าคะ”
“ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ครับ นาน ๆ ที นั่งทานคนเดียวมันน่าเบื่อครับ”
“แบบนี้คนที่บ้านไม่รอแย่เหรอคะ”
“ผมโสดครับ พักอยู่คอนโดคนเดียว ส่วนคุณพ่อคุณแม่มีบ้านอยู่ที่หางดงครับ”
“ทำงานต่างอำเภอ ได้กลับบ้านบ่อยมั้ยคะ”
“ก็เดือนละครั้งครับ”
“คล้าย ๆ กับสามีเอมเลยค่ะ เดือนหนึ่งจะได้กลับไม่เกินสองครั้ง หรือถ้าบางเดือนงานยุ่งก็ได้กลับแค่ครั้งเดียว”
“อ๋อ..แล้วสามีคุณเอมทำงานอะไรล่ะครับ”
“ก็ติดตั้งระบบเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ค่ะ ไปทั่วภาคเหนือ แต่ตอนนี้ต้องรับผิดชอบเพิ่มในส่วนของภาคเหนือตอนล่าง งานก็เลยเยอะขึ้นค่ะ”
“อย่างว่าแหละครับ งานเยอะ เงินก็ต้องเยอะตาม”
“ค่ะ”
“คุณกับสามีแต่งงานกันนานหรือยังครับ”
“ได้สามปีกว่าแล้วค่ะ”
“มีลูกชายหรือลูกสาวครับ”
“ยังไม่มีเลยสักคนค่ะ วางแพลนกันไว้ว่าปีหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะมีเวลาเลี้ยงกันหรือเปล่า ทั้งบ้านไม่มีใครว่างเลยสักคน”
“แบบนี้ต้องให้คุณแม่ลาออกมาช่วยเลี้ยงหลานแล้วครับ”
“คงจะยากแล้วค่ะ..รายนั้นยิ่งบ้างานอยู่ด้วย” เธอจะพูดว่าแม่ติดการพนันก็ไม่ได้
“ก็จริงนะครับ แม่คุณเอม ยังดูไม่เหมือนจะเป็นคุณยายเลย” ทั้งสองนั่งทานข้าวกันไปคุยกันไป เวลาก็ล่วงเลยเกือบสามทุ่ม เอมอรกลัวว่าสามีจะวิดีโอคลอมาหา จึงรีบบอกผู้จัดการหนุ่มว่าเธอต้องรีบกลับบ้านแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขากำลังจะชวนเธอไปที่อื่นต่อ หญิงสาวเห็นว่าจะเป็นการไม่เหมาะสม ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นสุภาพบุรุษแค่ไหน