บทที่ ๓ พานพบสหาย(๓)

1233 Words
“ไม่เลยสักนิด” ได้ยินคำตอบแล้วก็ทำจมูกย่น คิ้วเล็กผูกเป็นปม “แล้วเหตุใดพักนี้ท่านอาซือจิ้นถึงได้บ่นว่าอุ้มเม่ยเอ๋อไม่ไหวล่ะเจ้าคะ” ซือจิ้นที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พูดไม่ได้หัวเราะไม่ออก เพราะสาเหตุที่เขาไม่อาจอุ้มองค์หญิงน้อยได้นั่นเป็นเพราะพระบิดาขององค์หญิงน้อยไม่ปรารถนาให้เขาอุ้มองค์หญิงน้อยต่างหาก ทุกวันนี้เหล่าองครักษ์เงาที่รายล้อมยอดเขาเมฆาล้วนรู้ดีว่า องค์ฮ่องเต้นั้นทรงหวงพระธิดามากแค่ไหน แต่ถึงแม้อยากจะโอดครวญก็ไม่อาจพูดออกมาได้สักครึ่งคำ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งองค์หญิงจะเข้าใจความลำบากขององครักษ์อย่างพวกเขาบ้าง ทว่าแม้ตอนนี้องค์หญิงเฟยจิ่นเม่ยจะไม่เข้าใจความทุกข์ยากของซือจิ้นและองครักษ์เงาคนอื่นๆ เท่าใดนัก แต่หลิ่งเซียวฉินกับ ลู่เพ่ยล้วนเข้าใจพวกเขาอย่างดี เพราะตอนนี้ทั้งสองคนลอบยิ้มบางๆ ให้กัน เจิ้งซวีจูอยู่ในร่างของมู่ซูเจินมาหลายเดือนแล้ว สิ่งที่ต้องเรียนรู้นางก็ทำได้เป็นอย่างดี ร่างกายนี้ก็คล้ายจะฟื้นคืนพลังชีวิตกลับสู่ปกติ ไม่สิต้องบอกว่านางค่อนข้างจะคล่องแคล่วว่องไวเกินสตรีในห้องหับด้วยซ้ำ ปลายนิ้วเรียวตวัดไปมาแล้วหรี่มองอย่างครุ่นคิด หางตานั้นเหลือบมองเสี่ยวเหยาอย่างนึกสงสัย “ทำไมข้ารู้สึกว่าระยะนี้ปราดเปรียวแปลกๆ” “หมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “ก็...ข้ามองอะไรสายตาก็ว่องไวชัดเจนไปหมด หรือว่าข้ามีวรยุทธ์กัน” นางก็แค่ถามออกมาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเสี่ยวเหยาจะมีท่าทางตื่นเต้นจนพุ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น “อะไร เสี่ยวเหยาเจ้าเป็นอะไรฮึ” “คุณหนู...คุณหนูมีวรยุทธ์จริงๆ เจ้าค่ะ” “อะไรนะ” “คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ตั้งแต่คุณหนูอายุได้สี่ห้าขวบ ใต้เท้ากับคุณชายใหญ่ลอบสอนวรยุทธ์ให้คุณหนู แต่เพราะคุณหนูเป็นสตรีจึงถ่ายทอดกำลังภายในให้เพียงเล็กน้อย เพื่อใช้อาวุธลับเท่านั้น คุณหนูใช้เข็มเงินได้คล่องเชียวเจ้าค่ะ ถ้าหากคุณหนูไม่ล้มป่วยเสียก่อน ทวน ดาบ กระบี่ ใต้เท้ากับคุณชายใหญ่ต้องสอนคุณหนูเรียนรู้จนคล่องแคล่วแน่ๆ” “ข้าใช้อาวุธลับเป็นด้วยหรือ” “เจ้าค่ะ แต่ว่ากำลังภายในของคุณหนูไม่มีมากนัก จึงใช้ได้ในระยะใกล้ไม่เกินสองจั้งเท่านั้น บ่าวว่าถ้าคุณหนูอยากเก่งยิ่งกว่านี้ ลองขอให้คุณชายใหญ่สอนให้อีกสิเจ้าคะ” “อืม...ก็ดีนะ” ความจริงนางไม่ได้สนใจอยากจะเรียน วรยุทธ์อะไรเพิ่มเติมสักนิด ก็แค่สงสัยว่าเหตุใดท่านพ่อกับพี่ชายใหญ่ถึงตั้งใจสอนการใช้อาวุธลับให้กับนางมากกว่า หรือว่าแท้จริงนั้นการป่วยของนางจะไม่ใช่เรื่องที่สมควรเกิดขึ้นจริงๆ มีคนคิดทำร้ายนางใช่หรือไม่ แต่จะเป็นผู้ใดกันในเมื่อภายในจวนแห่งนี้ก็ล้วนมีแต่ผู้คนสนิทชิดเชื้อกับนางทั้งสิ้น คิดแล้วมุมปากพลันยกหยันเล็กน้อย ตอนที่นางเป็น เจิ้งซวีจูก็มีคนอยากให้ตายทั้งตระกูล พอมาอยู่ในร่างมู่ซูเจินก็ยังมีคนต้องการให้ตายอีกเช่นนั้นหรือ เห็นทีไม่ว่าจะอยู่ร่างไหนก็หนีพ้นความตายได้ยากเสียแล้ว “เรื่องที่ข้าใช้อาวุธลับเป็นมีใครรู้หรือไม่” “นอกจากใต้เท้า คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่รวมถึงบ่าวแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีกเจ้าค่ะ” “ทำไมคนอื่นถึงไม่รู้ล่ะ” “เวลาคุณหนูเรียนวรยุทธ์ ใต้เท้าจะสั่งปิดเรือน บอกทุกคนว่าคุณหนูล้มป่วยห้ามใครรบกวน ความจริงถ้าหากบ่าวไม่มีหน้าที่ดูแลรับใช้คุณหนูอย่างใกล้ชิดก็คงไม่มีโอกาสรู้หรอกเจ้าค่ะ แต่ถึงกระนั้นบ่าวก็ให้คำสาบานต่อหน้าใต้เท้ากับฮูหยินว่าบ่าวจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ปริปากบอกผู้อื่นเด็ดขาด” “แม้แต่พี่ชายรองก็ไม่รู้หรือ” คิ้วเล็กๆ ได้แต่ม่นเข้าหากัน สายตาของพี่ชายรองเฉียบขาดถึงเพียงนั้น มองไม่ออกก็เป็นเรื่องตลกแล้ว แต่ความจริงไม่ว่าพี่ชายรองจะรู้หรือไม่ ขอเพียงไม่พูดออกมาก็นับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว พอนึกถึงพี่ชายรองไม่รู้ว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขึ้นมา จึงได้แต่โบกมือพัดใบหน้าไม่หยุด จนเสี่ยวเหยาร้องถาม “คุณหนู ร้อนหรือเจ้าคะ” “อืม...อากาศร้อนอบอ้าวนิดหน่อย เจ้าเปิดหน้าต่างสักบานเถิด” “แต่ด้านนอก...” บ่าวรับใช้ได้แต่หันไปม องด้านนอกที่หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างนึกฉงน อากาศเย็นถึงเพียงนั้นเหตุใดคุณหนูของนางถึงร้อนได้เล่า มิใช่ว่าร่างกายนี้เจ็บป่วยขึ้นมาอีกกระมัง เห็นสายตาของเสี่ยวเหยาแล้ว มู่ซูเจินก็ได้แต่แสร้งลืมไปว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเองเอ่ยอะไรออกมา ดวงตากลมโตเอาแต่มองไปด้านนอก พลางครุ่นคิดว่าในเมื่อร่างกายนี้มีวรยุทธ์ติดตัวเห็นทีคงต้องใช้ให้ดีสักหน่อยแล้ว อย่างน้อยๆ วันข้างหน้านางคงพอเอาตัวรอดจากคมหอกคมดาบของผู้อื่นได้บ้างกระมัง คงไม่ต้องจบชีวิตลงเฉกเช่นวิญญาณในร่างนี้ พอนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองคือเจิ้งซวีจูแล้วน้ำตาอุ่นร้อนพลันไหลอาบแก้มลงมา ภาพรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอบอุ่นในครอบครัวถูกแทนที่ด้วยเลือดสีแดงฉาน ไหลอาบจวนสกุลเจิ้งจนมองไม่เห็นความงดงามใดๆ อีก สิ่งที่หลงเหลือในคราวนั้นคงเป็นเพียงเถ้าถ่านเท่านั้นกระมัง เห็นคุณหนูสามสีหน้าหมองหม่น เสี่ยวเหยาก็ได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ระยะนี้แม้สุขภาพร่างกายของคุณหนูจะดีกว่ากาลก่อนมากนัก ทว่าบางครั้งคุณหนูของนางก็เป็นเช่นนี้ เหมือนมีเมฆหมอกที่มองไม่เห็นลอยวน บางครั้งก็แจ่มใสบางครั้งกลับหมองหม่นเสียจนคนใกล้ชิดอย่างนางก็ยังสัมผัสจับต้องไม่ได้ เมื่อคุณหนูนิ่งเงียบเช่นนั้น เสี่ยวเหยาก็ได้แต่ถอยกลับไปทำงานของตนเอง มีบางครั้งลอบมองคุณหนูอยู่บ้าง เห็นผละจากหน้าต่างไปอ่านหนังสือบนตั่งตัวยาวถึงได้เบาใจขึ้น จนกระทั่งสายตาของคุณหนูมองมา เสี่ยวเหยาถึงได้วางมือจากงานในมือคลานเข่าเข้ามาหา พร้อมกับรินน้ำชาอุ่นร้อนถ้วยใหม่ให้ “คุณหนู กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ” “เจ้าบอกว่า ท่านพ่อกับพี่ชายใหญ่สอนวรยุทธ์ข้าที่เรือนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นห้องไหน” “เรือนปีกตะวันตกเจ้าค่ะ ในนั้นมีห้องใหญ่มิดชิด แล้วก็มีลานกว้าง ปลูกดอกไม้ไว้มากมายนักเจ้าค่ะ” “พาข้าไปดูหน่อยเร็วเข้า” “ตอนนี้หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเหยาแอบมองไปด้านนอก “ใกล้ค่ำแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปดีหรือไม่ บ่าวจะรีบไปทำความสะอาดก่อน คุณหนูไม่รู้อะไร หลังจากคุณหนูป่วย ฮูหยินก็สั่งปิดเรือนหลังนั้น ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเลยเจ้าค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD