บทที่ ๓ พานพบสหาย(๒)

1262 Words
“ควบม้าไปอีกสักครึ่งเดือน เราก็จะเดินทางถึงยอดเขาเมฆาใช่หรือไม่” ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งเดือน นอกจากเส้นทางลับที่รู้กันไม่กี่คนแล้วคงไม่มีเส้นทางอื่นอีก ดังนั้นคิ้วคมเข้มดุจกระบี่ของ มู่หยางจึงขมวดเข้าหากันแทบทันที และอีกหนึ่งปฏิกิริยาที่ตามมาก็คือการทอดถอนใจแรงๆ แถมยังอดคิดไม่ได้ว่า สตรีที่องค์รัชทายาทคิดถึงช่างมีมากมายเหลือเกิน ทว่าน่าเสียดายก็ตรงที่สตรีผู้อยู่บนยอดเขาเมฆาผู้นั้นมีเจ้าของแล้ว และตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฟยเทียนกำลังเตรียมการสละราชสมบัติอย่างลับๆ อีกด้วย ถ้าหากการเดินทางไปในคราวนี้เกิดเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเข้าเรื่องจะไม่วุ่นวายไปหรือ “เจ้าวางใจเถิด ข้าแค่จะไปดูพวกนางอยู่ไกลๆ เท่านั้น อีกอย่างเฟยหลิงผู้นั้นคงยังไม่ออกจากวังในเร็วๆ นี้หรอก” มีเสียงเหอะดังอยู่ในใจมู่หยาง ผู้ที่กล้าเรียกนามของฮ่องเต้แห่งแคว้นเฟยเทียนออกมาตรงๆ นอกจากองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ของเขาแล้วก็หามีผู้อื่นหาญกล้าไม่ “เจ้าว่า เราควรจะซื้ออะไรไปฝากเม่ยเอ๋อดี” ไหนบอกจะไปมองอยู่ไกลๆ เหตุใดจึงตรัสถึงของฝากเด็กขึ้นมาได้ นอกจากลอบถอนหายใจซ้ำอีกหน องครักษ์หนุ่มก็ไม่อาจทำอย่างอื่นได้เลย แม้มู่หยางจะเก็บงำความรู้สึกนึกคิดเอาไว้แค่ไหน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายพระเนตรขององค์รัชทายาทไปได้อยู่ดี ดังนั้นหลังจิบชาจนพอใจแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือเดินเลือกซื้อของเล่นสำหรับเด็กน้อยในวัยไม่กี่ขวบปีติดไม้ติดมือ ส่วนคนถือของและเดือดร้อนต้องควักเงินนั้นนอกจากมู่หยางแล้วก็เป็นผู้อื่นไม่ได้อีก เพียงครึ่งวัน ของเล่นเด็กทั้งตุ๊กตาผ้า ทั้งของแกะสลักจากไม้ รองเท้า อาภรณ์เด็กหญิงต่างถูกบรรจุเต็มห่อผ้า วันรุ่งขึ้นสองบุรุษหนุ่มก็ควบม้าออกจากซูโจวมุ่งไปยังดินแดนที่ติดกับแคว้นเฟยเทียนด้วยความเร่งร้อน ตลอดเส้นทางนั้นคับแคบ เต็มไปด้วยอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับองค์รัชทายาทกับองครักษ์คนสนิทผู้คุ้นชินเส้นทางกลับง่ายดายนัก ใช้เวลาควบม้าเพียงครึ่งเดือนไม่ขาดไม่เกิน บุรุษมากความสามารถทั้งสองก็มาถึงตีนเขาเมฆาแล้ว เพียงมองไปยังยอดเขาที่มีก้อนเมฆสีขาวลอยพาดผ่านเช่นนั้นก็ทำเอาสีหน้ากับแววตาขององค์รัชทายาทดีขึ้นทันที ดูเหมือนความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนแบบไม่หยุดพักจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เดินทางต่อเถิด” ได้ยินรับสั่งเช่นนั้น มู่หยางก็ลอบส่ายหน้าแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นองครักษ์หนุ่มเองก็ไม่อาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้ เพราะสตรีผู้ที่อยู่บนยอดเขาผู้นั้นตัวเขาเองก็เคารพยกย่องชื่นชมนางเช่นกัน ทั่วทั้งแผ่นดินนี้จะหาสตรีที่ละทิ้งการเป็นฮองเฮาแห่งแว่นแคว้นได้อย่างไม่ลังเล นอกจากแม่นางลู่คงไม่มีผู้อื่นเป็นแน่ เสียงเท้าม้ากุบกับกระทบหินพุ่งขึ้นมาจากเชิงเขาทำเอาองครักษ์เงาที่รายล้อมอยู่รอบๆ ล้วนพากันตื่นตัว แต่ละคนไม่เก็บงำประกายสังหารเลยสักนิดเดียว ทว่าเพียงแค่คิดลงมือพวกเขากลับต้องชะงักกับกำลังภายในของอีกฝ่ายที่ตอบโต้ออกมา แม้จะควบอยู่บนหลังม้าก็หาได้มีฝีมืออ่อนด้อยลงไปไม่ และเพียงได้สัญญาณจากหัวหน้าองครักษ์อย่างซือจิ้น ทุกคนพลันหยุดมือแล้วแฝงตัวไปตามกิ่งไม้ ทำราวกับไร้ชีวิตก็ไม่ปาน นอกจากปล่อยให้สองบุรุษผู้เยี่ยมยุทธ์ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วก็ทำสิ่งอื่นใดอีก ซือจิ้นเป็นผู้มาต้อนรับคนทั้งคู่ด้วยท่าทางนอบน้อมยิ่ง “บ่าวซือจิ้นคารวะองค์รัชทายาท องครักษ์มู่” หลิ่งเซียวฉินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ดวงตาคมกริบเอาแต่กวาดมองไปรอบๆ “เม่ยเอ๋อเล่า นางอยู่ที่ใด” “คุณหนูกับฮูหยินอยู่ในแปลงสมุนไพรกับท่านผู้เฒ่า เซินโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ” พอเห็นองค์รัชทายาทขยับฝีเท้าตั้งแต่ได้ยินคำว่าแปลงสมุนไพร มู่หยางก็ลอบส่ายหน้าเล็กน้อย ที่บอกว่ามาแอบดูเฉยๆ เห็นทีจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ตอนนี้นอกจากทักทายสหายอย่างซือจิ้น ตัวเขาเองก็ต้องเร่งฝีเท้าตามเจ้าชีวิตไปเช่นกัน ระหว่างทางนั้นก็ไม่พลาดที่จะถามข่าวคราวความเป็นอยู่ของผู้คนในยอดเขาเมฆาด้วยความใส่ใจ จนกระทั่งเห็นองค์รัชทายาทยืนนิ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแปลงสมุนไพรนั่นแหละถึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆ “เหตุใดพระองค์ถึงหยุดฝีเท้าล่ะพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อตอนนี้องค์หญิงน้อยกับฮองเฮาก็อยู่ตรงหน้านี้เอง” แม้ทั้งเฟยจิ่นเม่ยและลู่เพ่ยจะไม่ยอมอยู่ในวังรับตำแหน่งฐานะองค์หญิงหรือฮองเฮา แต่สำหรับมู่หยางแล้วทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ในฐานะนี้เสมอ ริมฝีปากได้รูปของหลิ่งเซียวฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย เพราะการได้เห็นพวกนางทั้งสองใกล้ๆ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ตอนนี้แม่นางลู่ยิ้มแย้มมากกว่ากาลก่อน แม้นางจะนั่งถอนหญ้าอยู่ในแปลงสมุนไพรแต่ก็ไม่อาจเก็บงำความสุขเอาไว้ได้ โดยเฉพาะข้างกายของนางมีเด็กน้อยวัยห้าขวบกว่าๆ คอยยิ้มแย้มพูดคุยอยู่ข้างๆ หลังจากมองอยู่สักพักก็ตรัสสั่ง “นำของที่ซื้อมามอบให้ซือจิ้น พวกเราก็เดินทางกลับกันเถิด” ทว่ายังไม่ทันได้หมุนตัวจากไป สตรีผู้นั่งถอนหญ้าอยู่ในแปลงสมุนไพรกลับจับจูงบุตรสาวตัวน้อยเดินตรงมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงมายืนตรงหน้านางก็ยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย “ลู่ซื่อคารวะองค์รัชทายาท” “แม่นางลู่ให้เกียรติจนเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคุณชายเซียวเท่านั้น” หลิ่งเซียวฉินยื่นมือออกไปหวังจะประคองสตรีตรงหน้าไม่ให้ทำความเคารพตนเอง แต่สุดท้ายก็รั้งมือกลับไปไพล่หลังไว้ ปากเอ่ยต่อ “เจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจนักเลย” “ขออภัยเจ้าค่ะ” ลู่เพ่ยยังคงแย้มยิ้มให้ ก่อนจะโน้มตัวลงมาเอ่ยกับบุตรสาวที่ทำตาแป๋วมองอยู่ด้านข้าง “เม่ยเอ๋อ คารวะท่านอาสิลูก” เฟยจิ่นเม่ยตัวน้อยยอบกายลง ท่าทางดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง “จิ่นเม่ยคารวะท่านอาเจ้าค่ะ” “ท่านอาหรือ” หลิ่งเซียวฉินทวนคำแล้วหัวเราะฮ่าๆ นั่นสินะ เขาอายุน้อยกว่าองค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นเฟยเทียน แถมยังเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักกันอีก ได้เป็นท่านอาขององค์หญิงน้อย เฟยจิ่นเม่ยก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่โน้มตัวลง “ไหนให้ท่านอาอุ้มหน่อยสิ ท่านอาอยากรู้ว่าเม่ยเอ๋อโตขนาดไหนแล้ว” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วฉีกยิ้มตาหยีโค้งแทบจะทันที พอตัวลอยขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของท่านอาก็ยิ้มถาม “เม่ยเอ๋อตัวหนักหรือไม่ ท่านอาเมื่อยแขนหรือไม่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD