บทที่ ๓ พานพบสหาย(๔)

1713 Words
“ถ้าอย่างนั้น ต้องไปขออนุญาตท่านแม่ก่อนหรือ” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ กุญแจอยู่ใต้กล่องเครื่องประดับของคุณหนู จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น” นางพยักหน้า ดูเหมือนบิดามารดาของร่างนี้จะรักเอ็นดูไม่น้อย ได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ดูท่าทางนางที่เป็นวิญญาณจากตระกูลอื่นจะได้ไม่ลำบากลำบนเท่าใดนัก ต่อไปมีแต่ต้องใช้ชีวิตให้ดีเท่านั้น รอยเกือกม้ากระทบพื้นหิมะสีขาวโพลนปรากฏเป็นร่องลึก ไล่ลงจากหุบเขาเมฆาทะยานผ่านขุนเขาสูงชันสลับซับซ้อนเป็นทางยาว ผ้าคลุมสีดำที่สวมอยู่บนร่างกายบุรุษสูงใหญ่สองคนที่นั่งบนหลังม้าสองตัวนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าทั้งคู่ขี่ม้าผ่านหิมะมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว ทว่าต่อให้การเดินทางต้องยากลำบากสักเพียงใดก็ไม่ทำให้สีหน้าของทั้งคู่ฉายแววหงุดหงิดแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงเล็กๆ ขององค์หญิงน้อยอย่างเฟยจิ่นเม่ยเรียกท่านอาเจ้าคะ ท่านอาเจ้าขาเป็นแน่ ถุงพกข้างกายขององค์รัชทายาทเต็มไปด้วยสมุนไพรก้อนกลมๆ ที่เฟยจิ่นเม่ยมอบให้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวยาด้านในจะบำรุงรักษาร่างกายหรือทำร้ายหลิ่งเซียวฉินก็ยังเก็บไว้เป็นอย่างดี ขี่ม้าได้ระยะหนึ่งทั้งคู่ก็ต้องดึงบังเ**ยนชะลอฝีเท้าม้าเอาไว้ แล้วมองเหยี่ยวสีขาวตัวใหญ่ที่บินโฉบไปมาอยู่ด้านบน เพียงมู่หยางผิวปากเรียกเหยี่ยวตัวนั้นพลันร่อนถลาลงมาเกาะไหล่ ตรงขาเล็กๆ ของมันมีแท่งเหล็กกลม ด้านในมีช่องใส่สารลับที่เหล่าองครักษ์ใช้ติดต่อสื่อสารกัน กระไอสีขาวถูกพ่นออกมาพร้อมกับเสียงทุ้มลึกของ องค์รัชทายาทดังขึ้น “มีสารด่วนอะไรหรือ” “สารจากบิดาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” มู่หยางประสานมือรายงาน กวาดสายตาเพียงครู่หนึ่งดวงตาสีหน้าพลันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม จึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าลงมาคุกเข่ากราบทูลทันที “องค์รัชทายาท น้องสาวของกระหม่อมหายจากอาการป่วยแล้ว กระหม่อมอยากทูลลาขอกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมกลับไปดูน้องสาวสักหน่อยเถิด” หลิ่งเซียวฉินมองไปรอบๆ เส้นทางเบื้องหน้ายังคงแวดล้อมด้วยหน้าผาสูงชัน เขาเองก็จากเมืองหลวงมาหลายเดือนแล้ว เห็นทีคงถึงเวลาต้องกลับเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น ก็รีบเดินทางกันเถิด ข้าเองก็อยากกลับเซียนโจว ไปถึงเมืองหลวงเมื่อไร ข้าจะให้เจ้าลาหยุดสักสามวันเป็นอย่างไร” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ในเมื่อได้รับการอนุญาตแล้ว มู่หยางได้แต่ประสานมือคำนับอีกครั้งแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า เพียงเห็นองค์รัชทายาทพยักหน้าให้สัญญาณก็รีบควบขี่ม้ามุ่งสู่เมืองหลวงของแคว้น หลิ่งซานอย่างรวดเร็ว ให้สมกับที่อยากเห็นน้องสามของตนกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง หลังจากที่หลายปีมานี้น้องสาวของเขาต้องนอนซมอยู่บนเตียง หลิ่งเซียวฉินเองก็รู้ดีว่า องครักษ์ข้างกายของตนผู้นี้รักและทะนุถนอมน้องสาวมากเพียงใด หลายปีมานี้ขอเพียงเขาเอ่ยปากอนุญาตให้กลับจวน อีกฝ่ายก็จะรีบไปเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงทันที ของขวัญของฝากมากมายที่อยู่ในถุงผ้าด้านหลัง มิใช่ว่ามีแต่สิ่งที่จะมอบให้มู่ซูเจินหรอกหรือ ใช้เวลาควบม้าอยู่สิบกว่าวัน ผ่านเมืองน้อยใหญ่หลายเมืองก็มองเห็นกำแพงวงแหวนที่รายล้อมเมืองหลวงเอาไว้ มู่หยางมองเข้าไปด้านในราวกับว่าบัดนี้ตนได้เดินทางไปถึงจวนสกุลมู่แล้ว “กระหม่อมจะคุ้มครองพระองค์ไปจนถึงตำหนัก เชิญเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หลิ่งเซียวฉินฟังแล้วยกยิ้มมุมปาก “ไปจวนสกุลมู่ก่อนเป็นอย่างไร ไหนๆ ข้าก็ไม่ได้ไปที่นั่นมาระยะหนึ่งแล้ว” “แต่พระองค์ต้องกลับตำหนักนะพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ความตั้งใจเดิมนั้น ข้าจะกลับตำหนักในอีกครึ่งเดือนต่างหาก ที่เร่งเดินทางกลับมิใช่เพราะว่าเห็นแก่เจ้าหรอกหรือ” “องค์รัชทายาท” “ตอนนี้เรียกข้าว่าคุณชายเซียวเป็นอย่างไร” มุมปากของหลิ่งเซียวฉินโค้งเสียจนองครักษ์ข้างกายได้แต่ลอบถอนใจเบาๆ แต่สุดท้ายก็รู้ดีว่าต่อให้กล่าววาจามากมายเพียงใดก็คงไม่อาจเปลี่ยนใจขององค์รัชทายาทได้ โดยเฉพาะตอนนี้พระองค์ควบม้าผ่านประตูเมืองเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าคนที่สามารถขี่ม้าในเมืองหลวงได้มีเพียงเหล่าราชวงศ์กับองครักษ์ผู้ติดตามเท่านั้น เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าม้ามุ่งตรงเข้ามา เหล่าชาวบ้านต่างหลบหลีกทางให้ บางคนคุกเข่าก้มหน้าลงอย่างรู้ดีว่าผู้อยู่บนหลังม้ามีบารมีไม่น้อย กว่าจะเงยหน้าลุกขึ้นมาได้ก็ในเวลาที่ฝุ่นผงเบาบางลง ม้าสีดำสองตัวค่อยๆ ชะลอฝีเท้าอยู่หน้าจวน เพียงทั้งคู่กระโดดลงมาบ่าวเฝ้าประตูก็รีบประสานมือคำนับแล้วจับจูงม้าไปยังโรงพักม้าในทันที เข้ามาในจวนแล้วมู่หยางก็แทบจะพุ่งไปยังเรือนเร้นจันทร์ ติดที่เบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งเดินนำอยู่เท่านั้น จึงต้องหันมาให้การต้อนรับผู้มีอำนาจเหนือตนเองเสียก่อน “พระองค์จะไปที่เรือนรับรองหรือไม่ กระหม่อมจะไปตามท่านพ่อมาต้อนรับ” ฝีเท้าของหลิ่งเซียวฉินหยุดลง สายตามองไปยังท้องฟ้า “บ่ายคล้อยแบบนี้ แน่นอนว่าใต้เท้ามู่อาจกลับมาแล้ว แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือคุณชายเซียว เหตุใดต้องรบกวนองครักษ์ข้างกายของฮ่องเต้ด้วยเล่า” “แต่พระองค์...” “ให้ข้าพักอยู่ในเรือนเจ้าก่อนเป็นอย่างไร เอาไว้ข้าอยากเป็นองค์รัชทายาทเมื่อไรค่อยแจ้งเจ้าอีกที” “องค์รัชทายาท” เสียงโอดครวญของมู่หยางดังอยู่ในลำคอเท่านั้น เพราะคนที่เขาทำเสียงตัดพ้อใส่มุ่งหน้าไปยังเรือนหนักแน่นซึ่งเป็นเรือนพำนักของเขาราวกับเป็นตำหนักย่ำรุ่งของตนก็ไม่ปาน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงเร่งฝีเท้าตามหลังองค์รัชทายาทไปเท่านั้น ดูเหมือนฝีเท้าของหลิ่งเซียวฉินจะเร่งรีบไม่น้อย เพราะบ่าวเฝ้าเรือนเห็นเพียงแผ่นหลังไวๆ พุ่งเข้าไปในเรือนเท่านั้น กำลังจะอ้าปากทักท้วงก็รับรู้ว่าเจ้านายของตนได้มาถึงแล้วจึงทำเพียงประสานมือคารวะอย่างรีบร้อน “คุณชายใหญ่” มู่หยางหยุดแล้วอดซักถามไม่ได้ “น้องสามของข้าฟื้นแล้วจริงๆ หรือ” “คุณหนูสามฟื้นขึ้นมาได้หลายเดือนแล้วขอรับ” “ดีจริง เจ้าไปเตรียมของบำรุงดีๆ ให้มากหน่อย ข้าไปอาบน้ำแล้วจะนำไปมอบให้น้องสามที่เรือน” “ขอรับคุณชายใหญ่” “แล้วท่านพ่อกับท่านแม่สบายดีใช่หรือไม่” “ใต้เท้ากับฮูหยินสบายดีขอรับ” รอยยิ้มโล่งใจประดับบนใบหน้าคมคายของมู่หยางในทันที ดังนั้นเขาจึงรีบปรนนิบัติรับใช้นายเหนือหัวอย่างเร่งรีบ แล้วเสร็จถึงได้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลาแล้วเร่งฝีเท้าออกจากเรือนพร้อมหิ้วของบำรุงอีกสามกล่องใหญ่ติดมือ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เพิ่งเข้าไปพักในห้องรับรองของเรือนพักนั้นกำลังสอดส่ายสายตาออกไปด้านนอกอย่างครุ่นคิด ถ้าหากไม่ติดว่าตนเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้น รวมถึงคุณธรรมในใจมีอยู่มากละก็ ป่านนี้คงลักลอบไปยังเรือนของคุณหนูสามผู้นั้นเพื่อดูว่านางซึ่งมีพันธะหมั้นหมายกับตนเมื่อโตขึ้นหน้าตาจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยเช่นไรแล้ว ทว่าพอนึกถึงสตรีอีกคนที่อยู่ในใจมาหลายปีก็ได้แต่ผุดรอยยิ้มขื่นขมออกมาเท่านั้น แต่สำหรับมู่หยางแล้วฝีเท้าที่มุ่งตรงไปยังเรือนเร้นจันทร์ ผ่านสวนดอกไม้ใบหญ้า พุ่มไม้น้อยใหญ่ หรือต่อให้หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาอย่างหนักเพียงใดก็ไม่อาจฉุดรั้งเอาไว้ได้ บัดนี้มองไปแล้วจึงเห็นเพียงบุรุษผู้สวมชุดสีฟ้าปักลายใบไผ่ตรงชายชุดเป็นจุดจางๆ กลางหิมะที่พร่างพรมลงมาเท่านั้น ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนข้างกายคงมีบ่าวรับใช้ติดตามสองสามคน ทว่ายามนี้เขาเป็นถึงองครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาท ไปไหนมาไหนจึงคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก บ่าวไพร่ที่ติดตามรังแต่จะกลายเป็นตัวถ่วงเสียเปล่าๆ เพียงกลิ่นหอมอ่อนจางของดอกไม้หลากหลายชนิดโชยมาต้องจมูก ฝีเท้าที่เร่งร้อนเมื่อครู่ถึงกับผ่อนลง ยืนสูดหายใจลึกอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวผ่านประตูวงพระจันทร์เข้าไป ป้ายเรือนเร้นจันทร์มีหิมะสีขาวพร่างพรมลงมาบดบังตัวอักษรอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังปรากฏเส้นสายอ่อนช้อยงดงามเฉกเช่นเดิม พอเห็นป้ายก็พลันผุดภาพของเด็กน้อยวัยเจ็ดแปดขวบที่ถลกกระโปรงวิ่งตามพี่ชายอย่างเขา “พี่ชายใหญ่ รอเจินเอ๋อด้วยเจ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าพอหายป่วยไข้แล้วน้องสามจะเป็นเช่นไรบ้าง หวังว่าคงสุขภาพแข็งแรงดี ต่อให้วิ่งตามหลังเขาไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนก็ขอแค่เดินเคียงข้างชมดอกไม้ใบหญ้าไปด้วยกัน แม้เพียงวันละครึ่งก้านธูปก็นับว่าดีนัก และความคิดที่มีทำเอารอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม เพราะมองเข้าไปแล้วเห็นว่ามีเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง แม้จะมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้รอยยิ้มที่ห่างหายไปนานกลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง และขอเพียงอีกไม่กี่ครึ่งถ้วยชาข้างหน้าเขาได้เห็นหน้าได้พูดกับน้องสามหลายสิบคำ คงทำให้รู้สึกว่าน้องสามได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งจริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD