“คารวะท่านพ่อ”
“นี่เจ้าแต่งตัวอะไรกัน” บิดาส่ายหน้าระอาใจ “ข้าให้เจ้าอยู่ในเรือนสบายๆ ก็มิใช่ว่าจะแต่งกายอย่างไรก็ได้”
“อยู่ในจวนสบายๆ” ฟู่เซียงเซียงถึงกับทวนประโยคที่ได้ยิน นางอ้าปากจะโต้เถียงแต่บิดาโบกมือห้ามไว้ก่อน
“ข้าอยากให้เจ้าไปพบ...”
“ข้าไม่พบใครทั้งนั้น!” นางชิงพูดขึ้นก่อน
“ไร้มารยาท”
เด็กสาวสูดลมหายใจลึก มือกำแน่นข่มโทสะที่มีแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ลูกรู้ว่าเงินของจวนร่อยหรอลงไปทุกวัน สินเดิมของท่านแม่ถูกโยกย้ายไปหมดแล้ว”
“เซียงเซียง!” บิดาตบโต๊ะอย่างแรงจนถ้วยน้ำชาล้ม “เจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ไร้สาระหรือไม่ท่านพ่อรู้ดีแก่ใจ มิเช่นนั้นท่านไม่พยายามยัดเหยียดลูกให้บุรุษอื่นโดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะอายุแก่กว่ากี่รอบ หรือส่งไปอยู่ในฐานะเมียรอง ถ้าท่านพ่อไม่อยากให้ลูกฟื้นฝอยหาตะเข็บเรื่องสินเดิมของท่านแม่ ก็เลิกวุ่นวายหาสามีให้ข้า”
“เจ้านี่มัน!” คนเป็นพ่อถึงกับมือไม้สั่นไม่คิดว่าลูกสาวจะกล้าโต้เถียงถึงเพียงนี้ “ได้! ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่บ้านบรรพชน! ดูสิว่าเจ้าจะทนได้สักแค่ไหน”
“ท่านพี่ใจเย็นๆ เซียงเอ๋อร์ยังเด็ก พูดจาไม่ยั้งคิด...”
“เจ้าค่ะ! ลูกทราบแล้ว!” ฟู่เซียงเซียงรับคำแล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางสงบ มีเพียงบิดาที่ยังโมโหจนมือไม้สั่น
“ท่านพี่”
“ดูนางทำ! ข้าหวังดีกับนางขนาดไหน! ที่ส่งให้ไปอยู่ที่อื่นเพราะจะได้ไม่ทำเรื่องงามหน้า! มีอย่างที่ไหนไปเป็นหมอหญิง เสื่อมเสียชื่อเสียงตระกูลฟู่ของเราหมด!”
“ใจเย็นเจ้าค่ะ ดื่มน้ำชาก่อน ท่านพี่ทำถูกแล้ว อย่างไรยังมีลูกซินอี๋อยู่จะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวังแน่นอน”
“ดีจริงที่มีเจ้าอยู่เคียงและเข้าใจข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงอกแตกตายเพราะเซียงเซียงเป็นแน่”
ผู้นำตระกูลฟู่ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง หวังว่าส่งลูกสาวคนโตไปครั้งนี้จะทำให้นางสำนึกได้บ้าง และเลิกเป็นหมอหญิงอะไรนั้นเสียที.
สองปีผ่านมา
สองปีผ่านมาความงามบนใบหน้าของหญิงสาวเด่นชัดขึ้น แม้นางสวมเสื้อผ้าชุดบุรุษอยู่เป็นนิจ ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นจนเรียบตึงนั่งฟังข่าวจากเมืองหลวง
“แต่งงานกับข้า” จูลี่เฉี่ยวเอ่ยย้ำอีกครั้ง “การแต่งงานครั้งนี้จะทำให้เจ้าไม่ติดร่างแหของคนในตระกูลฟู่ไปด้วย”
“ข้า...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาจริงจังที่จ้องมองอยู่
“หรือเพราะเจ้าไม่ต้องการแต่งเข้าสกุลจูที่ต่ำต้อยของข้า”
จูลี่เฉี่ยวใช้เสียงน้อยใจทำให้หญิงสาวรีบส่ายหน้าไปมา
“มิใช่เช่นนั้น” ฟู่เซียงเซียงรีบพูดขึ้น ตั้งสติครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ “ข้าต้องขอบคุณพี่ลี่เฉี่ยวที่ค่อยดูแลมาตลอดสองปีนี้ และยังลำบากเดินทางไกลมาส่งข่าวเรื่องในเมืองให้รู้ด้วยตนเอง เรื่องที่บิดาเข้าร่วมกับองค์ชายสามนั้น ข้าพอรู้มาบ้าง หากเรื่องนี้เป็นจริง ข้ายิ่งไม่สมควรแต่งงานกับพี่ลี่เฉี่ยว เพราะจะทำให้ท่านต้องมาลำบากเพราะข้า ชื่อเสียงของท่านก็จะหมองหม่น ทั้งที่เวลานี้ท่านก้าวหน้าได้เป็นแพทย์หลวงแล้ว”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร น้องสาวของเจ้าก็แต่งงานออกเรือนไปก่อนแล้ว พวกเขาไม่ได้ไยดีกับเจ้าเลยสักนิด และที่สำคัญข้าเต็มใจรับเจ้าเป็นภรรยา”
“แต่...” ปกติจูลี่เฉี่ยวสุภาพอ่อนโยนกับนางมาก แต่วันนี้เขาพูดจาดุดันจนน่ากลัว นางขยับตัวถอยห่างอย่างไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายมองเห็นรีบยื่นมือไปหมายจับมือเรียวงามคู่นั้น จู่ๆ หินก้อนหนึ่งปลิวมากระแทกหลังมืออย่างแรงจนหลุดปากร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย! ใครบังอาจปาหินใส่ข้า!”
ฟู่เซียงเซียงลอบมองรอบกายแล้วย้ายสายตามาที่หลังมือของจูลี่เฉี่ยวที่เป็นรอยแดง
“คงเป็นเด็กแถวนี้เล่นซุกซน พี่ลี่เฉี่ยวอย่าได้ถือสาเลย ประเดี๋ยวข้าหยิบยามาทาให้นะเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” จูลี่เฉียวไม่อยากให้หญิงสาวเห็นว่าเขาอ่อนแอหรือเรื่องมากเกินไปนัก “เจ้าทบทวนเรื่องที่ข้าพูดอีกครั้งเถิด และรีบตัดสินใจก่อนที่...”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางคลี่ยิ้มกระจ่างใส “แต่ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม”
“เซียงเซียง”
“ข้าออกมานานแล้ว ขอตัวกลับไปดูคนเจ็บก่อนนะเจ้าค่ะ”
ร่างอรชรในชุดบุรุษหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในกระโจม ความจริงนางไม่มีคนเจ็บต้องดูแลแต่ต้องการตัดบทสนทนาจากจูลี่เฉียว หญิงสาวเดินไปนั่งบนตั่ง หยิบผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตามาพับให้เป็นระเบียบ
สองปีแล้ว
สองปีที่ถูกบิดาขับไล่จากจวนมาอยู่บ้านบรรพชนซึ่งอยู่ชายแดน ผู้อื่นเข้าใจว่าร่างกายนางอ่อนแอจึงต้องมาอยู่ไกลถึงเพียงนี้ แม้ห่างไกลเมืองหลวง แต่สำหรับนางแล้วไม่ถือว่าลำบากอันใด ซ้ำยังได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาเต็มที่อีกด้วย แท้จริงนางตั้งใจยั่วยุให้บิดาโมโหขับไล่มาที่นี่ นางพอรู้อยู่บ้างว่าท่านหมอจูซีห่าวมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่และยินดีรับสอนวิชาแพทย์ให้นาง เพียงแต่หมอกู้เนี่ยนเจินเป็นหมอประจำการอยู่ค่ายทหาร นางจึงได้เรียนรู้รักษาคนเจ็บจากการสู้รบมากกว่าอาการป่วยทั่วไป แต่ก็ได้รักษาชาวบ้านด้วยเช่นกัน ปกติไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาทำงานในค่ายทหารได้ แต่ด้วยคนไม่พอ หมอกู้จึงซึ่งเป็นหัวหน้าหมอจึงเรียกตัวนางไว้ใช้งานข้างกาย แม้นางแต่งกายเป็นชายแต่ทุกคนก็มองออกว่าเป็นหญิง เพียงแค่เกรงใจท่านหมอกู้จึงไม่มีใครกล้ารังแกนาง
แต่จะว่าไป...ก็เหมือนคนคอยปกป้องดูแลนางอยู่เสมอ
แรกทีเดียวนางคิดว่าเป็นความโชคดี ครั้งต่อมาเป็นความบังเอิญ และหลายครั้งต่อๆ มา เริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่ไม่อาจค้นหาความจริงได้ เช่นครั้งหนึ่งมีคนเป็นลมต่อหน้านาง นางช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่คนผู้นั้นถือเป็นน้ำใจใหญ่หลวง ช่วยเอาฟืนมาส่งให้นางจนเต็มห้องเก็บฟืน มีคนเอาถ่านมาขายในราคาถูกแสนถูกอ้างว่าต้องรีบใช้เงิน นางเคยพบอันธพาลมาก่อกวนหมายหาเรื่องแต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางแม้คนกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจนาง แต่ก็กันนางออกมาจากเหตุการณ์นั้น นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในสองปีนี้ นางเล่าให้แม่นมหวงและจางลี่ที่ติดตามนางมาด้วยฟัง ทั้งสองกลับไม่เห็นเป็นเรื่องผิดปกติอันใด กลับยิ่งชอบพูดว่า ‘สวรรค์มีตาส่งคนมาค่อยช่วยเหลือคุณหนู’